Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2350 พบภิกษุตาบอดกับสตรีหมอกอีกครั้ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2350 พบภิกษุตาบอดกับสตรีหมอกอีกครั้ง

ตอนที่ 2350 พบภิกษุตาบอดกับสตรีหมอกอีกครั้ง

สุสานสมุทรฝังมรรค

ชื่อที่ฟังดูแปลกและน่ากลัวหาใดเปรียบ

เมื่อเข้าสู่ส่วนลึกอย่างแท้จริงก็เหมือนเข้าไปในนรก หมอกดำอบอวล มีวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วน ทุกหนแห่งล้วนเป็นภาพที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณบนโลกสิ้นหวัง

ที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบ ยิ่งเดินเข้าไปลึก หมอกสีดำนั้นก็ยิ่งหนาทึบ

ร่างต้นของหลินสวินพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ในที่สุดก็หลุดจากการโอบล้อมของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนั้นมาถึงศูนย์กลางของสุสานสมุทรฝังมรรคนี้

ที่แห่งนี้มีเพียงแท่นมรรครัศมีหมื่นจั้งลอยอยู่บนผิวทะเล ปรากฏภาพเก้าวัง เก่าแก่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ย้อมด้วยเลือดสีสด

เมื่อหลินสวินมาถึงก็เห็นว่าทั่วสารทิศซึ่งมีแท่นมรรคแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง ล้วนถูกวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่มีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวล้อมอยู่แล้ว

มีคุนเผิงกระดูกมหึมาเหมือนผืนแผ่นดินใหญ่ลอยได้ มีร่างกำยำสวมชุดเกราะที่หมอกดำโหมกระหน่ำไปทั้งตัว มีซากศพเฒ่าชราสภาพยับเยินควบคุมอสนีบาตสีดำ มีนกยักษ์ที่กางปีกกระดูกขาว ไอมารท่วมเวิ้งฟ้าไปทั้งตัว…

ความแข็งแกร่งด้านกลิ่นอายของแต่ละตน ทัดเทียมกับระดับจักรพรรดิขั้นแปด ถึงขั้นมีกลิ่นอายผิดแปลกและแข็งแกร่งบางส่วนที่สามารถเทียบกับบรรพจารย์จักรพรรดิได้!

ตูม โครม…

พวกเขาใช้พลังทำลายล้างชวนประหวั่นโจมตีแท่นมรรคเต็มกำลัง เสียงมรรคดังกึกก้อง ราวกับสายฟ้าเก้าสวรรค์กำลังปั่นป่วน

รอบแท่นมรรคปรากฏพลังผนึกที่ลี้ลับเกินคาดเดา ต้านทานและสลายการโจมตีที่มาจากทั่วสารทิศนั้นอย่างต่อเนื่อง

แต่เห็นชัดว่ายืนหยัดได้ไม่นานแล้ว

ภายใต้การถล่มจู่โจมที่บ้าระห่ำเช่นนี้ ทั้งแท่นมรรคสั่นคลอนรุนแรง พื้นผิวเผยรอยแตกระแหงมากมาย

บนแท่นมรรคมีหมอกดำโหมกระหน่ำ สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าเงาร่างของภิกษุตาบอดกับสตรีหมอกนั้นเหมือนต้นหญ้าที่ใกล้จะถูกคลื่นซัดสาดฝังกลบ

สถานการณ์ล่อแหลมอันตราย!

หลินสวินเห็นดังนี้แล้วสูดหายใจลึก หยิบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรนภาครามออกมา ง้างสายธนูแดงสดดั่งโลหิตนั้นทันที

ฟุ่บ!

ศรนภาครามระเบิดพุ่งออกไปพร้อมเสียงพายุสายฟ้าสั่นสะเทือน ราวกับลำแสงสายหนึ่งที่ทะลวงผ่านปราการแห่งกาลนิรันดร์ ความเร็วฉับไว อานุภาพดุดัน ทั้งหมดล้วนบรรลุถึงขั้นสะเทือนใต้หล้า

ไกลออกไปวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่สวมชุดเปื้อนเลือด แขนขาดแหว่งวิ่นตนหนึ่งคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตราย มันหันกลับมาแล้วตวัดทวนสีเลือดในมือทันที

และเป็นเวลาเดียวกันที่ศรนภาครามพุ่งเข้าใส่

ตูม!

ทวนสีเลือดระเบิดออกทั้งอย่างนั้น ละอองแสงพร่างพรายระเบิดกระจาย

วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่แขนขาดข้างหนึ่ง ทั้งมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นแปดตนนี้ ถูกแสงศรร้ายกาจนี้พิฆาตโดยตรง ร่างกลายเป็นจุณ!

เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความโกลาหลและแตกตื่นในที่นั้นทันที เสียงร้องอุทานดังขึ้นโดยรอบ

“บัดซบ มีศัตรูบุกมา!”

“หืม? มกุฎมหาจักรพรรดิรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง? หลายปีมานี้ดินแดนรกร้างโบราณให้กำเนิดบุคคลร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“พวกเจ้าไปจัดการคนผู้นี้ก่อน ไม่เกินครึ่งเค่อ พวกข้าย่อมถล่มแท่นมรรคนี้ได้ ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาที่พวกเราจะหลุดพ้น”

“ได้!”

ท่ามกลางเสียงพูดคุย หลินสวินง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารไว้ก่อนแล้ว ศรนิรันดร์ ศรแสงโชค ศรเสี้ยวปีกพุ่งออกมารวดเดียว รวดเร็วรุนแรงดุจอสนี

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เสียงลมอสนีดังสะท้อนท้องนภา สะเทือนไปทั่วบริเวณ อึกทึกสนั่นหู

พลันเห็นว่าห่างออกไป ศัตรูพวกนั้นยังไม่เริ่มเคลื่อนไหวก็มีร่างของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิระเบิดออกตนแล้วตนเล่า ถูกฆ่าตายคาที่

ภาพที่ดุดันและเผด็จการนั้น ทำให้ศัตรูที่มีสติปัญญาพวกนั้นแทบไม่กล้าเชื่อ

ในความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ของพวกมัน แค่มกุฎมหาจักรพรรดิระดับจักรพรรดิขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางแข็งแกร่งเช่นนี้แน่!

แต่ความจริงกลับเหมือนฟาดกระบองใส่ในคราเดียว ทำให้พวกมันรับมือไม่ทัน

พลันนั้นพวกมันเหมือนถูกยั่วโทสะ หรือกล่าวว่าสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามร้ายแรง ไม่กล้าลังเลอีก แบ่งกำลังคนกลุ่มหนึ่งพุ่งโจมตีไปทางหลินสวิน

ขณะเดียวกันวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนอื่นกลับเหมือนถูกกระตุ้น ถล่มใส่แท่นมรรคเก่าแก่หมื่นจั้งนั้นอย่างคลุ้มคลั่ง

หลินสวินหรี่ตาเล็กน้อย ร่างสูงตระหง่านราวกับเปลี่ยนเป็นเหวลึกที่กลืนกินฟ้าดิน พลุ่งพล่านกู่ก้อง สารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณและมรรควิถีทั้งตัวปลดปล่อยออกมาเป็นประวัติการณ์ในพริบตาเช่นกัน

มาถึงตอนนี้่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องยั้งมืออีก

ต้องฆ่า!

ตีฝ่ามอบความสว่างสดใสคืนสู่ใต้หล้า!

“ทะยาน!”

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏ แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมฟ้าดิน ต้านทานและสลายทุกการโจมตีที่ถล่มมาจากทั่วทิศนั้น

ไม่อาจสั่นคลอน

ทรงพลังเกินต้านทาน!

เมื่อเสียงกระบี่ครวญดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน หลินสวินควบคุมกระบี่มรรคโจมตีออกไป อานุภาพยิ่งใหญ่ครอบคลุมท้องฟ้าแถบนี้

ตูม…

ศึกใหญ่ปะทุขึ้นแล้ว ฟ้าถล่มดินทลาย น้ำทะเลระเหยหาย แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมาราวกระแสน้ำ อสนีบาตแหวกผ่านห้วงอากาศโดยรอบ

วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิสิบกว่าตนพุ่งเข้ามาปิดล้อมหลินสวินพร้อมกัน แต่ละตนต่างสำแดงพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมระดับจักรพรรดิขั้นแปด แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ

เพียงแต่ในสายตาของหลินสวินเวลานี้ กลับไม่อาจพูดได้ว่าเป็นภัยคุกคามอะไร

เมื่อกระบี่มรรคโผทะยาน…

ปึง! ปึง! ปึง!

วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนแล้วตนเล่าถูกฆ่าตายคาที่ ปราณกระบี่ที่ดุดันหาใดเปรียบนั้นโหมทำลาย ทรงพลังเกินต้านทาน

หลังจากวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนี้ถูกสังหาร ก็กลายเป็นไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำแปรปรวนฟุ้งกระจาย

กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว แม้ว่าพลังต่อสู้ของพวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นคงสร้างแรงกดดันบางส่วนให้หลินสวินได้แน่

ตูม!

ไม่นานเหล่าวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่ล้อมโจมตีเข้ามาก็ถูกฆ่าเสียกระบวน ดับสลายไปทีละตน

“บัดซบ แค่มกุฎมหาจักรพรรดิคนเดียวเท่านั้น ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้”

ห่างออกไปเหล่าวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่กำลังล้อมโจมตีแท่นมรรคอย่างบ้าคลั่งล้วนบันดาลโทสะ ยากจะเชื่อได้

เห็นว่าหลินสวินใกล้จะเข้ามาแล้ว ชายชราร่างขาดวิ่นคนหนึ่งละทิ้งการโจมตีแท่นมรรคทันใด พุ่งจู่โจมใส่หลินสวิน

เขาควบคุมอสนีบาตสีดำ กลิ่นอายเยียบเย็นแปลกประหลาด บนตัวเต็มไปด้วยไอความตายที่เหมือนเน่าเสีย ความแข็งแกร่งด้านอานุภาพ แทบจะเทียบกับคนที่อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นเก้าได้

“ตาย!”

เสียงของชายชราเยียบเย็นดั่งใบมีด พลันเห็นอสนีบาตสีดำทั่วฟ้าปกคลุมไปทางหลินสวิน เหมือนอสนีเคราะห์แห่งความตายสายแล้วสายเล่าตกลงมาจากฟากฟ้า

ห้วงอากาศแถบนี้ยุบทลาย ปั่นป่วนระเบิดกระจุย อสนีบาตสีดำอาจองดั่งโซ่กระหวัดเฆี่ยนโลกา น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการ

พริบตานี้ในใจหลินสวินก็เครียดขมึง กลิ่นอายบนตัวชายชรา ถึงขั้นเทียบได้กับศิษย์พี่สี่ยามลงมือเต็มกำลัง!

แน่นอนว่าศิษย์พี่สี่ในตอนนั้นใช้แค่พลังระดับจักรพรรดิขั้นสี่เท่านั้น

“ฟัน!”

หลินสวินตวาดลั่น เหยียบอากาศก้าวไปข้างหน้า กระบี่มรรคพลันฟันออกมา

ตูม!

ท้องนภาราวกับถูกฉีกออก ปราณกระบี่ไร้สิ้นสุดเจิดจรัสบาดตา ขาวโพลนไปทั้งแถบ ย้อมโลกที่หมอกดำอบอวลนี้ด้วยแสงประกายเจิดจ้า

เมื่อแสงกระบี่หายไป

ชายชราที่อยู่ห่างไกลมึนงง ริมฝีปากส่งเสียงพึมพำอย่างเหม่อลอย “นี่… นี่คือพลังของมรรคกระบี่ระดับใด…”

เสียงแผ่วต่ำลงเรื่อยๆ

เงาร่างของชายชรากลับกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องทั่วฟ้าดินโดยไร้สุ้มเสียง

หนึ่งกระบี่ สังหารวิญญาณอาฆาตที่ทัดเทียมกับระดับจักรพรรดิขั้นเก้าตนหนึ่ง!

แต่สำหรับหลินสวิน ชายชราคนนี้ยังห่างจากระดับบรรพจารย์จักรพรรดิราวฟ้ากับดิน สุดท้ายวิญญาณอาฆาตที่สิ้นชีพไปไม่รู้กี่กาลเวลา ต่อให้มีกลิ่นอายและพลังน่าหวาดกลัวล้นฟ้าเพียงใด แต่กลับไม่มีเจตจำนงและปณิธานอาจหาญ

ยิ่งขาดอานุภาพที่มีอยู่ในตัวของบรรพจารย์จักรพรรดิ!

หลายปีนี้หลินสวินเคยสู้กับระดับบรรพจารย์จักรพรรดิมาไม่น้อย ย่อมรู้ชัดถึงอานุภาพที่แท้จริงของบรรพจารย์จักรพรรดิเป็นธรรมดาว่าแข็งแกร่งระดับใด

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าชายชราคนนี้มีอานุภาพของบรรพจารย์จักรพรรดิจริง ย่อมไม่มีทางถูกฆ่าในกระบี่เดียวแน่

ห่างออกไปวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่กำลังโจมตีแท่นมรรคเหลือเพียงเก้าตน เวลานี้ล้วนสั่นไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

แค่มกุฎมหาจักรพรรดิระดับจักรพรรดิขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้น ใช้กระบี่เดียวก็สังหารพวกพ้องที่เทียบเคียงกับพวกเขาได้ นี่น่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

แท่นมรรคส่ายสั่นคล้ายจะทรุดทลาย พื้นผิวแตกระแหงเป็นรอยแยกเหมือนใยแมงมุมชวนสยอง จวนจะพังทลายอยู่รอมร่อ

แต่เวลานี้วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนี้กลับไม่กล้าคิดเรื่องพวกนี้อีก ด้วยหลินสวินพุ่งสังหารเข้ามาแล้ว!

“ไป!”

เงาร่างที่ถือกระบี่ศึก ทั่วร่างเต็มไปด้วยหมอกควันตวาดลั่น หันหลังหนีไปอย่างไม่จำยอม

วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนอื่นเห็นดังนี้ก็ตามไปทันที

ชั่วพริบตาก็หายลับจากไป

“เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องจบชีวิตลงที่นี่แน่!”

กลางฟ้าดินมีเสียงข่มขู่เจือความโกรธแค้นลอยล่อง สะท้อนก้องเนิ่นนาน

หลินสวินลอบเป่าปากโล่งอก ไม่ได้รุกไล่และไม่สนใจคำขู่นั้น

ก่อนหน้านี้เขาก็กังวลว่าหากพวกผีบ้านี่ไม่สนความเป็นความตาย ไปโจมตีแท่นมรรคเต็มกำลัง ต่อให้ตนสามารถสังหารพวกมันได้ทั้งหมดก็เกรงว่าคงปกป้องแท่นมรรคแห่งนี้ไม่ได้

ยังดีที่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้น

แท่นมรรคหมื่นจั้งเสียหายหนักหน่วง มีรอยแยกนับไม่ถ้วนเหมือนเครื่องแก้วที่ใกล้แตกออกจากกัน แบกรับการทำลายล้างที่รุนแรงไม่ได้อีก

ตรงกลางแท่นมรรค กะโหลกสีดำลอยคว้าง ภิกษุตาบอดที่สวมจีวรเปื้อนเลือด เหนือศีรษะมีลวดลายบัวดำ เบ้าตาว่างเปล่า นิ่งเงียบไม่ไหวติงเหมือนหมดลมไปในท่านั่งสมาธิ

สตรีหมอกนั่งอยู่ด้านข้าง เงาร่างทรงสง่าเจือกลิ่นอายถดถอยและเสื่อมสูญเช่นกัน

“ซิงเจีย เด็กน้อยเมื่อปีนั้นมาช่วยพวกเราแก้ไขสถานการณ์แล้ว แท่นมรรครกร้างโบราณไม่พังทลาย หากเจ้าไม่เชื่อ… ก็ลองดู…”

เสียงของหญิงสาวที่หมอกควันปกคลุมขาดๆ หายๆ ดูอ่อนกำลังหาใดเปรียบ

แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ภิกษุตาบอดที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ขยับสักนิด

ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน จอมมุนีซิงเจีย!?

ทันใดนั้นเขานึกถึงสถูปเจดีย์สมบัติที่เคยเห็นใน ‘แดนธรรมสถูป’ ของแดนมกุฎขึ้นมา รวมถึงจอมมุนีซิงเจียที่ทิ้งเจดีย์สมบัติไว้ด้วย!

ยังจำได้ว่าในเจดีย์สมบัติเมื่อปีนั้น จอมมุนีซิงเจียที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนคนนั้นเคยทิ้งคำพูดไว้ว่า ‘ยามมรรคข้าแจ้งประจักษ์ ถึงรู้ชัดในทุกข์แห่งสรรพชีวิต’

ทั้งเคยถูกอีกฝ่ายมองเป็น ‘คนรุ่นเดียวกัน’ เรียกขานด้วยคำว่า ‘สหายยุทธ์’

ถึงตอนนี้หลินสวินก็ยังลืม ‘จิตสถูปปลิดชีพ’ ที่จอมมุนีซิงเจียมอบให้ไม่ลง!

ปล่อยให้จิตสถูปปลิดชีพของข้า ทลายวิถีเกิดดับในตัวเจ้า!

นึกถึงตรงนี้ ยามหลินสวินมองภิกษุตาบอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดคนนั้นอีกครั้ง แววตาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หรือว่า… เขาก็คือจอมมุนีซิงเจีย

แต่จากนั้นหัวใจของหลินสวินก็หล่นวูบ

ด้วยเขาสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของภิกษุตาบอดรูปนี้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงร่างกายที่เยียบเย็นแน่นิ่ง

ความรู้สึกเศร้าสลดที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจของหลินสวิน เขามีหรือจะไม่รู้ว่าภิกษุตาบอดรูปนี้ตายเพื่อปกป้องแท่นมรรคแห่งนี้!

“สหายน้อย มาพูดคุยกันหน่อย”

หญิงที่หมอกควันปกคลุมตัวนั้นเอ่ยปาก น้ำเสียงดูอ่อนกำลังยิ่งกว่าเดิม เห็นชัดว่าเหมือนจะยืนหยัดได้ไม่นานแล้ว

หลินสวินขึ้นไปบนแท่นมรรคนั้นโดยไม่ลังเล

เวลานี้เองในที่สุดเขาก็เห็นรูปร่างของหญิงที่ทั่วร่างถูกหมอกควันบดบังคนนั้นอย่างชัดเจน ทั้งตัวอึ้งงันอยู่ตรงนั้นราวกับถูกฟ้าผ่า

ทำไม… ทำไมถึงเป็น… นาง!?

……………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท