Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2268 การปฏิเสธของลั่วเจีย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2268 การปฏิเสธของลั่วเจีย

เกี้ยวสมบัติอันว่องไวนั้นหยุดลงทันที

ก็เห็นว่ามือเรียวยาวขาวกระจ่างเกลี้ยงเกลาข้างหนึ่งแหวกม่านออก ใบหน้างามล้ำผุดผาดดุจภาพวาดดวงหนึ่งยื่นออกมา ริมฝีปากแดงเผยอน้อยๆ ดวงตามีชีวิตชีวาเผยแววประหลาดใจอย่างยากปิดบัง มองดูหลินสวินที่อยู่ด้านหนึ่งของถนน

กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสียงอุทาน ผู้ชายหลายคนยังเผยสีหน้าตื่นตะลึงหลงใหล และมีบางคนจำฐานะของลั่วเจียได้ล้วนรู้สึกพิศวง บุคคลที่เหมือนกับนางเซียนบนสวรรค์ผู้นี้ปรากฏตัวในเมืองวันนี้ตอนนี้ได้อย่างไร

ในขณะเดียวกันหลินสวินอึ้งไป ทั้งยังรู้สึกเกินคาดอย่างอดไม่ได้ “แม่นางลั่วเจียหรือ”

ลั่วเจียพลันยิ้มออกมา จากนั้นดวงตางามก็กวาดเร็วๆ ไปรอบๆ โบกมือให้หลินสวินแล้วเอ่ยว่า “คุณชายหลิน ขอเชิญมาพูดคุยกันสักหน่อย”

หลินสวินตอบรับอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปหา

เขามาเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงคราวนี้ เดิมทีก็อยากจะมาหาคนเผ่าหงส์เซียน พอได้พบกับลั่วเจียก็จะลดเรื่องยุ่งยากให้เขาได้ไม่น้อย

ทว่าตอนขึ้นเกี้ยวสมบัตินั้น ชายวัยกลางคนชุดม่วงที่ขับเกี้ยวสมบัติก็นิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ แววเย็นชาฉายวาบในดวงตา เอ่ยว่า “คุณหนู…”

“อาหรง คุณชายหลินเป็นเพื่อนดีที่สุดของข้า คบหากันมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่คนนอก” เสียงนุ่มนวลของลั่วเจียแว่วออกมาจากในเกี้ยวสมบัติ

อาหรงจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “เชิญ”

หลินสวินยิ้มให้ ไม่ได้ถือสา ตรงขึ้นเกี้ยวสมบัติไป

เกี้ยวสมบัติเดินหน้าต่อ ไม่นานนักก็หายลับไปบนถนนอันครึกครื้นจอแจสายนี้

“คุณชายหลิน ทำไมเจ้าถึงมาแดนหงส์เซียนของข้าหรือ” ในเกี้ยวสมบัติกลิ่นหอมอ่อนจางอบอวล ลั่วเจียมองหลินสวินด้วยสีหน้าประหลาดใจ

นางนั่งขัดสมาธิตามสบาย ชุดคลุมขนนกสีเขียวอ่อนทั้งชุด ผมยาวสีดำขลับรวบเป็นมวยง่ายๆ เรือนกายผิวพรรณขาวสะอาดเปล่งปลั่งงดงามอ่อนช้อย

เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว บุคลิกลั่วเจียยิ่งนุ่มนวลสง่างาม ผิวเรียบลื่นผุดผ่อง สะสวยเป็นธรมชาติ มีความงามดั่งกล้วยไม้บานในหุบเขา

ขณะที่พูดนางก็ยกกาน้ำชาหยกกาหนึ่งขึ้น รินชาหมอกวิญญาณที่กลิ่นหอมกำชายไปทั่วเต็มถ้วย มือทั้งสองยกถ้วยชาส่งให้

“ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาเจอเจ้าเช่นนี้”

หลินสวินยิ้มรับถ้วยชามา จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ตนไปยังแดนเจินหลงให้ฟังคร่าวๆ สุดท้ายยังบอกเป้าหมายที่ตนมาแดนหงส์เซียนอีกด้วย

ลั่วเจียฟังจบจึงเข้าใจได้ เม้มริมฝีปากอิ่มเอิบบางๆ ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “พูดแบบนี้ เจ้ากับข้าได้พบกันคราวนี้เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”

หลินสวินก็พยักหน้าทอดถอนใจ ว่าไปแล้วครั้งก่อนยามพบลั่วเจียคือยามอยู่ที่แหล่งสถานคุนหลุน

หลายสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตนเองเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิแล้ว ส่วนลั่วเจียก็เป็นระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิขั้นบริบูรณ์คนหนึ่งแล้ว

ลั่วเจียคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณชายหลิน เรื่องกลับทางเดินโบราณฟ้าดาราจัดการได้ง่ายนัก ให้ข้าจัดการก็พอ แต่…”

พอพูดถึงตรงนี้เสียงต่ำลึกของชายวัยกลางคนชุดม่วงก็ลอยมาจากนอกเกี้ยวสมบัติ “คุณหนู เส้นทางสู่ทางเดินโบราณฟ้าดารานั้นต้องให้ผู้อาวุโสใหญ่สามท่านในเผ่าร่วมมือกันถึงจะเปิดได้สักครั้ง เรื่องนี้… ไม่ง่ายนัก ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของท่านในตอนนี้…”

ไม่ทันพูดจบลั่วเจียก็ตัดบท “อาหรง เจ้าอย่าพูดอะไรอีก ข้ามีความคิดเป็นของตัวเอง”

พอพูดจบนางก็เอ่ยกับหลินสวินคล้ายจนใจอยู่บ้าง “อาหรงเป็นคนเก่าแก่ข้างกายท่านพ่อข้า หลายปีมานี้ดูแลอยู่ข้างกายข้ามาตลอด มองข้าเหมือนลูกเหมือนหลาน คำพูดของเขาเจ้าอย่าเอามาใส่ใจ”

หลินสวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยคล้ายขบคิด “ลั่วเจีย เจ้าเจอเรื่องยุ่งยากใช่ไหม”

ลั่วเจียชะงักไป กะพริบตายิ้มเอ่ยว่า “นี่เป็นอาณาเขตของแดนหงส์เซียนของข้า ข้าจะไปมีเรื่องยุ่งยากได้อย่างไร”

หลินสวินวางถ้วยชาในมือลง ถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ถ้าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนจริงๆ ก็อย่าปกปิดหรือปิดบังอีก เล่าให้ข้าฟังที ข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”

“คุณชายท่านนี้ เรื่องของคุณหนู เจ้าเป็นคนนอกคนหนึ่งจะเข้ามาสอดไม่ได้”

เสียงอาหรงดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเจ้าคิดเพื่อคุณหนูจริงๆ ข้าแนะนำให้จากไปเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีที่สุด จะได้ไม่กลายเป็นภาระ และถูกดึงเข้าไปอยู่ในคลื่นลมที่ไม่จำเป็น”

คำพูดนี้เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ แต่ไม่เกรงใจอย่างที่สุด

หลินสวินนิ่วหน้า ไม่ได้โมโห มองดูลั่วเจียแล้วพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะเจอปัญหาที่รับมือได้ยากจริงๆ”

ลั่วเจียแววตาซับซ้อน ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เดิมทีได้พบกับเพื่อนสนิท ข้าซึ่งเป็นเจ้าบ้านก็ควรจะดูแลเจ้าให้ดี ตอนนี้ยังไม่ทันได้ดูแลกลับทำให้เจ้าต้องมาเป็นห่วงเรื่องของข้าแล้ว”

นางหยุดไป ดวงตางดงามเรียบสงบ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “พี่หลิน เรื่องของข้ายุ่งยากเป็นที่สุด ไม่ใช่ไม่อยากให้เจ้าช่วย แต่เพราะเกี่ยวโยงถึงเผ่าหงส์เซียนของข้ากับสองเผ่าใหญ่อย่างพยัคฆ์ขาวกับเต่าดำ ถ้าเจ้าถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย ข้า… รังแต่จะสงบใจได้ยาก”

“คุณหนู เวลาไม่มากแล้ว พวกเราต้องรีบไป ‘ตำหนักแก่นวิญญาณ’ เดี๋ยวนี้ หาไม่หากประวิงเวลานานไป คุณชายน้อยจะ…”

เสียงอาหรงดังมาอีกครั้ง เผยน้ำเสียงเร่งเร้า คราวนี้ยังพูดไม่จบก็ถูกลั่วเจียตัดบทเหมือนเคย

“ข้ารู้แล้ว หยุดเกี้ยว”

นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พลิกมือส่งยันต์หยกสีม่วงชิ้นหนึ่งให้หลินสวิน สื่อจิตว่า ‘พี่หลิน เก็บสิ่งนี้ไว้ให้ดี รอเรื่องของข้าคลี่คลายแล้วจะไปรำลึกความหลังกับเจ้า’

พูดจบนางก็ไม่อธิบายอะไร ดันหลินสวินลงจากเกี้ยว สีหน้าเจือแววขอโทษทั้งยังเผยแววแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะให้หลินสวินเข้ามายุ่งด้วย

หลินสวินทอดถอนใจในใจ ไม่ยื้ออีก เดินลงเกี้ยวสมบัติไป

‘พี่หลิน วันหลังข้าจะมาขอโทษเจ้า เจ้าอย่าโกรธไปเลย’ ลั่วเจียสื่อจิตอย่างอดไม่ได้ เสียงเผยความรู้สึกผิด

เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ชายวัยกลางคนชุดม่วงคนนั้นก็ขับเกี้ยวสมบัติจากไปอย่างรวดเร็ว

การพบกันอันแสนสั้นครั้งนี้กลับจบลงลวกๆ เช่นนี้

หลินสวินยืนอยู่ที่เดิม ลอบเอ่ยว่า “เจ้าเห็นข้าหลินสวินเป็นเพื่อน ข้าจะไปยืนดูเฉยๆ ได้อย่างไร”

สวบ!

เงาร่างเขาหายลับไปกลางอากาศจากจุดเดิม

ห่างจากจุดนี้ไม่กี่ร้อยจั้ง หน้าร้านเหล้าครึกครื้นแห่งหนึ่ง ชายชุดดำคนหนึ่งกำลังดื่มเหล้า แต่เหมือนสังเกตเห็นอะไรเข้า นัยน์ตาหดรัด เผยสีหน้าตะลึง

แทบจะในขณะเดียวกัน มือใหญ่ข้างหนึ่งกดอยู่บนไหล่เขา ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ จะลงมือต่อต้านไปตามจิตใต้สำนึก

แต่เขาเพียงรู้สึกว่าตัวอ่อนยวบไปหมด พลังทั้งร่างถูกผนึกไว้มั่น เขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยว่า “สหาย นี่เจ้ามีเจตนาอะไร”

เขาเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง แต่ชั่วพริบตากลับถูกผนึก! เรื่องนี้น่ากลัวยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!

ข้างๆ กันเจ้าของมือใหญ่นั้นก็คือหลินสวิน

มือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนไหล่ชายชุดดำ มุ่งหน้าออกไปด้านนอกพลางถือโอกาสเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าแอบสะกดรอยเกี้ยวสมบัติหลังนั้นตลอด เพราะเหตุใดกัน”

ตั้งแต่ตอนที่หลินสวินขึ้นเกี้ยวสมบัตินั้น ในจิตรับรู้ก็สังเกตเห็นว่ามีคนแอบตามหลังมาตลอดทาง

นี่ก็คือหนึ่งในหลักฐานที่ทำให้เขาตัดสินได้ว่าลั่วเจียกำลังเจอเรื่องยุ่งยากบางอย่างอยู่

“สหาย เรื่องนี้เจ้ามาสอดไม่ได้ ข้าน้อยขอเตือนเจ้าสักหน่อย อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยว หาไม่แล้วภัยใหญ่จะมาถึงตัว”

ชายชุดดำแม้ถูกผนึกไว้ แต่ไม่ทันไรก็ใจเย็นลง “อีกอย่าง เจ้าคงไม่รู้ฐานะของข้า ถ้ารู้แล้วจะต้องไม่กล้าปฏิบัติกับข้าเช่นนี้แน่”

เสียงเจือแววข่มขู่กลายๆ ไม่มีความกลัวเกรง

กร๊อบ!

ครู่ต่อมาชายชุดดำก็ได้ยินเสียงกระดูกตนแตกออก จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของตนถูกมือใหญ่มือหนึ่งจับอย่างแรง จากนั้นก็บีบออกมา

แย่แล้ว!

เขาตกใจสับสนไปหมด เป็นคนเช่นไรกัน พูดไม่เข้าหูทีเดียวก็ลงมือเลยหรือ ไม่กลัวจะหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องหรือ!

เขากำลังจะร้องเสียงแหลม กลับรู้สึกว่าจิตวิญญาณเจ็บแปลบไปครู่หนึ่ง พลังรับรู้อันน่ากลัวเหมือนสิ่วแหลมแทงเข้าไปในส่วนลึกของดวงวิญญาณ

ค้นวิญญาณ!

ชายชุดดำตระหนักได้ทันที รู้สึกกลัวหาใดเทียบ

ไม่ถามที่มาที่ไปของตน ไม่สนใจการข่มขู่ของตน กระทั่งคร้านจะพูดกับตนอีก ลงมือค้นวิญญาณในทันที ต้องมีความมั่นใจแข็งกล้าแค่ไหนถึงกล้าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงปานนี้

ไม่ทันรอให้ชายชุดดำเข้าใจ ภาพตรงหน้าก็มืดสนิท สูญเสียการรับรู้ทั้งหมดไป

ผ่านไปสักพัก ดวงตาดำหลินสวินหดรัดเล็กน้อย นิ่วหน้าขึ้นมา

เขาได้ข้อมูลที่เขาอยากรู้แล้ว

ชายชุดดำมีนามว่าซิวรุ่ย มีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นสอง มาจากเผ่าเต่าดำ ครานี้รับหน้าที่คุ้มกัน ติดตามนายน้อยเผ่าเต่าดำคนหนึ่งนามว่า ‘อู๋ฝ่าเทียน’ มายังเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิง

ที่สะกดรอยตามลั่วเจียคราวนี้ก็เพราะไม่กี่วันก่อนน้องชายของลั่วเจียทำสมบัติชิ้นหนึ่งหาย ล่วงเกินอู๋ฝ่าเทียนไป

อู๋ฝ่าเทียนกลับขู่ว่า ภายในสามวันถ้าลั่วเจียไม่อาจจ่ายค่าชดเชยได้ก็จะฆ่าน้องชายของลั่วเจีย!

เรื่องย่อมไม่เรียบง่ายเพียงเท่านี้

ในความทรงจำของซิวรุ่ย สมบัติที่น้องชายลั่วเจียทำหายไม่ถึงกับเป็นสมบัติล้ำค่า และไม่ได้มีราคาค่างวดมากมายอะไร

สาเหตุที่อู๋ฝ่าเทียนจัดการน้องชายลั่วเจียเกินกว่าเหตุเช่นนี้ เป็นเพราะในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน ลั่วเจียเคยปฏิเสธการตามตื๊อของอู๋ฝ่าเทียน ทำให้เขาอับอาย กลืนความโกรธนั้นไม่ลง

เพียงแต่หลังจากรู้เรื่องราวเบื้องหลังเหล่านี้ หลินสวินก็ยังไม่ใคร่เข้าใจดังเดิม

ที่นี่เป็นถึงแดนหงส์เซียน และเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงยังเป็นอาณาเขตของเผ่าหงส์เซียน นายน้อยเผ่าเต่าดำคนหนึ่ง ถึงกับเหิมเกริมขนาดกล้ารังแกลูกหลานหงส์เซียนอย่างลั่วเจียที่นี่เชียวหรือ

หลินสวินนึกถึงท่าทางกระวนกระวายของลั่วเจีย นึกถึงถ้อยคำเร่งรัดไม่หยุดของชายวัยกลางคนชุดม่วงคนนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่เรียบง่ายเท่านี้แน่

‘ตำหนักแก่นวิญญาณ… ข้าอยากเห็นว่าที่นั่นมีคลื่นลมอะไรซ่อนอยู่’

ระหว่างที่คิดหลินสวินก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ตามไปตามทางที่เกี้ยวสมบัติของลั่วเจียหลังนั้นเคยขับผ่าน

ตำหนักแก่นวิญญาณ

ที่นี่ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิง เป็นตำหนักเก่าแก่หาใดเทียบแห่งหนึ่ง ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีเพียงแขกฐานะสูงส่งที่สุดของเผ่าหงส์เซียนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าพักได้

บริเวณนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าใกล้ได้ตามอำเภอใจ ด้วยวางพลังผนึกมากมายจากเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ ทั้งยังมีคนคุ้มกันที่แข็งแกร่งยิ่งจำนวนมากดูแล

แต่วิธีป้องกันเช่นนี้ ในสายตาหลินสวินแล้วเหมือนตั้งขึ้นมาเปล่าๆ ไม่อยู่ในสายตาสักนิด

ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงนอกตำหนักเก่าแก่แห่งนั้นอย่างเงียบเชียบแล้ว เขาไม่ได้เข้าไปทันที แต่แผ่จิตรับรู้ออกไปอย่างเงียบเชียบ

ในตำหนักแก่นวิญญาณตอนนี้บรรยากาศกดดัน

อาหรงยืนอยู่ด้านหนึ่งของประตูใหญ่ ด้านลั่วเจียยืนอยู่ตามลำพังตรงกลางตำหนัก

นางแววตาเรียบเฉย เจือแววเย็นชา มองดูชายชุดดำที่นั่งสบายอารมณ์อยู่บนที่นั่งประธานตรงกลาง เอ่ยว่า”ข้ามาแล้ว น้องชายข้าล่ะ เขาอยู่ไหน”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท