Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2379 กระดานหมากหมื่นมรรค

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2379 กระดานหมากหมื่นมรรค

ไกลออกไป เจ้าลิงอึ้งอยู่เช่นนั้น

ชนะแล้วหรือ

เจ้าหมอนี่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงมีมรรควิถีน่ากลัวเช่นนี้

เนื่องจากการประลองหมากก่อนหน้านี้น่าสะพรึงเกินไป พลังจิตของเจ้าลิงจึงตกอยู่ในสภาวะว่างเปล่าเพราะหวาดหวั่น

แต่พอได้เห็นเงาร่างผอมแห้งนั้นคารวะยอมแพ้ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคนที่เรียกตัวเองว่าจักรพรรดิเต้ายวนชนะการประลองหมากอย่างราบคาบ!

“ในเมื่อการประลองหมากจบแล้ว ก็ขอให้สหายยุทธ์ทำตามสัญญาด้วย”

หลินสวินลอยลงมาจากกลางอากาศ สายตามองเงาร่างผอมแห้งนั้น

“นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว”

ขณะที่เงาร่างผอมแห้งพูดก็สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง กระดานหมากกระดานหนึ่งปรากฏ เมื่อแสงมรรคไหลเวียน โลกอันเฟื่องฟูราวกับโลกมนุษย์หมื่นจั้งนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

และหลังจากหลินสวินระบุตัว เงาร่างผอมแห้งก็โคจรกระดานหมาก ปล่อยสมาชิกราชวงศ์ รวมถึงเหล่าคนตระกูลหลินที่ถูกขังอยู่ในนั้นออกมาทั้งหมด

สมาชิกราชวงศ์อย่างจ้าวซิงเย่ จ้าวไม่ไหลมีสี่ส่วน ส่วนคนตระกูลหลินอย่างหลินจง หลินไหวหย่วนมีหกส่วน

หลินสวินถึงกับยังเห็นเจ้าตัวจิ๋วอย่างจิ๊บๆ ที่กลมเกลี้ยงเหมือนลูกหนังน้อยด้วย

รวมเข้าด้วยกันมีถึงหลักพัน!

ทว่าแต่ละคนต่างเหมือนหลับใหลไม่รู้ตัว

“สหายยุทธ์ไม่ต้องกังวล ไม่ถึงสามวันพวกเขาก็จะฟื้นความทรงจำกลับมา”

เงาร่างผอมแห้งเอ่ย

หลินสวินตรวจดูรอบหนึ่งถึงค่อยรับสมาชิกราชวงศ์กับคนตระกูลหลินที่ถูกช่วยเหลือเหล่านี้มา

ชั่วพริบตานี้ในใจเขาก็ผ่อนคลายเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“ก่อนหน้านี้พวกเขาอาศัยพลังของป้ายคำสั่งที่พี่ชายข้ามอบให้จึงมาถึงที่นี่ได้ทันที สำหรับพวกเขาแล้ว ประสบการณ์ในโลกกระดานหมากก่อนหน้านี้ก็ถือเป็นศุภโชคชิ้นหนึ่ง รอหลังจากฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็จะหยั่งรู้นัยเร้นลับมหามรรคที่แตกต่างกันไป”

เงาร่างผอมแห้งเอ่ย

“พี่ชายเจ้าหรือ” หลินสวินประหลาดใจ

เงาร่างผอมแห้งเอ่ย “ไม่ผิด เขาเป็นผู้ฝึกปราณจากต้นยุคดึกดำบรรพ์เหมือนกับข้า เพียงแต่พวกเราสองคนแสวงหามหามรรคต่างกันไป หลังจากข้าปิดด่านอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้พบเขาอีก แต่ข้ายังจำป้ายคำสั่งของเขาได้”

“ให้ข้าดูป้ายคำสั่งนั้นได้หรือไม่” หลินสวินถาม

เงาร่างผอมแห้งยิ้มเอ่ย “ย่อมได้” ก่อนยื่นมือเอาป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งออกมา บนนั้นมีร่องรอยอักษรอันเหิมเกริมอหังการแถวหนึ่งสลักไว้

ผู้ละทิ้งมรรค เฒ่าโดดเดี่ยว!

หลินสวินอึ้งไป “เฒ่าโดดเดี่ยวเป็นพี่ชายเจ้าหรือ”

เงาร่างผอมแห้งพยักหน้า “เขามีนามว่าเป้าซิง เรียกตัวเองว่าเฒ่าโดดเดี่ยว ส่วนข้ามีนามว่าเหมียนเยวี่ย เรียกตัวเองว่า ‘เฒ่าประลองหมาก’”

ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจ

สาเหตุที่ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิกับคนในตระกูลหลินเหล่านั้นสามารถเข้ามาในรังมารดาต้นกำเนิด มาถึงโลกต้นกำเนิดแห่งนี้ได้อย่างราบรื่น ย่อมเป็นเพราะป้ายคำสั่งที่เฒ่าโดดเดี่ยวมอบให้

พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนั้นยามเฒ่าโดดเดี่ยวออกจากจักรวรรดิจื่อเย่า เกรงว่าจะคาดเดาได้แล้วว่ายุคที่ไอวิญญาณฟื้นคืนกำลังจะมาเยือน!

“เป้าซิงเหมียนเยวี่ย (โอบดารานิทราบุหลัน)…”

หลินสวินลอบเอ่ย “เช่นนี้แล้ว เฒ่าโดดเดี่ยวคงรู้ความลับของต้นกำเนิดหมื่นมรรคมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงเลือกจำศีลในโลกชั้นล่างมาตลอด”

“ดูท่าสหายยุทธ์ก็รู้จักพี่ชายข้า” เฒ่าประลองหมากเอ่ย

หลินสวินพยักหน้า เล่าเรื่องที่ตนได้รู้จักเฒ่าโดดเดี่ยวบางส่วนให้ฟัง

“เขาจากไปแล้วหรือ…”

เฒ่าประลองหมากพึมพำ “เช่นนี้ก็ดี ละทิ้งมหามรรค ไขว่คว้าเพียงตัวเอง อาจจะมีเพียงฟากฝั่งฟ้าดาราแห่งนั้นที่ทำให้เขาสมหวังเรื่องมหามรรคได้กระมัง…”

ขณะที่พูดเขาก็ส่งกระดานหมากในมือให้หลินสวิน “สหายยุทธ์ ยังขอให้รับกระดานหมากนี้ไว้ด้วย”

กระดานหมากด้านนอกกลมด้านในเหลี่ยม ราวกับหล่อขึ้นจากทองถม ตารางหมากบนนั้นตัดสลับ ประหนึ่งร่องรอยมหามรรคปรากฏขึ้นบนนั้น

กลิ่นอายแรกกำเนิดเป็นริ้วๆ แผ่อวลขึ้นจากกระดานหมาก คลื่นมหามรรคอันลึกลับต่างๆ ไหลเวียน ดูลึกลับยิ่ง

หลินสวินกลับส่ายหัวปฏิเสธ

กระดานหมากนี้เป็นสิ่งที่เฒ่าประลองหมากทุ่มเทกายใจหลอมขึ้นมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ภายในมีกลิ่นอายต้นกำเนิดหมื่นมรรค เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันประเมินค่ามิได้ สูงค่ามากเกินไป

แต่เฒ่าประลองหมากกลับไม่สนใจคำคัดค้าน ยัดเยียดกระดานหมากให้หลินสวิน “รับไว้เถอะ ข้อแรกเพราะคิดจะพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ข้อสองเพราะข้ารู้ชัดแล้วว่าหากยึดติดอยู่กับการอนุมานสิ่งนี้ สุดท้ายก็จะติดอยู่ที่เดิมตลอดกาล หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็จะทำลายมันเสียตอนนี้”

หลินสวินถึงตกลงรับกระดานหมากนี้ไว้

เฒ่าประลองหมากชี้แนะว่า “สิ่งที่สั่งสมอยู่ในกระดานหมากนี้ แม้มีเพียงกลิ่นอายของต้นกำเนิดหมื่นมรรค แต่ความมหัศจรรย์ที่ประทับไว้ในนั้นมากพอจะทำให้สหายยุทธ์หยั่งรู้นัยเร้นลับแห่งระดับบรรพจารย์จักรพรรดิได้”

ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปที่บานประตูซึ่งคล้ายว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยว่า “หากเข้าไปในนั้นก็จะถึงแดนแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรค เพียงแต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยพลังระเบียบกดข่ม ไม่ว่าใครก็ไม่อาจนำเอาพลังต้นกำเนิดหมื่นมรรคนั้นไปได้”

“แต่ด้วยพลังปราณของเจ้าในตอนนี้ ฝึกปราณเพิ่มเติมในนั้นสักพักก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”

พูดถึงตรงนี้สายตาของเฒ่าประลองหมากก็กวาดมองเจ้าลิงที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ลิงวิญญาณแดนผีนี่เจ้าจะให้ข้าพาไปได้หรือไม่”

หลินสวินอึ้งไป “ต้องการมันไปเพื่อการใด”

เฒ่าประลองหมากยิ้มเอ่ยว่า “ผีร้ายในใจคนไม่แน่นอนเป็นที่สุด ลิงวิญญาณนี้แยะแยะใจคนได้ละเอียด ข้าเลยอยากใช้พรสวรรค์ของเขามาพินิจจิตมรรคของข้าเสียหน่อย”

หลินสวินพยักหน้าอย่างยินดี

เมื่อเฒ่าประลองหมากกวักมือ พลังจิตของเจ้าลิงนั่นก็พุ่งมาที่ฝ่ามือเขา จากนั้นก็เขาก็หมุนตัวเดินจากไปไกลลิบ

“สหายยุทธ์ ขอลาแล้ว” เสียงเลื่อนลอย

หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้ “ทำไมสหายยุทธ์ถึงรีบร้อนจากไป”

“ทำลายกรงขัง ได้รับอิสระอีกครั้ง จะยังอยู่ที่บ้าๆ นี่ไปทำไม ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้… ข้าพลาดมามากเกินไปแล้ว…”

เสียงเจือความทอดถอนใจยังแผ่กระจายอยู่ เงาร่างของเฒ่าประลองหมากก็หายลับไปแล้ว

หลินสวินยืนอยู่ตามลำพังครู่หนึ่ง ถึงค่อยเก็บ ‘กระดานหมากหมื่นมรรค’ ที่หลอมขึ้นโดยเฒ่าประลองหมากนั้นไว้ จากนั้นก็ทอดสายตามองไปที่ประตูว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไปบานนนั้น

“ช่างเถอะ กลับไปภูเขาชำระจิตสักครั้งก่อน รอจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้เรียบร้อยค่อยไปสำรวจแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคก็ไม่สาย”

หลินสวินตัดสินใจก่อนหมุนตัวกลับไปตามทางเดิม

……

ภูเขาชำระจิต

จู่ๆ ดอกบัวเขียวหนึ่งต้นที่อยู่กลางสระก็ไหวกระเพื่อมเป็นภาพลายมรรคนับไม่ถ้วน ร่างขึ้นเป็นประตูบานหนึ่งอย่างช้าๆ

ภาพนี้พลันปลุกให้เสี่ยวอู่ที่เฝ้ายามอยู่ที่นี่มาตลอดระแวดระวังขึ้นมา

ยามได้เห็นว่าเงาร่างสูงโปร่งของหลินสวินเดินออกมา เขาจึงผ่อนคลายลง เผยรอยยิ้มสดใส “พี่ใหญ่ เดินทางคราวนี้ราบรื่นดีไหม”

หลินสวินยิ้มพลางพยักหน้า

ขณะเดียวกันจิตรับรู้ของเขาแผ่กระจาย ชั่วพริบตาก็สัมผัสได้ถึงที่อยู่ของกายมรรคทั้งห้า

สวบๆๆ!

เพียงครู่เดียวกายมรรคทั้งห้าก็กลับเข้ามาในร่างต้น ประสบการณ์และความทรงจำในช่วงนี้ของร่างแยกทั้งห้าต่างผุดเข้าไปในใจหลินสวินด้วย

“หนึ่งเดือนมานี้ถึงกับเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้…”

สักพักหลินสวินจึงทำความเข้าใจได้หมด

หนึ่งเดือนก่อน ในนครต้องห้ามแห่งนี้เมื่อขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณต่างๆ ถูกถอนรากถอนโคน ภูเขาชำระจิตที่มีหลินสวินควบคุมดูแลก็กลายเป็นที่ที่ถูกจับตามองในใต้หล้า

ในช่วงที่หลินสวินจากมานี้ มีผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรมาเยี่ยมเยียนทุกวัน เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่แห้ง รุ่งเรืองอย่างไม่เคยไม่เป็นมาก่อน

ทั้งยังมีขุมอำนาจใหญ่มากมายมาคารวะ หมายจะขออยู่ใต้อาณัติภูเขาชำระจิต เพื่อจะได้รับการปกป้องจากหลินสวิน

แต่ต่างถูกพวกอาหูออกหน้าปฏิเสธทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น

กระนั้นนี่ก็ไม่ได้ขจัดความกระตือรือร้นของผู้ฝึกปราณเหล่านั้นไปโดยสมบูรณ์ ทุกวันยังมีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนมาจากทั่วสารทิศ บ้างมาเพื่อหาเส้นสาย บ้างมาเพื่อกราบอาจารย์ บ้างมาเพื่อดูเรื่องสนุกล้วนๆ…

หลินสวินเองก็คร้านจะถือสาเรื่องยิบย่อยพวกนี้

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้อย่างแท้จริงมีอยู่สองเรื่อง

เรื่องแรก ขุมอำนาจเผ่าต่างๆ ในทะเลกลืนวิญญาณจับมือกัน รวมตัวเป็น ‘พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมาร’ ทั้งใช้ชื่อพันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารเข้าสู่แดนหมื่นมรรค เสาะแสวงศุภโชคมหายุค แย่งชิงถ้ำสวรรค์แดนมงคล

ทั้งหมดนี้ทำให้สถานการณ์บริเวณทะเลตะวันออกตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง

กล่าวกันว่าในพันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารมีมหาจักรพรรดิมากมายรวมตัวกันอยู่ รากฐานพลังแกร่งกล้าหาใดเทียบ สาเหตุที่พวกเขารวมตัวเป็นพันธมิตร ก็เพื่อร่วมกันต้านภัยคุกคามจากหลินสวิน!

ต้นเหตุก็เพราะพลังที่หลินสวินเผยออกมาในศึกล้างบางขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณน่าสะพรึงเกินไป ไม่ว่าใครก็รู้สึกกดดันถึงขีดสุด

และหากเผ่าต่างๆ ในทะเลกลืนวิญญาณต้องการไปเสาะแสวงศุภโชคและวาสนาในแดนหมื่นมรรค จะต้องเกิดการต่อสู้และเข่นฆ่ามากมายอย่างแน่นอน

ในช่วงสั้นๆ อาจจะไม่กระทบมาถึงหลินสวิน แต่พอนานเข้า หากเกิดความขัดแย้งอะไร เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว

และเพราะใคร่ครวญถึงระยะยาวเช่นนี้ พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารจึงเกิดขึ้นมา

หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องนี้

ไอวิญญาณฟื้นคืนในโลกชั้นล่างนี้ วาสนาต่างๆ จะทะลักออกมาไม่หยุด เกรงว่าไม่ว่าใครก็ต้องไปช่วงชิงอย่างอดไม่ได้

แต่จักรวรรดิจื่อเย่าเปลี่ยนเป็นแดนหมื่นมรรคมานานแล้ว อาณาเขตขยายขึ้นร้อยเท่าพันเท่า ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องแปรเปลี่ยนเป็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เทียบได้กับแคว้นกลางมรรค

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ อาศัยเพียงพลังที่ภูเขาชำระจิตมี ไม่มีทางควบคุมทั้งแดนหมื่นมรรคได้อยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นหลินสวินก็ไม่มีความคิดจะปกครองใต้หล้า ครอบครองวาสนาทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว ขอเพียงควบคุม ‘แดนศักดิ์สิทธิ์หมื่นมรรค’ ของนครต้องห้ามแห่งนี้ไว้มั่นก็พอแล้ว

และขอเพียงไม่มาหาเรื่องบนหัวเขา การเข่นฆ่าและแย่งชิงที่เกิดขึ้นในแดนหมื่นมรรค เขาย่อมไม่ใส่ใจอะไรมากมายอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องที่สองก็คือ ช่วงนี้มีข่าวมากมายกระจายออกมาในนครต้องห้าม ว่าขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณจะหวนกลับมาในอีกไม่นาน!

กำลังคนที่ส่งมาคราวนี้จะแข็งแกร่งเกินจินตนาการ

ไม่ต้องเดาสักนิดก็รู้ว่าตอนที่กำลังพลของขุมอำนาจใหญ่ดินแดนรกร้างโบราณเหล่านี้บุกมา จะต้องมาล้างแค้นกับภูเขาชำระจิต!

“ดูท่าเพื่อควบคุมโลกชั้นล่างที่ไอวิญญาณฟื้นคืนนี้ ขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้นคงคลุ้มคลั่งจนไม่สนว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนทั้งหมดแล้ว…”

นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นชาลงเล็กน้อย

แต่เขายังไม่สนใจเหมือนเคย

โลกชั้นล่างแห่งนี้ยังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้รับพลังได้เพียงระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งสัมบูรณ์เท่านั้น

นี่ก็หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิคนใด ขอเพียงปรากฏตัวในแดนหมื่นมรรคแห่งนี้ พลังปราณก็จะต้องถูกข่มอยู่ที่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง

สำหรับหลินสวินแล้ว แค่ใช้พลังของกายมรรคทั้งห้าก็สามารถเคลื่อนกวาดทั้งแดนหมื่นมรรคได้แล้ว!

ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงยอดภูเขาชำระจิต

เขาสะบัดแขนเสื้อ ปล่อยสมาชิกราชวงศ์กับคนตระกูลหลินเหล่านั้นที่ช่วยกลับมาออกจากเจดีย์ไร้สิ้นสุด

ระหว่างที่กลับมาจากโลกภายนอก พวกจ้าวไท่ไหล หลินจงก็ฟื้นแล้ว เพียงแต่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ สับสนงุนงงไปหมด

กระทั่งตอนนี้พออยู่ในโถงใหญ่แห่งนี้ มองดูหลินสวินที่ยืนยิ้มอยู่ไกลๆ ทุกคนยังตาเบิกกว้างอย่างอดไม่ได้ คล้ายนึกว่าฝันไปจริงๆ…

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท