Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2260 อานุภาพแห่งบรรพชน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2260 อานุภาพแห่งบรรพชน

ตอนที่ 2260 อานุภาพแห่งบรรพชน

เมื่อสองปีก่อน หลินสวินก็สังเกตเห็นกระบี่ไร้รูปในมือจักรพรรดิมังกรมายาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นจู่ๆ ก็ถูกผู้อาวุโสประหัตวิญญาณโจมตีกะทันหัน จึงไม่อาจชิงสมบัตินี้มาได้

และบัดนี้จักรพรรดิมังกรมายาตายไปแล้ว ภายหน้ากระบี่นี้ก็เท่ากับตกเป็นของหลินสวิน

จนถึงตอนนี้ในบรรดาเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุน เหลือเพียงเกราะไร้บกพร่องที่หลินสวินยังไม่ได้มา

พอได้รับกระบี่ไร้รูป หลินสวินก็ทะลวงเข้าต่อสู้อีกครั้ง

อันที่จริงการต่อสู้ในยามนี้กำลังจะจบลงแล้ว สัตว์ประหลาดเฒ่าที่ดูแลวังมหามรรคหมื่นมังกรเหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังยื้ออยู่ ดิ้นรนอย่างยากลำบาก

แต่ก็ในตอนนี้เอง…

“พวกเจ้ากล้าดีนักนะ! สองปีก่อนให้พวกเจ้าเก็บชีวิตต่ำๆ ไว้ได้ คราวนี้ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะหนีไปไม่ได้อีก!”

ทันทีที่เสียงเย็นชาแข็งกระด้างดังขึ้น ห้วงอากาศพลันปั่นป่วน เงาร่างประหนึ่งนายเหนือหัวร่างหนึ่งแหวกอากาศออกมา ปรากฏเป็นเงาร่างเหมือนเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง

เป็นจักรพรรดิมังกรประหัตวิญญาณ คนรุ่นบรรพชนรุ่นแรกที่ยังอยู่ในเผ่าเจินหลงจนถึงปัจจุบัน

ครืน!

ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือน ไหวกระเพื่อมเหมือนมหาสมุทร

ทุกคนในที่นั้นต่างหายใจติดขัด รู้สึกถึงอันตรายที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างพากันหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เริ่มระมัดระวังตัว

“ผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”

“เจ้าเดรัจฉานแซ่หลินคนนี้กับคนทรยศอย่างอ๋าวซิงถังสมคบคิดกัน ทำลายวังมหามรรคหมื่นมังกรของเผ่าเรา!”

“ขอผู้อาวุโสลงมือ สังหารสารเลวพวกนี้ด้วย!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าเจินหลงที่ดิ้นรนอย่างยากลำบากซึ่งเหลืออยู่ไม่กี่คนนั้นต่างเผยสีหน้าปรีดาและตื่นเต้น เสียงยังสะอึกสะอื้น

สายตาผู้อาวุโสประหัตวิญญาณกวาดไปรอบๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมเป็นพิเศษ

ที่นี่ยับเยิน ได้รับความเสียหายชนิดพังพินาศ วังมหามรรคหมื่นมังกรอันกว้างใหญ่ไพศาลกลับเปลี่ยนเป็นแหลกเละไปทั้งแถบ

นี่ทำให้ไฟโทสะของผู้อาวุโสประหัตวิญญาณลุกโชน ประกายน่าตระหนกฉายวาบในดวงตา

“ซิงถัง ตอนนั้นแม้เจ้าทำผิดไม่อาจอภัย แต่ถึงอย่างไรภายในกายเจ้าก็มีเลือดเจินหลงไหลเวียนอยู่… จะตอบแทนเผ่าของตัวเองเช่นนี้หรือ” เขาสีหน้าน่าสะพรึง กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างปั่นป่วนลมเมฆ ราวกับเทพเทวาพิโรธ

“ข้ารู้แต่ว่าตั้งแต่เจ้าควบคุมดูแลเผ่า วังมังกรแห่งนี้ก็มีแต่พวกต่ำช้าไร้ยางอาย ประจบสอพลอน่าขยะแขยง ถึงกับละทิ้งบรรพชนอย่างโหดร้ายได้เพื่อเอาชีวิตรอด!”

อ๋าวซิงถังสีหน้าเย็นชา ในดวงตาไม่ปิดความแค้นสักนิด “และเจ้ายังเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อข้าด้วย!”

เสียงดังชัดถ้อยชัดคำ เผยความเคียดแค้นชิงชังเข้ากระดูก

“ไร้เดียงสา! ถ้าไม่ใช่ข้า เผ่าเจินหลงคงล่มสลายไปพร้อมกับความผิดของใต้เท้าบรรพชนไปนานแล้ว ถ้าไม่ใช่ข้าฆ่าพ่อเจ้าในตอนนั้น เผ่าเราคงถูกตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งมองเป็นศัตรูไปนานแล้ว!”

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณแค่นหัวเราะ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมเกรียม “ทำไมเจ้าถึงไม่เอาอย่างพี่ชายเจ้าสักหน่อย หัดคิดเพื่อเผ่าเสียบ้างเล่า”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว คราวนี้… เจ้าก็ไปตายกับสารเลวพวกนั้นเถอะ!”

โครม!

พอผู้อาวุโสประหัตวิญญาณสะบัดแขนเสื้อ ฟ้าดินพลิกตลบ พลังกฎระเบียบไร้สิ้นสุดสะท้านสะเทือน ชั่วพริบตาก็ผนึกพื้นที่แถบนี้ไว้โดยสมบูรณ์

แขนเสื้อเขาโบกพลิ้ว แววตาลุ่มลึกกวาดมองพวกหลินสวินประหนึ่งนายเหนือหัวสูงสุด “ข้าเคยบอกแล้วว่าอยู่ที่นี่ข้าก็คือฟ้า! มิอาจขัดขืน ใครฝ่าฝืนต้องตาย!”

นี่เป็นความเชื่อมั่นเด็ดขาด คล้ายผู้ควบคุมความเป็นตาย วาจาดั่งประกาศิต ในแววตา วาจาและการกระทำ มีแต่ความดูแคลนและไร้ปรานี

ความจริงแล้วสิ่งที่ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณพูดก็เป็นเรื่องถูก เขาที่ควบคุมระเบียบต้นกำเนิดของแดนวังมังกร แทบไม่ต่างอะไรกับ ‘ฟ้า’ ของโลกแห่งนี้

พวกหลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีความกระวนกระวายสักนิด ถึงกับไม่มีใครมีความคิดหรือเตรียมตัวต่อต้าน

นี่ทำให้ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณประหลาดใจอยู่บ้าง หรือเจ้าสารเลวพวกนี้จะยอมแพ้แล้ว

ไม่ใช่!

ทันใดนั้นผู้อาวุโสประหัตวิญญาณเริ่มนิ่วหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดู เพราะพบว่าสายตาที่พวกหลินสวินมองมา อย่างกับมอง… คนโง่คนหนึ่ง!

“ตาย!” เขาลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด!

ตูม!

พลังระเบียบหาใดเทียบแปลงเป็นกระแสธารเข้ากลบพวกหลินสวินดั่งภูผาถล่มสมุทรคำราม กลิ่นอายที่อบอวลน่ากลัวหาใดเทียบ

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณมั่นใจว่าโลกนี้ไม่มีใครต้านการโจมตีชนิดทำลายล้างระดับนี้ได้!

แต่ครู่ต่อมาตาเขาก็แทบหลุดจากเบ้า!

ก็เห็นพวกหลินสวินปลอดภัยดี ส่วนพลังระเบียบหาใดเทียบกลับชะงักอยู่ตรงนั้น ไม่อาจเข้าใกล้แม้สักนิด

เกิดอะไรขึ้น

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณกำลังจะกระตุ้นพลังอีกครั้ง กลับพบอย่างน่าตระหนกว่าพลังระเบียบของแดนวังมังกรแห่งนี้ ไม่ว่าเขาจะใช้อย่างไรก็ไม่กล้าเข้าใกล้พวกหลินสวินอีกสักก้าว!

ราวกับกำลังกลัวอะไรอยู่…

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณขนลุกในใจ รู้สึกไม่เข้าทีโดยพลัน ก็ในตอนนี้เองที่เสียงแหบพร่าฟังยากเสียงหนึ่งดังขึ้น

“อาจิ่ว ตอนนั้นข้าถือหางเจ้าเป็นที่สุด แต่ตอนนี้เจ้ากลับทำให้ข้าผิดหวัง…”

พร้อมกับเสียงนี้ เงาร่างคลุมเครือที่โก่งงอผอมแห้งร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศ ทั้งร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นอายเจนโลกอันหนาแน่น

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณเหมือนถูกสายฟ้าฟาด พูดเสียงหลงว่า “ใต้เท้าบรรพชน!?”

เงาร่างคลุมเครือหลังโก่งผอมแห้งนั้น คือบรรพชนเผ่าเจินหลงที่เคยถูกศิลามรรคค้ำสมุทรกำราบมายาวนานผู้นั้น!

“ประหลาดใจมากหรือ คิดไม่ถึงว่าข้าจะยังมีชีวิตมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าได้หรือ” บรรพชนเจินหลงเสียงต่ำลึก ไร้คลื่นอารมณ์แม้สักนิด

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณใจสั่นระรัวขึ้นมา หน้าเปลี่ยนสียิ่งยวด ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดพวกหลินสวิน อ๋าวซิงถังถึงกล้าบุกเข้ามาในแดนวังมังกรอีกครั้งหนึ่ง

ครู่หนึ่งเขาพลันชี้พวกหลินสวิน อ๋าวซิงถัง คำรามกราดเกรี้ยวว่า “พวกเจ้าถึงกับกล้าทำลายกระบวนผนึกศิลามรรคค้ำสมุทรที่ตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งวางไว้… สมควรแล่เนื้อหนังเป็นพันหมื่นชิ้นนัก!”

นี่ทำให้คนรู้สึกเหลวไหลนิ่ง บรรพชนเจินหลง นั่นเป็นถึงบรรพชนของผู้อาวุโสประหัตวิญญาณ แต่ตอนนี้เขากลับกำลังตำหนิที่พวกหลินสวินช่วยบรรพชนเจินหลงออกมา!

“อาจิ่ว เจ้าทำให้ข้ายิ่งผิดหวังแล้ว…” บรรพชนเจินหลงถอนหายใจยาว เหมือนเสียใจอย่างหาที่สุดมิได้

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น กัดฟันเอ่ยว่า “ใต้เท้าบรรพชน ข้าก็ทำเพื่อช่วยเผ่าพวกเรา ท่านควรรู้ดีกว่าข้าว่าตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งน่ากลัวปานไหน ถ้าตอนนั้นพวกเราช่วยท่านออกมา เผ่าของพวกเราจะต้องถูกทำลายแน่!”

บรรพชนเจินหลงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “กับเรื่องนี้ข้าไม่ได้โทษเจ้า”

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณคล้ายลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง แววตาไหววูบเอ่ยว่า “ใต้เท้าบรรพชน หากท่านคิดถึงการดำรงอยู่ของเฟ่า ขอให้ท่าน… ขอให้ท่านกลับไปอยู่ใต้ทะเลปีศาจเก้าพันจั้งด้วย!”

“หาไม่แล้วไม่ช้าก็เร็วตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งจะต้องมาสร้างความยากลำบากให้เผ่าเรา ท่านคงไม่อยากมองดูลูกหลานตัวเองประสบเคราะห์ไปต่อหน้าต่อตากระมัง”

พวกหลินสวินยังอึ้งไป คำพูดไร้ยางอายเช่นนี้ เจ้าหมอนี่ดันพูดออกมาได้ด้วยหรือ

อ๋าวซิงถังโกรธจนหน้าเขียว “พอแล้ว ในใจเจ้าตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของบรรพชนเผ่าเราหรือ”

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณไม่สนใจสักนิด สายตาเพียงมองที่บรรพชนเจินหลง เอ่ยว่า “ใต้เท้าบรรพชน ต่อไปเผ่าเราใช่จะไม่มีโอกาสหลุดออกจากการควบคุมของตระกูลลั่วอีกฟากฝั่ง อย่างตอนนี้เผ่าเราก็มีเด็กที่มีพรสวรรค์สายเลือดบรรพชนมังกรกับหุบเหวกลืนกินกำลังจะถือกำเนิดขึ้น ขอเพียงให้โอกาสเขาได้เติบโต ภายหน้าความสำเร็จบนมรรคาของเขาจะต้องเหนือล้ำกว่าเมธีเผ่าเราในอดีตทั้งปวงแน่”

เขาหยุดไปแล้วกล่าวต่อ “ถึงตอนนั้น มีเด็กคนนี้ควบคุมดูแลเผ่าเรา จะกลัวตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งนั่นไปไย”

หลินสวินได้ยินดังนี้ไฟโทสะในอกก็แทบปะทุออกมา พูดเสียงแข็งว่า “เดรัจฉานเฒ่า เด็กคนนั้นกลายเป็นคนของเผ่าพวกเจ้าไปตั้งแต่เมื่อไร”

“อะไรเรียกต่ำช้า อะไรเรียกไร้ยางอาย วันนี้ข้าได้เห็นแล้ว!” ต้าหวงยังโกรธจนกัดฟัน นึกไม่ถึงว่าคนเช่นผู้อาวุโสประหัตวิญญาณจะกระทำเรื่องต่ำช้าเพียงนี้

“อาจิ่ว เจ้าพูดจบหรือยัง”

บรรพชนเจินหลงไร้คลื่นอารมณ์แม้สักนิด เสียงยิ่งต่ำลึก

“ใต้เท้าบรรพชน โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ยังขอให้ท่านทำให้เผ่าเราสมปรารถนาด้วย!” ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณสูดหายใจลึก เอ่ยเสียงเครียด

สายตาพวกหลินสวินต่างมองบรรพชนเจินหลง ฝ่ายหลังเงียบไปครู่สั้นๆ จากนั้นทั้งร่างก็แผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงหาใดเทียบออกมา ดวงตาจับจ้องผู้อาวุโสประหัตวิญญาณ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังโดยสิ้นเชิงจริงๆ!”

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณตกตะลึงเป็นอย่างแรก จากนั้นก็เผยสีหน้าคลุ้มคลั่ง “ใต้เท้า ถ้าข้าดูไม่ผิด ต่อให้ท่านถูกช่วยออกมาแต่มรรควิถีทั้งตัวก็เหลือไม่เท่าไรเพราะถูกกำราบมาไม่รู้กี่กาลเวลา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยไม่สละตัวเองเพื่อทำให้ทั้งเผ่าสมปรารถนาเล่า”

“เจ้าสมควรตาย!”

บรรพชนเจินหลงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เงาร่างงองุ้มคลุมเครือพลันยืดตรง ชั่วพริบตานี้เหมือนมีพลังน่ากลัวตื่นขึ้นจากความเงียบงันภายในร่างของเขา

“ข้าสมควรตายหรือ ข้าไม่ใช่ทำเพื่อทั้งเผ่าหรอกหรือ”

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณคล้ายสัมผัสได้ว่าไม่เข้าทีเช่นกัน ยอมเสี่ยงอย่างที่สุด “ใต้เท้า หากท่านยังลุ่มหลงไม่ตื่น ก็อย่าโทษที่ข้ากำราบท่านเองเลย!”

พวกหลินสวินต่างอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ คนผู้หนึ่งจะเสียสติได้ปานไหน ถึงกล้าตัดสินใจทำเรื่องผิดครรลองปานนี้ได้

“ฮ่าๆๆ เจ้าอ๋าวจิ่วอี๋ช่างดีนัก! เจ้าทำให้ข้าเปิดโลกเสียจริง!”

บรรพชนเจินหลงแหงนหน้าหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะนั้นเผยความเศร้าโศกไร้สิ้นสุดอย่างเห็นได้ชัด “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ…”

“เรื่องพวกนี้เป็นท่านบีบข้าทั้งนั้น! ขอเพียงเผ่าดำรงอยู่ต่อไปได้ ต่อให้ข้าอ๋าวจิ่วอี๋ต้องแบกรับชื่อเสียงไปชั่วกาลว่าฆ่าบรรพชนแล้วจะอย่าไงร ใต้เท้า ขออภัยด้วย!”

ภายใต้เสียงแน่วแน่ทั้งยังคลุ้มคลั่ง ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณส่งเสียงคำรามลั่น พลังระเบียบเต็มฟ้าเหมือนกระแสธารรวมตัว ถูกเขาควบคุมให้พุ่งไปหาบรรพชนเจินหลงที่อยู่ไกลออกไป

“ที่เจ้าพูดก็ถูก มรรควิถีของข้าเหลือไม่เท่าไรจริงๆ…”

บรรพชนเจินหลงเสียงต่ำลึก “แต่ก่อนตาย ถ้ากำจัดเนื้อร้ายของเผ่าอย่างเจ้าได้ ก็คุ้มค่าแล้ว!”

เมื่อเสียงดังขึ้น เงาร่างคลุมเครือของเขาก็รวมตัวกันแน่นขึ้นทีละนิด กลิ่นอายก็เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย

กระทั่งสิ้นเสียง เขาก็ประหนึ่งนายเหนือหัวที่ฟื้นคืนอานุภาพในอดีต พัดโหมลมเมฆ หยิ่งผยองเหนือใต้หล้า

ยามเขาก้าวเดิน ฟ้าดินปั่นป่วน ละอองแสงระเบียบไร้สิ้นสุดปลิวว่อน สะท้อนให้เงาร่างของเขาเกรียงไกรสูงส่งดั่งช่วงต้นยุคดึกดำบรรพ์

ตูม…

พลังระเบียบถาโถมเข้าปกคลุม แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกกลิ่นอายบนร่างบรรพชนเจินหลงบดขยี้ระเบิดกระจุยแหลก

ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณหน้าเปลี่ยนสีทันที แววตาเจือความฉงนเหมือนทำใจเชื่อได้ยาก

“แดนวังมังกรแห่งนี้ เดิมทีก็แปลงมาจาก ‘มุกมังกรบริสุทธิ์’ ของข้า อาจิ่วเจ้ายังกล้ามาแตะต้อง ไม่ประมาณพลังตัวเองเกินไปแล้ว!”

ภายใต้เสียงน่าเกรงขาม บรรพชนเจินหลงยื่นมือไปคว้าจับห้วงอากาศเบาๆ

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท