ตอนที่ 2367 นัดประลองที่ภูเขาชำระจิต
เวลานี้หลินสวินกลับมาที่เรือนแล้ว
“เจ้าคางคกล่ะ” เขาพลันสังเกตเห็นว่าเจ้าคางคกไม่อยู่
“ไปสืบข่าวแล้ว บอกว่าไม่อาจให้พี่ใหญ่ยุ่งง่วนอยู่คนเดียว” อาหลู่รีบกล่าว
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ มองทุกคนที่รวมตัวอยู่ในเรือน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องจากโลกชั้นล่างนี้ไป
เมื่อไม่มีข้าแล้ว ภายหน้าหากญาติมิตรที่เกี่ยวข้องกับข้าพวกนี้เจออันตรายอีกจะทำอย่างไร
เมื่อก่อนหลินสวินไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้
แต่พอผ่านบทเรียนครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้ซึ้ง ปัญหานี้ถึงเวลาต้องจัดการอย่างเร่งด่วนแล้ว
ถ้าอยากจัดการทุกอย่างนี้ บางทีอาจมีแค่วิธีเดียว
เปิดสำนักที่สามารถสืบทอดไปรุ่นสู่รุ่น!
‘หลังจากจัดการศัตรูพวกนั้น ตามหาคนในตระกูลหลินกลับมาแล้วค่อยคิดเรื่องนี้’
หลินสวินลอบตัดสินใจ
ไม่นานเจ้าคางคกก็กลับมา ทั้งนำทุกข่าวในนครต้องห้ามกลับมาด้วย
มาถึงตอนนี้สืออวี่กับผู้คนที่ถูกหลินสวินช่วยมาพวกนั้นจึงกล้าเชื่อในที่สุด ที่แท้หลินสวินก็กำจัดสามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฉือ ตระกูลฮวา ตระกูลฉีเพียงลำพังจริงๆ!
และเรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมในนครต้องห้ามแล้ว
แต่เมื่อเจ้าคางคกเล่าปฏิกิริยาตอบสนองของทุกสำนักใหญ่แห่งดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้น นอกจากพวกอาหูกับอาหลู่แล้ว พวกสืออวี่ก็หน้าเปลี่ยนสีกันหมด
“พี่ใหญ่ พวกเฒ่าสารเลวนั่นบอกว่าจะปิดผนึกนครต้องห้ามแล้วจับตายท่าน ใครกล้าให้การคุ้มครองท่าน มันผู้นั้นต้องถูกล้างตระกูล”
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” สืออวี่เดือดดาล คนของสำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ โถงทองคำก็พลันหน้าเปลี่ยนสี
ขุมอำนาจของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้น ถึงกับร่วมกันมุ่งเป้ามาที่หลินสวินคนเดียว!
นี่ทำให้พวกเขาหนักใจหาใดเปรียบ
กลับเห็นนัยน์ตาดำของหลินสวินวาบประกายเยียบเย็น กล่าวว่า “หรือพวกสารเลวนี่คิดว่าปีนั้นคนที่ข้าหลินสวินสังหารในดินแดนรกร้างโบราณไม่มากพอ แค่พวกสวะที่เหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาเท่านั้นก็กล้าโหวกเหวกใส่ข้าเช่นนี้ เช่นนั้นก็บดขยี้ทิ้งซะ”
หลายปีนี้เขาผงาดเหนือทางเดินโบราณฟ้าดารา ฆ่าระดับจักรพรรดิมานับไม่ถ้วน แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างแดนกษิติครรภ์ สำนักโบราณจรัสเทพก็ถูกเขากำราบ มีหรือจะเห็นพวกดินแดนรกร้างโบราณอยู่ในสายตาอีก
พวกสืออวี่ต่างตกตะลึง ฟังจากน้ำเสียง ชัดเจนว่าหลินสวินไม่ได้เห็นขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นอยู่ในสายตาเลย!
สิ่งที่ทำให้พวกเขาผิดคาดยิ่งกว่าคือเมื่อได้ยินคำพูดของหลินสวิน พวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่กลับพากันพยักหน้า ทำท่าเหมือนเดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้
แม้แต่เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนก็ไอสังหารแผ่ซ่าน กระเหี้ยนกระหือรือ
หากให้ผู้ฝึกปราณในนครต้องห้ามพวกนั้นเห็นเข้า เกรงว่าคงคิดว่าพวกหลินสวินเป็นบ้าแล้ว กวาดสายตามองทั่วโลกชั้นล่าง ใครกล้าเย่อหยิ่งถึงขั้นไม่เห็นขุมอำนาจของดินแดนรกร้างโบราณอยู่ในสายตาบ้าง
“เจ้าคางคก อาหลู่ พวกเจ้าไปกระจายข่าวในเมือง หลังจากนี้สามวันข้าจะรอพวกเขาที่ภูเขาชำระจิต หากพวกเขาไม่มา ข้าจะไปเยือนและล้างบางพวกเขาด้วยตัวเอง!”
หลินสวินตัดสินใจเด็ดขาด ทุกคำมาดมั่นหนักแน่น
“ได้เลย!”
เจ้าคางคกและอาหลู่จากไปอย่างตื่นเต้น
พวกสืออวี่ตัวแข็งทื่อ คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะตัดสินใจเร็วเช่นนี้ ยามจะทัดทานก็ไม่ทันแล้ว
“ท่านอา ภายหน้าหลินหลางก็จะเปลี่ยนไปจนร้ายกาจเหมือนท่านไหม” ห่างไปไม่ไกล เด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งวิ่งเข้ามา กะพริบดวงตาโตเป็นประกายมองหลินสวิน เสียงกระจ่างใสพาให้คนเอ็นดู
หลินสวินยิ้มแล้วอุ้มเด็กน้อยคนนี้ขึ้นมากล่าว “นางหนู ทำไมเจ้าถึงอยากเปลี่ยนเป็นร้ายกาจนัก”
สือหลินหลางเอ่ยฉับพลัน “ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อของข้าถูกคนรังแกอีก”
ได้ยินเสียงอ่อนเยาว์ของนางเอ่ยคำพูดนี้ออกมา สืออวี่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลดวงตาแดงก่ำ ในใจหลินสวินก็ทอดถอนใจไม่หยุด
หลินสวินลูบหัวของสือหลินหลางแล้วกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “อารับปากเจ้า ภายหน้าจะทำให้เจ้าเปลี่ยนไปจนร้ายกาจมากแน่”
…
สำหรับผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในนครต้องห้าม วันนี้ย่อมถูกลิขิตให้บันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์
หลังจากหลินสวินเหยียบย่ำร่างไร้วิญญาณของสามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้ไม่นาน ทุกขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณก็ออกคำสั่งให้ปิดผนึกเมือง หันปลายหอกจ่อใส่หลินสวินคนเดียว!
นี่ทำให้คนนับไม่ถ้วนตื่นตระหนกและฮือฮาไม่หยุด
“น่าเสียดาย หากหลินสวินกลับมาแล้วเลือกเก็บตัวเงียบช่วงหนึ่ง รอจนมั่นใจเต็มเปี่ยม บางทีอาจมีโอกาสงัดข้อกับดินแดนรกร้างโบราณได้ แต่ตอนนี้… เกรงว่าคงเคราะห์มากโชคน้อย”
หลายคนมองโลกในแง่ร้าย เสียดายแทนหลินสวิน
แม้แต่คนที่มีความแค้นกับหลินสวินก็ไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือตอนนี้ หลินสวินก็เป็นผู้กล้าที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศแห่งโลกชั้นล่างจริงๆ
น่าเสียดายที่หลินสวินไม่รู้จักเก็บงำลับคมเขี้ยว เพิ่งปรากฏตัวก็ก่อคลื่นลมนองเลือด จนกระทั่งชักนำให้ทุกขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณมองเป็นศัตรู นี่เท่ากับรนหาที่ตาย
ขณะที่คนทั่วไปเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ว่าหลินสวินต้องประสบหายนะถึงตาย ข่าวใหญ่หนึ่งก็แพร่กระจายไปทั่วนครต้องห้ามด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
“หลังจากนี้สามวัน หลินสวินจะอยู่หน้าซากปรักหักพังของภูเขาชำระจิต นัดประลองทุกขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณ!”
“ถ้าขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณไม่กล้ารับคำท้า หลินสวินจะไปเยือนด้วยตัวเองและสังหารให้สิ้น!”
ทันทีที่ข่าวกระจายออกไป ผู้ฝึกปราณในนครต้องห้ามไม่มีใครไม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง
“หรือว่าเจ้าหมอนี่บ้าไปแล้ว”
“สวรรค์ คาดไม่ถึงว่าจะสู้กับขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณทั้งหมดเพียงลำพัง ยังพูดว่าหากไม่กล้ารับคำท้าจะไปเยือนเพื่อสังหารให้สิ้นด้วยตัวเองอีก เขาหลินสวินไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าดูหมิ่นขุมอำนาจใหญ่ที่เหมือนนายเหนือหัวพวกนั้นเช่นนี้”
“บ้าไปแล้ว เจ้าหมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่นอน!”
ผู้คนนับไม่ถ้วนส่งเสียงตื่นเต้น รู้สึกว่าไร้สาระและยากจะเชื่อ
แต่ไม่ว่าอย่างไร หลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป ทุกสายตาในนครต้องห้ามล้วนจับจ้องไปยังสถานที่ซึ่งภูเขาชำระจิตตั้งอยู่
หลังจากนี้สามวัน หลินสวินจะกล้ารับศึกจากทุกขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณที่นี่ตามข่าวลือจริงหรือ
…
หลินสวินไม่ได้บ้าระห่ำทุ่มสุดตัวหรือหวาดกลัวจนตัวสั่นเหมือนที่ผู้คนจินตนาการ หลินสวินในตอนนี้ดูผ่อนคลายและนิ่งสงบผิดปกติ
เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ มวยผมยาวสีดำที่เปล่งประกายพร่างพราวด้วยปิ่นไม้ไว้ลวกๆ ทั่วร่างเผยเสน่ห์ที่ดูเรียบง่ายและเยือกเย็น
เขานั่งลงบนพื้นลานเรือน กำลังต้มชาและอ่านคัมภีร์ คิดหาวิธีทะลวงปราณ
สำหรับขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้น ไม่อยู่ในสายตาของเขาแต่แรก
แม้พลังปราณจะถูกกดลง แต่ใช่ว่าไม่อาจหยั่งรู้นัยเร้นลับมหามรรค กลางฟ้าดินที่ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา เต็มไปด้วยนัยเร้นลับมหามรรคดั้งเดิมที่เรียบง่าย ช่วยเบิกทางให้หลินสวินยามหยั่งรู้เช่นกัน
นอกจากนี้คัมภีร์มรรคมากมายที่ร่างแยกทั้งห้าหยั่งถึง เมื่อผ่านการอนุมานเป็นเวลานานก็เป็นรูปเป็นร่าง ซึมซาบเข้าไปในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคที่เขาสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
แม้ว่าพลังปราณจะไม่รุดหน้า แต่หลินสวินรู้ดีว่าภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ เมื่อมรรควิถีที่ตนสั่งสมแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ยามมีโอกาสทะลวงปราณจะต้องก้าวทะยานแน่ สามารถก้าวเข้าไปในธรณีประตูของระดับจักรพรรดิขั้นห้าได้!
พวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่ก็กำลังช่วยดูแลพวกสืออวี่
ถูกกักขังและคุมตัวมาหลายปี ทำให้สหายเก่าที่ถูกหลินสวินช่วยออกมาพวกนี้ได้รับบาดเจ็บสะสมไม่มากก็น้อย
สิ่งที่พวกอาหูกำลังทำก็คือช่วยพวกเขารักษาบาดแผลภายในทั้งหมด ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อมรรคาในภายหน้า
แต่ไม่ว่าจะเป็นพวกอาหูหรือพวกสืออวี่ ความจริงในใจล้วนไม่สงบ ฝ่ายแรกเฝ้ารอให้ศึกตัดสินมาเยือนโดยเร็ว ฝ่ายหลังกลับกังวลว่าในศึกตัดสินนี้หลินสวินจะเจออันตราย
มีเพียงหลินสวินคนเดียวที่นิ่งสงบ
หนึ่งวัน สองวัน…
เมื่อแสงแรกของวันที่สามเบิกฟ้า เวลาของศึกตัดสินก็มาถึง!
สามวันนี้สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วนครต้องห้าม เห็นได้ว่าทุกข์ทนหาใดเปรียบ หลายคนแทบจะนับเวลารอ หนึ่งวันราวกับหนึ่งปี
ผู้ฝึกปราณส่วนมากหลั่งไหลเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาชำระจิตตั้งแต่วันที่ข่าวแพร่ออกมาแล้ว ทั้งยังเฝ้ารออยู่ที่นี่อย่างยากลำบาก
เมื่อแสงยามรุ่งสางจากฟากฟ้าสาดส่อง
บนท้องถนนใกล้เคียงที่มีอาณาเขตของภูเขาชำระจิตเป็นศูนย์กลางล้วนเต็มไปด้วยผู้คนนานแล้ว ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเงาร่างของผู้ฝึกปราณ มืดฟ้ามัวดิน
คลื่นเสียงอึกทึกดังต่อเนื่องเป็นระลอก ล้วนกำลังพูดถึงศึกตัดสินที่ใกล้เปิดฉากในวันนี้
“เฮ้อ ข้าหวังว่าหลินสวินจะไม่มา หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีต่อไป ภายหน้าเมื่อครอบครองพลังที่แท้จริงแล้วค่อยหวนคืนกลับมาอีกครั้ง”
“เป็นไปไม่ได้ ด้วยนิสัยของหลินสวินยามอยู่ในโลกชั้นล่างเมื่อปีนั้น ในเมื่อเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาแล้วก็ไม่มีทางไม่มาต่อสู้ตัดสิน”
“ไม่ปรากฏตัวก็ดี หากปรากฏตัว… เขาจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้อีกหรือ”
…ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ล้วนมองหลินสวินในแง่ร้ายเหมือนก่อนหน้านี้
ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ของเขาก็เป็นเหล่าขุมอำนาจของดินแดนรกร้างโบราณ!
ในใต้หล้านี้ใครจะสู้ได้
“ในเมื่อหลินสวินนี่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา น่าจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง สิ่งที่ข้าอยากรู้ตอนนี้คือความมั่นใจของเขามาจากไหนกันแน่”
ท่ามกลางฝูงชน หญิงสาวหยิ่งทะนงเย็นชาคนหนึ่งเอ่ยปาก
“กำจัดสามตระกูลใหญ่นั้นจนสิ้นซาก พิสูจน์ได้ว่าอย่างน้อยพลังต่อสู้ของเขาก็อยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิแล้ว หากยึดกุมวิชาต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาบางอย่างอีก บางทีอาจสู้กับขุมอำนาจของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นได้จริงๆ เพียงแต่… โอกาสชนะยังไม่มาก”
ชายรูปงามผมเขียวคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริม
คนผู้นี้คือเว่ยอวิ๋นจงนั่นเอง หรือก็คือผู้นำของกลุ่มคนที่หลินสวินเจอระหว่างทางยามผ่านทะเลกลืนวิญญาณกลับมายังนครต้องห้าม
“หากบุคคลเช่นนี้ตายไปทั้งอย่างนี้ ไม่น่าเสียดายเกินไปหน่อยหรือ”
หญิงสาวหยิ่งทะนงขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้ขุมอำนาจใหญ่ในทะเลกลืนวิญญาณอย่างพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์จะแทรกแซง อย่าลืมสิ ตอนนี้มีข่าวแพร่ออกมาแล้ว สัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งในสำนักกระบี่เทียมฟ้าก้าวสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว!”
นัยน์ตาของเว่ยอวิ๋นจงเจือความมุ่งหวังปรารถนาเสี้ยวหนึ่ง
การมานครต้องห้ามครั้งนี้ เขามาเพื่อเสาะหา ‘วาสนามรรค’ บางส่วนเช่นกัน ดูว่าจะฉวยโอกาสนี้ทะลวงระดับจักรพรรดิได้หรือไม่!
ยามสนทนา เสียงกึกก้องหนึ่งดังมาจากขอบฟ้า ผู้คนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้น
ก็เห็นรุ้งยาวสีทองที่เจิดจรัสหาใดเปรียบสายหนึ่งตัดทำลายแหวกเวิ้งฟ้าออกมา เป็นบุคคลสำคัญระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งของขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณมาเยือนนั่นเอง
แต่นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อรุ้งยาวสีทองสายนี้ปรากฏ ก็มีอีกหนึ่งสาย สองสาย สามสาย… สิบสาย ยี่สิบสายตามมา…
ถึงตอนท้ายมีบุคคลสำคัญที่กลิ่นอายน่ากลัวระดับกึ่งจักรพรรดินับร้อยคน ทยอยมาถึงท้องฟ้าเหนือซากปรักหักพังของภูเขาชำระจิตกันแน่นขนัด อานุภาพที่แผ่ออกมาจากตัวบดบังเวิ้งฟ้า ห้วงอากาศโดยรอบสั่นสะเทือน
เวลานี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์กลางฟ้าดินแถบนี้พลันหยุดลงจนไร้เสียง บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดหาใดเปรียบ
ทุกคนตกตะลึงตาค้าง กายใจสั่นสะท้าน
ต่อให้ผ่าสมองออกมา พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าเพื่อจัดการหลินสวินแค่คนเดียว ถึงกับมีระดับกึ่งจักรพรรดิปรากฏตัวมากเช่นนี้ แค่ภาพนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนสิ้นหวังและพังทลายแล้ว!
……………………..