Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2396 แดนใหญ่พันศึก

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2396 แดนใหญ่พันศึก

ตอนที่ 2396 แดนใหญ่พันศึก

พวกอาหลู่ เสี่ยวอิ๋นต่างอึ้งไป ไม่เต็มใจอยู่บ้าง

“พี่ใหญ่ นอกจากเจ้าคางคก พวกเราต่างบรรลุเป็นจักรพรรดิหมดแล้ว” อาหลู่เอ่ย “เหตุใดถึงไม่ให้พวกเราตามไปกรำศึกร่วมกับท่าน”

“ใช่แล้ว นายท่าน” เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน มองดูหลินสวินอย่างคาดหวัง

ความจริงแล้วในใจหลินสวินก็ทำใจจากลาไม่ได้อยู่บ้างเช่นกัน แต่ยังสายหัวเอ่ยว่า “ถ้าพวกเจ้าหวังดีกับข้าจริงก็อยู่ที่นี่ ช่วยข้าปกป้องสำนักยุทธ์ก่อเกิดให้ดี ยามกลับมาคราวหน้า ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นอีกแล้ว”

อาหูก็เอ่ยขึ้นจากอีกด้านว่า “มหามรรคมากมาย ต่างคนต่างแสวงหา ในเมื่อคุณชายตัดสินใจเช่นนี้ ย่อมคิดไตร่ตรองอย่างดีมานานแล้ว พวกเจ้าน่ะ… เชื่อฟังดีๆ ก็พอ”

หลินสวินยิ้มเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้จะจากไปตอนนี้”

พวกเสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียนดูออกว่าหลินสวินตัดสินใจแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ในใจจึงหดหู่อยู่หน่อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

หลินสวินรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถึงได้ทำให้บรรยากาศไม่ถึงกับเศร้าซึมและเจ็บปวดมากไปนัก

……

หนึ่งวันผ่านไป

หลินสวินกลับไปแดนลับบัวเขียวอีกครั้ง เริ่มควบรวมต้นกล้าของต้นแรกกำเนิด

ด้านเจ้าคางคกออกไปท่องเที่ยงภายนอกเพียงลำพัง ในบรรดาพวกพ้องมีเพียงเขาที่ยังไม่บรรลุจักรพรรดิสักที นี่ทำให้เขาตระหนักได้เช่นกัน ว่าเพียงแค่ปิดด่านฝึกปราณย่อมไม่อาจได้รับจุดเปลี่ยนทะลวงระดับ

ด้วยการกำชับของอาหู อาหลู่ตามหลังเจ้าคางคกไปเงียบๆ ปกป้องเขาอยู่ลับๆ

โลกชั้นล่างในตอนนี้ นอกจากนครต้องห้ามแล้ว ที่อื่นๆ ต่างเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด วุ่นวายหาใดเทียบ การเข่นฆ่าและความขัดแย้งพบเห็นได้ทุกหนแห่ง

แม้เจ้าคางคกจะห่างจากระดับจักรพรรดิเพียงก้าวเดียว แต่ก็ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิอยู่ดี หากมีอาหลู่คุ้มครองอยู่ลับๆ ต่อให้ได้รับภัยคุกคามถึงชีวิตอะไรก็อยู่รอดปลอดภัย

เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนกลับอยู่ทำหน้าที่ผู้อาวุโสชั้นสูงร่วมกับอาหูบนภูเขาชำระจิต

ความจริงแล้วก็เป็นตำแหน่งแค่ในนามตำแหน่งหนึ่ง

แต่ใครก็รู้ว่าหากมีพวกเขาอยู่ ต่อให้ภายหน้าหลินสวินจากไป สำนักยุทธ์ก่อเกิดก็มีรากฐานพลังที่สามารถสยบโลกได้!

หนึ่งปีผ่านไป

ชายฝั่งทะเลตะวันออก

หยวนชิงเหิงที่สวมชุดกระโปรงเขียวทั้งตัว ผมดำปักปิ่นเดินอยู่ในเมืองอันเฟื่องฟูแห่งหนึ่ง ในเนตรกระจ่างทั้งคู่เจือแววสงสัย

ตลอดทางมีคนตกตะลึงกับรูปโฉมงามล่มเมืองอันเลิศล้ำของนางไปไม่รู้เท่าไร แต่เมื่อจะสังเกตดูดีๆ เงาร่างอรชรของนางก็หายลับไปนานแล้ว

‘ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเต้ายวนคนนั้นถึงกับเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล มิหนำซ้ำยังมีชื่อเสียงในแดนหมื่นมรรคแห่งนี้ปานนี้ด้วย’

บนถนนอันขวักไขว่ หยวนชิงเหิงเอ่ยขึ้นในใจว่า ‘ท่านย่าซิง ก่อนจากไปข้าอยากไปพบคนผู้นี้อีกครั้ง’

‘คุณหนู ท่านอยากรับเขาไว้ข้างกายหรือ เรื่องนี้ไม่ง่ายนัก ท่านก็พูดออกมาแล้วว่าเขาเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล’ เสียงท่านย่าซิงดังขึ้นในห้วงนิมิต

‘ข้าไม่ได้คิดจะรับเขา ข้าแค่อยากชี้ทางสว่างให้เขา ก็ถือว่า… ทำบุญสักครั้งกระมัง’

หยวนชิงเหิงไพล่มือขาวสะอาดเรียวยาวไว้ข้างหลัง ดวงตากระจ่าง ท่วงท่าดุจเซียนในภาพเขียน แม้เดินอยู่กลางถนนที่พลุกพล่านขวักไขว่ แต่กลับไม่ทิ้งกลิ่นอายใดๆ สักนิด

‘ทำบุญหรือ นี่ก็นับว่าได้อยู่ แต่จำไว้ว่าอย่ายึดติดกับคนผู้นี้มากไปนัก ในโลกยอดนิรันดร์มีเผ่าจักรพรรดิอมตะไม่น้อยมองคีรีดวงกมลเป็นศัตรู’ ท่านย่าซิงเอ่ยเตือน

หยวนชิงเหิงร้องอืม เอ่ยว่า ‘ท่านย่าซิง ท่านไม่รู้สึกว่าเส้นทางการผงาดขึ้นของหลินเต้ายวนผู้นี้น่าสนใจมากหรือ ตอนเขายังเยาว์ก็ผงาดขึ้นที่จักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ จนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปร้อยกว่าปีก็เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิที่มีอำนาจเหนือทั่วหล้า มีชื่อสะเทือนเก้าฟ้าไปแล้ว นี่จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว’

‘ที่คุณหนูพูดมาก็ถูก แม้โลกนี้จะมีไอวิญญาณฟื้นคืน แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับโลกยอดนิรันดร์สักนิด นี่ก็เหมือนความแตกต่างของเมืองน้อยๆ กับมหาสมุทรไพศาล’

ท่านย่าซิงเอ่ย ‘หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ บรรลุมกุฎจักรพรรดิได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ก็เรียกได้ว่าหายากยิ่งในโลกแล้ว และมีแต่ในเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์เท่านั้นถึงจะมีอัจฉริยะเลิศล้ำเช่นนี้ถือกำเนิด’

‘แต่หลินเต้ายวนผู้นี้กลับบรรลุมกุฎจักรพรรดิได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ในสถานที่พรรค์นี้ นี่น่าเหลือเชื่อจริงๆ จากเรื่องนี้ก็ดูออกว่ารากฐานพลังของคีรีดวงกมลย่อมไม่มีทางธรรมดาเช่นกัน’

‘ข้ากล้าฟันธงว่าเกรงว่าทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ จะมีเพียงหลินเต้ายวนคนเดียวที่มีความสำเร็จเช่นนี้บนมรรคา’

หยวนชิงเหิงเอ่ย ‘ดังนั้นข้าจึงอยากดูสักหน่อย ว่าคนอย่างเขาถ้าได้เข้าไปในโลกยอดนิรันดร์จะก่อคลื่นลมได้ใหญ่โตปานไหน’

‘คุณหนู ท่านคิดจะทำเช่นไร’ ท่านย่าซิงถาม

‘นำทาง’ หยวนชิงเหิงเอ่ยง่ายๆ

เจ็ดวันผ่านไป

นครต้องห้าม

หน้าภูเขาชำระจิต หยวนชิงเหิงปรากฏตัวเพียงลำพัง

นางเหลือบมองผู้สืบทอดส่วนหนึ่งที่เฝ้าหน้าประตูสำนัก

แทบจะในเวลาเดียวกัน กายมรรควารีดำที่ดูแลอยู่บนภูเขาชำระจิตมาโดยตลอดก็ตื่นจากนั่งสมาธิ ยืดกายลุกขึ้น

ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็ปรากฏหน้าประตูภูเขาสำนักกลางอากาศ มองดูหยวนชิงเหิงด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าแม่นางหยวนจะเป็นฝ่ายมาเยือนด้วยตัวเอง คราวนี้มีธุระใดหรือ”

“ไม่มีธุระก็มาไม่ได้หรือ”

เนตรดาราของหยวนชิงเหิงประหนึ่งน้ำพราวระยับ ชำเลืองมองหลินสวินคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวข้าก็จะกลับโลกยอดนิรันดร์แล้ว ก่อนจากไปอยากคุยกับเจ้าสักหน่อย”

“ยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง”

หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็มีหลายเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากแม่นางมานานแล้ว เชิญเลย”

ขณะพูดก็นำทางไปก่อน

หยวนชิงเหิงพยักหน้าแล้วตามหลังไป

ตลอดทางผู้สืบทอดสำนักยุทธ์ก่อเกิดไม่รู้เท่าไรต่างตกตะลึง ข้อแรกคือตื่นตะลึงกับรูปโฉมของหยวนชิงเหิง งดงามเกินไปแล้วจริงๆ

ข้อสองคือพิศวงว่านางมีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงกับทำให้ท่านบรรพจารย์มารับและนำทางด้วยตัวเอง

หลินสวินไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ หยวนชิงเหิงยิ่งสุขุมเยือกเย็นไม่หวั่นไหว

อย่าว่าแต่สถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้อยู่ในโลกยอดนิรันดร์ อยู่เบื้องหน้าคนใหญ่คนโตในเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น หยวนชิงเหิงก็ยังหยิ่งทระนงอยู่ สุขุมเยือกเย็นเช่นนี้

บนยอดเขา

ทะเลเมฆหนาแน่น ลมภูเขาไหวเคลื่อน

หลินสวินกับหยวนชิงเหิงนั่งตรงข้ามกันหน้าต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง บนโต๊ะเตี้ยตรงกลางมีน้ำชาและสำรับอาหารโอชะวางอยู่

“ที่นี่นับว่าไม่ธรรมดา ถึงกับมีแกนกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรค ไม่เกินร้อยปีจะต้องเป็นเขามงคลอันดับหนึ่งแน่”

หยวนชิงเหิงประเมินรอบๆ เสียงเสนาะหูดุจสายธารกระทบหิน

“แม่นางชมเกินไปแล้ว”

หลินสวินยิ้มพลางรินชาให้อีกฝ่าย “เทียบกับโลกยอดนิรันดร์ เกรงว่าสถานที่เช่นนี้จะเทียบไม่ติด”

ดวงตาทั้งสองของหยวนชิงเหิงจ้องหลินสวิน เอ่ยว่า “เช่นนั้นสหายยุทธ์คิดจะไปโลกยอดนิรันดร์ดูสักครั้งหรือไม่”

หลินสวินพยักหน้ายิ้มเอ่ย “คิดไว้นานแล้ว แต่เรื่องอื่นๆ รัดตัว ไม่ได้ลงมือทำสักที”

ความงามของหยวนชิงเหิงเป็นกลิ่นอายสูงส่งสง่างามที่เปล่งออกมาจากแก่นแท้ของนางเอง ต่อให้นั่งอยู่ตรงข้าม แต่ก็ยังให้ความรู้สึกเลื่อนลอยยากจับต้องเหมือนเคย

ประหนึ่งว่านางไม่ได้มาจากฟ้าดินและโลกนี้อยู่แล้ว

ยามเผชิญหน้ากับนาง ขนาดหลินสวินยังต้องยอมรับว่าหญิงผู้นี้พิเศษจริงๆ ความเชื่อมั่นในตัวเองที่เผยออกมาอย่างไม่อาจจับต้องได้นั้น เป็นสิ่งที่บุคคลระดับจักรพรรดิบางคนยังไม่อาจมีได้

“เช่นนั้นสหายยุทธ์รู้ไหมว่าจะไปอย่างไร” หยวนชิงเหิงเอ่ยถาม

หลินสวินเลิกคิ้ว ส่ายหัวเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้”

“พูดเช่นนี้ ข้ามาคราวนี้ก็เหมาะเจาะจริงๆ”

หยวนชิงเหิงยิ้มทันที ใบหน้าขาวสะอาดงามกระจ่างดุจภาพวาด ฉายความงามที่พาจิตวิญญาณสั่นสะท้านภายใต้ท้องฟ้าอันเจิดจ้า

หลินสวินประหลาดใจ “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

หยวนชิงเหิงเอ่ย “ข้ามาคราวนี้ก็เพื่อชี้แนะสหายยุทธ์ว่าจะไปโลกยอดนิรันดร์แห่งนั้นได้อย่างไร”

“เชิญว่ามาได้เลย” หลินสวินสนใจนัก

ต่อมาหยวนชิงเหิงก็พูดเรื่องนี้ออกมาทั้งหมด

ที่แท้ ไม่ว่าจะไปจากทางเดินโบราณฟ้าดาราหรือห้วงจักรวาลอื่นในโลกพันจักรวาล หากอยากไปฟากฝั่งฟ้าดารา หรือก็คือโลกยอดนิรันดร์ มีเพียงสองวิธี

วิธีแรกคือการนำทาง

หรือก็คือให้ขุมอำนาจใหญ่ในโลกยอดนิรันดร์ลงมือ ไปนำทางผู้แข็งแกร่งจากโลกจักรวาลอื่นมายังโลกยอดนิรันดร์

แต่กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว ขุมอำนาจในโลกยอดนิรันดร์แทบไม่ต้องการทำเช่นนี้

เพราะวิธีนำทางต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงลิบถึงที่สุด ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่อย่างเผ่าจักรพรรดิอมตะก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย

จากคำพูดของหยวนชิงเหิง ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายในการนำทางผู้ฝึกปราณจากโลกจักรวาลอื่นไปยังโลกยอดนิรันดร์นั้น มหาศาลถึงขั้นสูงกว่าการบ่มเพาะระดับจักรพรรดิคนหนึ่งเสียอีก!

หากไม่ใช่ช่วงเวลาพิเศษยิ่ง ย่อมไม่มีขุมอำนาจใดเลือกไปนำทางคนนอกมาเด็ดขาด

วิธีที่สองก็คือไป การบุกเข้าไปใน ‘แดนใหญ่พันศึก’ เปิดเส้นทางสู่โลกยอดนิรันดร์จากแดนใหญ่พันศึก!

แดนใหญ่พันศึกที่ว่า ก็คือมิติจักรวาลที่พาดอยู่ระหว่างโลกยอดนิรันดร์กับโลกพันจักรวาล รูปร่างคล้ายเส้นทางที่แผ่สยายไปบนฟ้าดาราสายหนึ่ง

ระหว่างทางมีด่านอยู่เป็นชั้นๆ อันตรายไม่อาจคาดเดา

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด หากยักษ์ใหญ่เทียมฟ้าที่ออกมาจากจักรวาลต่างๆ ของโลกพันจักรวาลต้องการไปโลกยอดนิรันดร์ ต่างต้องบุกฝ่าด่านนี้ไปแทบทั้งนั้น

แต่ผู้ที่ออกมาจากแดนใหญ่พันศึกนี้ได้จริงๆ ในพันคนกลับไม่มีสักคน!

สาเหตุก็ง่ายดายนัก

อันตรายในแดนใหญ่พันศึกนี้ สามารถคุกคามผู้แข็งแกร่งทุกคนที่อยู่ในระดับจักรพรรดิเก้าขั้น!

กระทั่งว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ก็มีโครงกระดูกมหาจักรพรรดิฝังอยู่บนทางสายนี้ไม่รู้เท่าไร บริเวณด่านแต่ละด่านของแดนใหญ่พันศึกยังถูกเลือดจักรพรรดิแดงสดย้อมเป็นสีแดง

ส่วนผู้แข็งแกร่งที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ ไม่มีคุณสมบัติไปยังแดนใหญ่พันศึกด้วยซ้ำ

เพียงแค่อันตรายที่มีอยู่ทั่วเส้นทางของแดนใหญ่พันศึกนั้น ล้วนสามารถปลิดชีพผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย!

ก็ด้วยเหตุนี้แดนใหญ่พันศึกจึงถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทางโลหิตแห่งจักรพรรดิ’ หากบุกฝ่าไปได้ก็จะเข้าสู่โลกยอดนิรันดร์ ไปเสาะแสวงมรรคอมตะนั้นได้

หากผ่านไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นโครงกระดูกในแดนใหญ่พันศึก!

พอได้รู้เรื่องเหล่านี้ หลินสวินก็อึ้งไปอย่างห้ามไม่ได้

เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกว่าการไปโลกยอดนิรันดร์ถึงกับจะต้องพบการทดสอบที่อันตรายเช่นนี้ด้วย

นี่หมายความว่าต่อให้ทางเดินโบราณฟ้าดาราไม่มีพลังระเบียบต้องห้ามปกคลุม คิดจะข้ามฟ้าดาราไปยังโลกยอดนิรันดร์ที่อยู่อีกฟากฝั่งฟ้าดารานั้น ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ง่ายๆ อย่างไม่ต้องสงสัย!

จากนั้นหลินสวินก็นึกถึงเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคีรีดวงกมลอย่างพวกศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่สามที่จากไปตั้งแต่หลายปีก่อน

พวกเขา… ก็ต้องประสบอันตรายของแดนใหญ่พันศึกด้วยหรือไม่

ไหนจะผู้ฝึกปราณที่ตอนนั้นถือโอกาสตอนพลังระเบียบต้องห้ามหายไป กรูกันไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราด้วยกันเหล่านั้น

ในกลุ่มนั้นแม้มีระดับจักรพรรดิ แต่ก็ยังมีบุคคลที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิอีกมากมาย หากเข้าไปในแดนใหญ่พันศึก…

เป็นไปได้สูงยิ่งที่จะรอดชีวิตกลับมาได้ยาก!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท