Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2353 แดนหมื่นมรรค

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2353 แดนหมื่นมรรค

ตอนที่ 2353 แดนหมื่นมรรค

วันต่อมา

บนมหาสมุทรสีมรกต เงาร่างสายหนึ่งวูบไหวอยู่กลางอากาศ เคลื่อนไปด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึงคล้ายลำแสงสายหนึ่ง

เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำนัยน์ตาดำ รูปร่างสูงตระหง่านเหมือนสนเขียว ผิวขาวกระจ่างเรียบเนียนดั่งหยก ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มได้รูปดุจแกะสลัก

มองจากภายนอกเขาก็เหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง กลิ่นอายไม่ลึกลับซับซ้อน แต่หากมีบุคคลระดับจักรพรรดิอยู่ที่นี่ ย่อมต้องรู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่ถาโถมเข้าใส่

เหมือนเผชิญหน้ากับนายเหนือหัวที่บัญชาตะวันจันทรา ควบคุมจักรวาลคนหนึ่ง!

คนผู้นี้แน่นอนว่าคือหลินสวิน

‘ในที่สุดก็ใกล้ถึงแล้ว…’

สายตาเขาทอดมองห่างออกไป รู้สึกทอดถอนใจ

เมื่อคำนวณโดยละเอียด ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาจากโลกชั้นล่างไป จนถึงตอนนี้ก็เกือบร้อยปีแล้ว

ในช่วงเวลานี้ ก็เป็นตอนที่แดนมกุฎปิดม่าน เขาถึงได้กลับมาโลกชั้นล่างอย่างรีบเร่งแค่ครั้งเดียว

ร้อยปีราวกับชั่วดีดนิ้ว

แต่เกรงว่าโลกชั้นล่างนี้คงมีเรื่องมากมายเปลี่ยนผัน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

‘พวกหลินจง ท่านพญาแร้ง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน หนิงเหมิง สืออวี่… ยังสบายดีหรือไม่’

ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นในใจทีละน้อย ทำให้จิตใจของหลินสวินปั่นป่วนอยู่บ้างเช่นกัน

ยิ่งใกล้บ้านเกิดอารมณ์ยิ่งสั่นไหว

เขาในตอนนี้มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง ผ่านมาร้อยปีแล้ว ทุกคนในปีนั้น… ยังอยู่หรือไม่

จิตรับรู้ของเขาแผ่ขยายออกไป คล้ายว่าสัมผัสนัยเร้นลับของเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินได้

แต่ไม่ทันไรหลินสวินก็ขมวดคิ้ว

น่านน้ำที่ห่างไกลเดิมอยู่ติดกับทะเลตะวันออกของจักรวรรดิจื่อเย่า แต่ตอนนี้ที่นั่นกลับมีปราการระเบียบสายหนึ่งปรากฏ!

ระเบียบของโลกที่พร่างพรายดุดันนับไม่ถ้วน ไหลบ่าลงมาจากฟากฟ้าเหมือนน้ำตก พลังระเบียบนั้นซัดสาดราวกระแสน้ำ ถึงขั้นกลายเป็นพญามังกรมากมายร่ายระบำ

มองจากไกลๆ ก็เหมือนปราการที่เชื่อมต่อฟ้าดินแห่งหนึ่ง ตัดขาดทะเลกลืนวิญญาณและทะเลตะวันออกของจักรวรรดิจื่อเย่าให้แยกจากกันอย่างสมบูรณ์!

ก่อนหน้านี้จิตรับรู้ของหลินสวินก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ผิดแปลกนี้แล้ว

ระเบียบของโลกกลายเป็นปราการ ตัดขวางทะเลกลืนวิญญาณ สิ่งนี้ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต!

หลินสวินชะลอความเร็วแล้วเข้าไปใกล้

ใช้จิตรับรู้ของเขาพิจารณา พลังระเบียบที่เหมือนปราการสวรรค์นั้นราวกับผนึกพันธนาการชั้นแล้วชั้นเล่าทับซ้อนกัน ปกคลุมจักรวรรดิจื่อเย่าที่อยู่ตรงหน้าไว้ภายใน ตัดขาดกฎเกณฑ์ พลังวิญญาณ พลังมหามรรคทั้งหมด

หากกล่าวว่าจักรวรรดิจื่อเย่าเป็นโลกใบหนึ่ง

เช่นนั้นปราการระเบียบนี้ก็เป็นรัศมีแสงหลายชั้นห่อหุ้มจักรวรรดิจื่อเย่าไว้ภายใน กลายเป็นพลังระเบียบป้องกันตามธรรมชาติ

ต่อให้บรรพจารย์จักรพรรดิมากสามารถมาที่นี่ ยามเผชิญหน้ากับปราการระเบียบนี้ก็คงอกสั่นขวัญแขวน ไม่ต้องพูดว่าจะทำลาย ต่อให้สัมผัสเบาๆ ก็เกรงว่าคงถูกโจมตีอย่างรุนแรง!

‘เปลี่ยนไปจริงดังคาด…’

นัยน์ตาดำของหลินสวินวูบไหวไม่หยุด

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่เห็นกลิ่นอายของพลังระเบียบต้องห้ามใดอย่างสิ้นเชิง เห็นชัดว่าพลังที่ควบคุมโดยจักรพรรดิสวรรค์ดำรงนั้น ไม่อาจมาเยือนโลกชั้นล่างนี้ได้อีกแล้ว

เกรงว่าทุกอย่างนี้คงเกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนของพลังใจกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรค!

หลินสวินสำรวจอย่างละเอียด

คิดจะหวนกลับจักรวรรดิจื่อเย่าก็ต้องผ่านปราการระเบียบแห่งนี้ จำเป็นต้องหาวิธีตัดผ่านเข้าไป

ไม่ทันไรหลินสวินก็สังเกตเห็นว่าห่างออกไปหลายพันจั้ง ในอาณาเขตที่ปกคลุมด้วยกระแสน้ำระเบียบเชี่ยวกรากมีประตูน้ำวนสายหนึ่งปรากฏ ถ้าไม่ดูอย่างละเอียดคงยากจะสังเกตเห็น

หลินสวินเคลื่อนที่ไปโดยตรง สังเกตเล็กน้อยแล้วลังเลอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

ประตูน้ำวนนี้คืออุโมงค์ตัดผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าได้จริงๆ วิวัฒน์จากพลังระเบียบ แต่หลินสวินไม่รู้ว่าเข้าไปในนั้นแล้วจะถูกเคลื่อนย้ายไปที่ไหน

เวลานี้พลันมีเสียงทลายอากาศระลอกหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล

หลินสวินหันไปมองก็เห็นผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งพุ่งโฉบมา ชายสามหญิงสอง เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหลากเผ่าที่อาศัยอยู่ในทะเลกลืนวิญญาณ แม้ว่ารูปร่างจะเหมือนคน แต่กลับมีลักษณะพิเศษของกลุ่มเผ่าพันธุ์โดยเฉพาะ

ในบรรดาห้าคนนี้ คนที่กลิ่นอายอ่อนแอที่สุดก็มีพลังปราณระดับมหาอริยะ ชายรูปงามที่มีผมเขียวทั้งศีรษะซึ่งเป็นผู้นำคนนั้นก็มีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งด่าน

อีกทั้งอายุของพวกเขายังเยาว์วัยนัก พลังชีวิตรอบกายเร่าร้อน เห็นชัดว่าไม่ใช่คนรุ่นอาวุโสอะไร

“หืม? มีคนมาถึงก่อนด้วย สหายยุทธ์ท่านนี้ก็คิดมุ่งหน้าไปแดนหมื่นมรรคหรือ”

ทั้งห้าคนนั้นเห็นหลินสวินแล้วประหลาดใจมาก ชายร่างผอมบางที่ผิวพรรณเจือแสงเหลือบสีทองคนหนึ่งในนั้นเอ่ยปากถาม

แดนหมื่นมรรค?

หลินสวินอึ้งไปพลางกล่าว “ที่นั่นคือที่ไหน”

ทั้งห้าคนนั้นล้วนเผยสีหน้าสงสัย หญิงสาวหน้าพริ้มเพราเจือความเย่อหยิ่งแข็งกระด้างคนหนึ่งแค่นเสียงเย็นชากล่าว “สหาย หลายสิบปีมานี้เจ้าไม่เคยสนใจเรื่องทางโลกหรือ แม้แต่แดนหมื่นมรรคยังไม่รู้จัก ช่าง… น่าขันจริงๆ”

คำพูดเสียดหู เห็นหลินสวินขมวดคิ้ว คนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างพลันรีบร้อนกล่าว “แดนหมื่นมรรคก็คือสถานที่ซึ่งเดิมทีจักรวรรดิจื่อเย่าตั้งอยู่ เมื่อไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมาในปีนั้น อาณาเขตของจักรวรรดิจื่อเย่าก็แผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง ปรากฏช่องว่างคดเคี้ยวและถ้ำสวรรค์ลึกลับที่ไม่อาจระบุมากมาย”

“ตอนนี้อาณาเขตของจักรวรรดิจื่อเย่านั้น อย่างน้อยก็ใหญ่กว่าเมื่อก่อนร้อยกว่าเท่า ด้วยเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกที่การฟื้นคืนของไอวิญญาณชักนำมา ดังนั้นทุกคนบนโลกจึงเรียกว่าแดนหมื่นมรรค”

คราวนี้หลินสวินถึงได้เข้าใจพลางกล่าว “ขอบคุณมาก หลายปีนี้ข้าปิดด่านมาตลอด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

ทั้งห้าคนนั้นต่างเผยสีหน้ากระจ่าง นี่คือเรื่องปกติ ซ้ำกลิ่นอายรอบตัวหลินสวินยังไม่ลึกลับซับซ้อน ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามอะไร และทำให้พวกเขาผ่อนคลายลงด้วย

“สหาย แดนหมื่นมรรคถูกมองเป็น ‘แดนก่อเกิดวาสนามรรค’ ของใต้หล้า เมื่อไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ในแต่ละช่วงเวลาจะปรากฏวาสนาแห่งยุคมากมาย หากสนใจก็ลองเข้าไปดูได้”

ชายรูปงามผมเขียวที่เป็นผู้นำเอ่ยปาก ชี้แนะหลินสวินด้วยสีหน้าสงวนท่าที “แน่นอนว่าการเข้าไปในแดนหมื่นมรรคตอนนี้ต้องระวังแล้ว หลายปีนี้ที่นั่นมีพวกร้ายกาจซึ่งแข็งแกร่งอย่างยิ่งปรากฏตัวไม่น้อย”

หญิงสาวหยิ่งทะนงที่อยู่ด้านข้างรำคาญแล้ว กล่าวเร่งเร้า “ศิษย์พี่เว่ย แค่พบคนแปลกหน้าคนหนึ่งโดยบังเอิญเท่านั้น มีอะไรให้พูดกับเขานัก พวกเรารีบเดินทางเถอะ”

ชายผมเขียวยิ้มพลางพยักหน้ารับ พาคนอื่นก้าวเข้าไปในประตูน้ำวนนั้นพร้อมกันแล้วหายไปทันที

หลินสวินมองส่งพวกเขาจากไปแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้

แดนหมื่นมรรค

แดนก่อเกิดวาสนามรรค

อาณาเขตแผ่ขยายร้อยเท่า ปรากฏช่องว่างคดเคี้ยวและถ้ำสวรรค์ลึกลับมากมาย

ทุกอย่างในจักรวรรดิจื่อเย่าเปลี่ยนไปจนต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิงแล้วจริงๆ อย่างน้อยถ้าคิดเข้าไปในนั้นจากทะเลกลืนวิญญาณนี้ก็ยังต้องผ่านปราการระเบียบชั้นหนึ่ง

หลินสวินส่ายหัวแล้วก้าวเท้า เดินเข้าไปในประตูน้ำวนนั้นเช่นกัน

ตูม!

แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสแสบตาพวยพุ่ง ครู่ต่อมาเงาร่างของหลินสวินก็หายไป เขาคุ้นเคยกับการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศนานแล้ว แค่เฝ้ารออยู่เงียบๆ

แต่ทันใดนั้น…

พลังระเบียบของโลกที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบพลันปรากฏ บีบกดหลินสวินราวกับปกคลุมฟ้าดิน พลังนั้นดุดันเป็นอย่างยิ่ง สามารถฉีกร่างของผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ระดับจักรพรรดิก็ไม่แน่ว่าจะยืนหยัดได้

“ทะยาน!”

หลินสวินสีหน้าราบเรียบ เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมาโดยตรง เพลิงหงส์ระเบียบสีม่วงในเตาหลอมพวยพุ่ง ต้านพลังระเบียบที่บีบกดเข้ามานั้น

แต่เพียงพริบตาหลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสี พลังของเพลิงหงส์ระเบียบล้วนถูกบีบกดจนหดรัดตัวอย่างต่อเนื่อง มีสัญญาณว่าจะยืนหยัดไม่อยู่

ตูม!

ชั่วพริบตาเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็ถูกกำราบโดยตรง พลังระเบียบที่น่าหวาดกลัวนั้นบีบกดลงมา ทำให้กลิ่นอายรอบตัวหลินสวินเสื่อมถอยลงไม่หยุด แต่ยังไม่ได้รับอันตรายอย่างแท้จริง

‘ที่แท้เป็นเช่นนี้ พลังระเบียบของโลกนี้ขัดขวางพลังที่เย้ยฟ้าเกินไปทั้งหมดไม่ให้เข้าไป…’

หลินสวินเข้าใจทันที เก็บกลิ่นอายรอบตัวไปโดยไม่ลังเล

จริงดังคาด พลังกดดันของระเบียบนั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนกำลังแล้ว กระทั่งหลินสวินกดพลังปราณลงไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นแรก พลังกดดันของระเบียบนั้นจึงหายไปในที่สุด

‘ดูท่าว่าจักรวรรดิจื่อเย่าในตอนนี้ อย่างมากคงได้แค่ยอมให้พลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นแรกปรากฏ ไม่อย่างนั้นจะถูกกำราบถึงที่สุดจนยากจะก้าวเดิน…’

ยามหลินสวินครุ่นคิด เบื้องหน้าสว่างวาบ ปรากฏตัวบนห้วงอากาศแถบหนึ่งเหนือผืนทะเลคราม

เพียงพริบตาเขาก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของฟ้าดินแถบนี้

ไอวิญญาณบริสุทธิ์โหมกระหน่ำดุจลมทะเลพัดผ่าน ม้วนกลืนห้วงอากาศว่างเปล่า แผ่ขยายไปทั่วทิศ ทำให้โลกแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิตเข้มข้นที่พลุ่งพล่านหาใดเปรียบ

ขณะเดียวกันหลินสวินสังเกตเห็นว่ากฎเกณฑ์มหามรรคกลางฟ้าดินนั้นมั่นคงยิ่งยวด ในอดีตพลังที่ปลดปล่อยออกมายามหายใจเข้าออกก็สามารถทำให้ฟ้าดินสะเทือนได้

แต่ตอนนี้กลับได้แค่ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงไหลเวียนเป็นวงกลม

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ตกตะลึง หลายปีนี้เขาท่องไปบนทางเดินโบราณฟ้าดารา ก้าวผ่านห้วงอากาศ ท่องโลกมานับไม่ถ้วน

บางโลกเปราะบางจนเหมือนเครื่องแก้ว แค่อริยะซัดหมัดก็สะเทือนฟ้าสะท้านดิน เผาภูผาต้มสมุทร

บางโลกกลับมั่นคงราวหล่อจากทองเทพ ต่อให้ระดับจักรพรรดิโจมตีเต็มกำลัง อย่างมากก็ได้แต่ฟันภูเขาสะบั้นสมุทร บดขยี้พื้นที่แห่งหนึ่ง

โดยทั่วไประเบียบของโลกยิ่งมั่นคง ก็หมายความว่าคุณลักษณะไอวิญญาณที่รองรับได้นั้นยิ่งสูง กฎเกณฑ์มหามรรคยิ่งแข็งแกร่ง ยามบำเพ็ญเพียรในนั้นพลังปราณยิ่งสูง ประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมาก

เปรียบดั่งแคว้นกลางมรรคของโลกใหญ่หงเหมิง ระเบียบของโลกยิ่งใหญ่มั่นคง ปกคลุมด้วยพลังมหามรรคทั่วหล้าที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ

เห็นชัดว่าจักรวรรดิจื่อเย่าในตอนนี้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงของไอวิญญาณฟื้นคืน พลังระเบียบทั่วโลกก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง!

“แกว๊ก!”

บนเวิ้งฟ้าพลันมีนกปีศาจตัวหนึ่งพุ่งโฉบมา ปีกเจิดจรัสส่องประกายดั่งเงินยวง เจือแสงมรรคเจิดจ้าลานตา บินผ่านห้วงอากาศ พุ่งตะครุบมาทางหลินสวิน

กลับเห็นหลินสวินยื่นมือคว้านกปีศาจตัวนี้ไว้กลางฝ่ามือ ฝ่ายหลังตกใจจนตัวสั่นงันงก คราวนี้ถึงตระหนักได้ว่ามองผิดไป เจอตัวอันตรายคนหนึ่งเข้าแล้ว

‘แค่เหยี่ยวเกล็ดเงินตัวหนึ่งเท่านั้น พลังปราณถึงขั้นเทียบกับราชันระดับอมตะเคราะห์คนหนึ่งได้ น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…’

หลินสวินคล้ายขบคิด เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เหยี่ยวเกล็ดเงินตัวนี้ก็ถูกปล่อยไป ฝ่ายหลังรอดพ้นเคราะห์ร้าย หลบหนีอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่กล้าหยุดพักอย่างสิ้นเชิง

มันไม่รู้ว่าหลินสวินไม่ได้ใจกว้างมีเมตตา หากแต่คร้านจะลงมือกับเจ้าตัวเล็กเช่นนี้แต่แรก

‘ชั่วดีดนิ้วก็ผ่านไปร้อยปี ตอนนี้ไอวิญญาณของโลกชั้นล่างฟื้นคืนกลับมาพอดี ก็ไม่รู้ว่าจักรวรรดิจื่อเย่าจะเปลี่ยนไปเช่นไร…’

นัยน์ตาดำของหลินสวินทอดมองไปไกล สามารถแยกแยะได้รางๆ ว่าเดิมทีน่านน้ำแถบนี้คือทะเลตะวันออกของจักรวรรดิ แต่เทียบกับอดีตแล้ว เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดินนานแล้ว

‘กลับไปก่อนค่อยว่ากัน’

ต่อให้เรื่องทางโลกแปรเปลี่ยน แม้แต่เหยี่ยวเกล็ดเงินตัวหนึ่งยังกลายเป็นราชันระดับอมตะเคราะห์ได้ แต่หลินสวินไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือเหล่าสหายเก่าเมื่อปีนั้น

เขาพุ่งตรงไปโดยไม่รอช้า เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อคลื่นลม เขาเก็บกลิ่นอายของตนไว้แล้วโผนทะยานไปอย่างไร้สุ้มเสียง

———

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท