Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2402 จักรวาลที่ล่มสลาย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2402 จักรวาลที่ล่มสลาย

ตอนที่ 2402 จักรวาลที่ล่มสลาย

ฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาล ยานขนส่งอวกาศห้อตะบึง

บนหัวยานหลินสวินนอนอยู่บนเก้าอี้โยกอย่างเกียจคร้าน หรี่ตาเล็กน้อย ท่าทางผ่อนคลาย

แม้ว่ายานขนส่งอวกาศจะเป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง แต่กรำศึกร่วมกับหลินสวินมาหลายปีเช่นนี้ ระหว่างคนกับสิ่งของจึงเกิดความรู้สึกร่วมกันนานแล้ว ไม่อาจละทิ้งกันได้

“ครั้งนี้ต้องเดินทางนานเท่าไหร่กว่าจะถึง ‘ประตูข้ามแดนพันจักรวาล’” หลินสวินถาม

นกกระจอกเขียวตัวหนึ่งยืนอยู่บนโต๊ะข้างๆ ดวงตาฉลาดเฉลียว ขนสวยเกลี้ยงเกลา กรงเล็บขาวกระจ่างดุจหิมะ

นี่คือนกกระจอกเขียวที่หยวนชิงเหิงมอบให้ ก่อนหน้านี้ถูกผนึกอยู่ในถุงหอมสีเขียวอ่อนที่ปักคำว่า ‘หยวน’ นั้นมาตลอด

นกกระจอกเขียวใช้จะงอยปากจัดแต่งขนพลางกล่าวเสียงกังวาน “นานมาก ด้วยความเร็วของยานบุโรทั่งลำนี้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปี”

ยานบุโรทั่ง?

เห็นชัดว่านกกระจอกเขียวตัวนี้ไม่เหลียวแลยานขนส่งอวกาศสักนิด ความหยิ่งทะนงจากท่าทางและน้ำเสียงก็เหมือนหยวนชิงเหิงเจ้านายของมัน

หลินสวินยิ้มรับ ไม่ได้พูดอะไรอีก

ประตูข้ามแดนพันจักรวาลก็คือประตูมุ่งสู่แดนใหญ่พันศึก ประตูเช่นนี้รวมแล้วมีแปดแห่ง ปรากฏอยู่ในอาณาเขตต่างๆ ของโลกพันจักรวาล

บุคคลระดับจักรพรรดิในมิติจักรวาลต่างๆ ของโลกพันจักรวาล ล้วนต้องผ่าน ‘ประตูข้ามแดน’ แปดแห่งนี้จึงจะเข้าไปในแดนใหญ่พันศึกได้

สิ่งที่หลินสวินถามก่อนหน้านี้ก็คือประตูข้ามแดนพันจักรวาลที่อยู่ใกล้ทางเดินโบราณฟ้าดาราที่สุด

หลินสวินไม่พูดจา นกกระจอกเขียวก็คร้านจะเอ่ยปาก จัดแต่งขนต่อโดยไม่สนใจ ผงกหัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว กวาดมองฟ้าดาราภายนอกเล็กน้อย

หนึ่งคน หนึ่งนก หนึ่งยาน ท่องไปในฟ้าดาราที่กว้างใหญ่อย่างต่อเนื่องเช่นนี้

ระหว่างทางพบเจอเงาร่างผู้ฝึกปราณบางส่วน ส่วนใหญ่จะนั่งบนยานข้ามโลกที่มหึมาหาใดเปรียบ สวนกันไปมาในฟ้าดารา

สามารถเจอระดับจักรพรรดิบางส่วนก้าวผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าเป็นครั้งคราวเช่นกัน แต่ก็แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

สรุปคือ มีแค่คนที่เหยียบย่างอยู่ในฟ้าดาราอย่างแท้จริงที่รู้ถึงความกว้างใหญ่ของจักรวาล

ทางเดินโบราณฟ้าดาราก็รวมอยู่ในเขตแดนดาราใหญ่ เขตแดนดาราแต่ละแห่งประกอบด้วยโลกนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกปราณทั่วไป ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็เกรงว่าไม่อาจก้าวออกมาจากโลกแห่งหนึ่งได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการเดินทางในฟ้าดาราเลย

ในฟ้าดารายิ่งไม่มีสันติสุข มีกองโจรฟ้าดารากระจายอยู่มากมาย คอยสกัดยานข้ามโลกที่ข้ามผ่านแต่ละโลกโดยเฉพาะเหมือนฝูงตั๊กแตน

นอกจากขุมอำนาจพวกนี้แล้ว ในฟ้าดารายังมีพิบัติฟ้าชวนประหวั่นกระจายอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่นห้วงอากาศปั่นป่วน พายุธารดารา ลำแสงหลุมดำ รวมถึงพวกอุกกาบาตเป็นต้น

อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไป ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิ หากเจอพิบัติฟ้าชวนประหวั่นเช่นนี้ก็ได้แต่หลบเลี่ยงไปให้ไกล

แต่สำหรับหลินสวิน พวกนี้ล้วนไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่การใช้ชีวิตเร่งเดินทางที่เหี่ยวเฉาเท่านั้น

‘เจดีย์ไร้สิ้นสุด ดาบหัก เตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง กล่องกระบี่เกิดใหม่ ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร…’ ระหว่างทางหลินสวินตรวจสอบสมบัติของตนรอบหนึ่ง

สมบัติที่รวบรวมมาในหลายปีนี้ส่วนใหญ่ล้วนนำมาใช้ไม่ได้ ถูกเขาทิ้งไว้บนภูเขาชำระจิต บนตัวเขาตอนนี้พกแค่สมบัติที่จำเป็นบางส่วนติดตัวมาเท่านั้น

สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ หลายปีมานี้เมื่อดูดซับและหล่อหลอมพลังของเพลิงหงส์ระเบียบ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบเชียบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณลักษณะหรืออานุภาพล้วนแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนขึ้นอีกช่วงใหญ่

หลินสวินเก็บพลังระเบียบแดนปรินิพพานที่กลายเป็นลายดอกบัวไว้ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งด้วยเช่นกัน

จากที่เขาคาดเดา เพลิงหงส์ระเบียบน่าจะอยู่ใน ‘ระดับปฐพีขั้นห้า’ ไม่ถึงขั้นแย่เกินไป แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่

แต่สุดท้ายพลังระเบียบก็เป็นพลังระเบียบ เหนือกว่าระดับบรรพจารย์ บรรพจารย์จักรพรรดิทั่วไปล้วนไม่อาจได้ครอบครอง

ส่วนพลังระเบียบของแดนปรินิพพาน ความจริงแล้วก็เป็นพลังระเบียบต้นกำเนิดของทางเดินโบราณฟ้าดารา ระดับของมันย่อมเหนือกว่าเพลิงหงส์ระเบียบมาก

ถึงขั้นนำไปต้านทานพลังระเบียบอสนีระดับปฐพีขั้นแปดของตระกูลลั่วได้

หลินสวินสงสัยว่าระดับของระเบียบนิพพาน มีโอกาสสูงว่าจะเหนือกว่าระเบียบอสนีของตระกูลลั่ว!

แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของเขา ความเข้าใจที่มีต่อพลังระเบียบ หลินสวินยังอยู่ในขั้นที่รู้เพียงแค่ผิวเผินแต่ไม่รู้ถึงแก่นแท้ภายใน เลือนรางและคลุมเครือเกินไป

หนึ่งคือด้วยมรรควิถีของเขายังไม่บรรลุถึงขั้นหยั่งรู้พลังระเบียบ สองก็คือพลังระเบียบที่เขาเคยพบเจอสุดท้ายแล้วยังมีน้อยนัก

‘ด้วยมรรควิถีของข้าในตอนนี้ ไม่ต้องเกรงกลัวบรรพจารย์จักรพรรดิแล้ว แต่หากเจอคนที่อยู่ในระดับอมตะก็เกรงว่าจะได้แต่หลบหนี’

หลินสวินจมสู่ความคิด ‘ยังดีที่บุคคลซึ่งเหนือกว่าระดับบรรพจารย์บนโลกนี้ สุดท้ายแล้วก็มีน้อยมาก คิดอยากเจอย่อมไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น’

‘แต่หากเข้าไปในโลกยอดนิรันดร์ คิดจะไปสู้กับขุมอำนาจใหญ่โตอย่างตระกูลลั่ว ด้วยพลังของข้าในตอนนี้เกรงว่าคงไม่พอ…’

หลายปีนี้ความก้าวหน้าด้านพลังปราณของหลินสวินไม่อาจพูดได้ว่าเร็วนัก แต่ละก้าวล้วนค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคง หากอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราย่อมพอจะวางอํานาจบาตรใหญ่ได้

แต่หากเข้าไปในโลกยอดนิรันดร์ พลังปราณอย่างเขาเกรงว่าคงไม่อาจไปสู้กับเผ่าจักรพรรดิอมตะได้อย่างสิ้นเชิง

‘จำเป็นต้องรีบฝึกปราณ แม้ว่าแดนใหญ่พันศึกนั้นจะอันตรายนองเลือดหาใดเปรียบ แต่ก็เป็นสถานที่ฝึกตนที่ล้ำเลิศแห่งหนึ่ง’

หลินสวินคิดพลางมุ่งหวังในใจอย่างอดไม่ได้

แดนใหญ่พันศึก!

นั่นเป็นสถานที่ซึ่งมีเพียงระดับจักรพรรดิชั้นยอดที่สามารถโลดแล่นได้ ถ้าอยากทะลวงผ่านไป บางทีอาจต้องเปิดทางสังหารเลือด แต่หลินสวินไม่ได้หวาดเกรง

เขาไม่เคยกลัวคู่ต่อสู้มาก่อน เกรงแต่จะขาดผู้ท้าประลอง!

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ยานขนส่งอวกาศพาหลินสวินกับนกกระจอกเขียวออกจากอาณาเขตที่ทางเดินโบราณฟ้าดาราปกคลุม มาถึงเขตแดนดารารกร้างที่แปลกใหม่และโกลาหลแถบหนึ่งในที่สุด

ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยพายุกาลเวลาพัดหวือโหมทำลาย ลำแสงพลิกตลบดุจกระแสน้ำ พิบัติฟ้าประหลาดนานัปการเกิดขึ้นบ่อยครั้ง น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

เวลานี้หลินสวินก็จำต้องเก็บยานขนส่งอวกาศลงไป เริ่มจดจ่ออยู่กับการเดินทาง

จากคำพูดของนกกระจอกเขียว นี่คือมิติจักรวาลที่ตกอยู่ในพิบัติเคราะห์ล่มสลายแถบหนึ่ง อยู่ห่างจากทางเดินโบราณฟ้าดารา อันตรายเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปมีแค่ระดับจักรพรรดิที่โลดแล่นอยู่ในนั้น

ระหว่างทางมุ่งสู่ประตูข้ามแดนพันจักรวาล พิบัติเคราะห์จักรวาลล่มสลายเช่นนี้มีจำนวนไม่น้อย

หลินสวินเดินทางอยู่ในนั้น ด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ ยามเคลื่อนผ่านห้วงอากาศเพียงพริบตาก็สามารถปรากฏตัวในจุดที่ห่างออกไปพันลี้ได้

แต่เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ หลินสวินก็ไม่อาจไม่ชะลอความเร็ว ความจริงคือพิบัติเคราะห์ในฟ้าดารานี้มากเกินไป น่าหวาดกลัวไร้จำกัด

บางครั้งแสงเคลื่อนระลอกหนึ่งเหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า แต่ชั่วพริบตาก็ม้วนพัดมาอยู่ตรงหน้า หากตกอยู่ในนั้น เลือดเนื้อและจิตวิญญาณทั้งตัวจะถูกลบหายไปในพริบตา

บางอาณาเขตที่ดูเหมือนนิ่งสงบก็เป็นไปได้สูงว่าจะปรากฏหลุมอากาศมหึมาหาใดเปรียบอย่างไม่ทันตั้งตัว ราวกับปากใหญ่มหึมาที่เปิดออก ไม่ว่าใครตกลงไปล้วนไม่มีโอกาสได้กลับตัว

ตลอดทางที่ก้าวไปเบื้องหน้านี้ หลินสวินพบเจออันตรายที่เกิดขึ้นกะทันหันบางส่วนเช่นกัน แม้ว่าสุดท้ายจะหลบเลี่ยงได้อย่างหวุดหวิด แต่ในใจก็ไม่วายเคร่งเครียด

ไม่กี่วันผ่านไป

หลินสวินเพิ่งหลบเลี่ยงกลุ่มเมฆสีเทาที่เหมือนหลุมดำแถบหนึ่ง ฉับพลันก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้น

“ผู้อาวุโส…!”

“พวกเจ้ารีบหนีไป! ไม่ต้องสนใจข้า!”

หลินสวินอึ้งงัน จิตรับรู้พลันกวาดไปทันที

ก็เห็นว่าในฟ้าดาราที่ห่างไกลมีวังวนหลุมดำมหึมาหาใดเปรียบพาดขวางอยู่ ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนถูกฉีกกระชาก บิดเบี้ยว ขาดสะบั้น

หญิงที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายระดับจักรพรรดิคนหนึ่งติดอยู่ฝั่งหนึ่งของวังวนหลุมดำ แสงมรรคพวยพุ่งไปทั้งตัว ใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดจึงพอฝืนทรงตัวได้ แต่คิดจะหลุดพ้นกลับทำไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

ทั้งเมื่อวังวนหลุมดำนั้นหมุนวน พลังกลืนกินบิดเบี้ยวที่พุ่งทะยานออกมาก็น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ทำให้หญิงคนนั้นเผยสีหน้าสิ้นหวังอย่างอดไม่ได้

ในจุดที่ห่างจากวังวนหลุมดำนั้นไปไม่ไกล มีเบาะรองนั่งเพลิงวายุผืนหนึ่ง บนเบาะรองนั่งมีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ มีทั้งชายและหญิง ล้วนร้อนรนไม่หยุด ไม่อาจฝืนทนจากไป

“รีบหนีไป!”

หญิงที่ติดอยู่ตรงขอบวังวนหลุมดำกล่าวเสียงแข็ง “ไม่ง่ายกว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าออกไปได้ หรือพวกเจ้าอยากตายอยู่ที่นี่พร้อมข้า”

ชายหญิงเหล่านั้นล้วนเผยสีหน้าโศกเศร้า

ในตอนนี้เองมือใหญ่ข้างหนึ่งพลันตัดผ่านอากาศ เอื้อมไปทางวังวนหลุมดำ มือใหญ่นั้นมีแสงมรรคไหลวน เพิ่งปรากฏตัวก็บีบกดจนวังวนหลุมดำนั้นสั่นสะเทือนรุนแรง ส่งเสียงครวญไม่หยุด

เหตุการณ์น่าเหลือเชื่อนี้ทำให้ชายหญิงเหล่านั้นต่างตะลึงตาค้าง

ขณะเดียวกันเมื่อมือใหญ่เอื้อมคว้า

หญิงที่ติดอยู่ในวังวนหลุมดำก็ถูกหิ้วขึ้นมาแล้วพาไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยใกล้เคียง

“ผู้อาวุโสถูกช่วยแล้ว!”

ชายหญิงเหล่านั้นระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี ตื่นเต้นหาใดเปรียบ

ส่วนหญิงที่เดิมเตรียมใจตาย หลังจากถูกช่วยก็อึ้งไป จากนั้นก็หันหลังขวับ โค้งคำนับไปทางมือใหญ่ที่ยื่นออกมา

“จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นคนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน ขอบคุณสหายยุทธ์ที่ช่วยชีวิต!”

ชายหญิงเหล่านั้นเงยหน้ามองไป ก็เห็นเงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งเหินห้วงอากาศมาแต่ไกล ชุดสีขาวพระจันทร์โบกสะบัด ราบเรียบพ้นโลกีย์ราวกับเทพเซียน

แน่นอนว่าย่อมเป็นหลินสวิน

ได้ยินจินเทียนเสวี่ยอวิ๋นบอกชื่อตระกูล หลินสวินเผยสีหน้าคล้ายคาดไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ยามเขามองจากไกลๆ ก็สัมผัสกลิ่นอายบนตัวของคนพวกนี้ได้ว่าเหมือนจินเทียนเสวียนเยวี่ย

หลินสวินพลันยิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ว่าไปแล้วข้าก็เป็นเพื่อนเก่าของจักรพรรดิกระบี่วายุกับแม่นางเสวียนเยวี่ย”

จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นตกตะลึง สอดส่องสายตามองหลินสวินอย่างละเอียดครู่หนึ่ง กล่าวเสียงหลงเหมือนจำได้ทันที “ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิเต้ายวน!”

จักรพรรดิเต้ายวน

ทั่วฟ้าดาราในตอนนี้ใครบ้างไม่รู้จัก

หนุ่มสาวเหล่านั้นต่างสั่นไปทั้งตัว ดวงตาเบิกโพลง สายตาที่มองหลินสวินแฝงความตกตะลึง ใคร่รู้ ฮึกเหิม ตื่นเต้น เหมือนเห็นตำนานคนหนึ่งด้วยตาตนเอง…

หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้แต่เอ่ยถาม “ทำไมพวกเจ้าถึงอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปอีกฟากฝั่งเช่นกัน”

จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นพยักหน้า “ใช่แล้ว พูดตามตรง ข้าคิดพาคนรุ่นเยาว์ในตระกูลพวกนี้มุ่งหน้าไปยังอีกฟากฝั่ง วางแผนไปเสี่ยงโชคสักหน่อย หากได้เจอศุภโชคบางอย่างย่อมทำให้พวกเขามีเส้นทางมหามรรคในอนาคตที่กว้างขึ้นแน่นอน”

“แต่ใครจะคิดว่า… เพิ่งมาถึงกลางทางก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้…”

จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นพูดถึงตรงนี้แล้วอดยิ้มขื่นไม่ได้ นึกถึงทุกเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ นางยังคงหวั่นหวาดอยู่ในใจ

คนอื่นก็รู้สึกปวดใจ

หากอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ระดับจักรพรรดิอย่างจินเทียนเสวี่ยอวิ๋นย่อมเป็นตัวตนชั้นยอดที่สามารถเหยียดมองทั่วหล้า สะท้านสะเทือนทั่วพิภพคนหนึ่ง

แต่เห็นชัดว่านางประเมินความอันตรายของการไปยังอีกฟากฝั่งต่ำไป!

หรือกล่าวได้ว่า นางคงไม่รู้แต่แรกว่าหากจะมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์แห่งฟากฝั่ง ยังต้องฝ่าผ่านแดนใหญ่พันศึกที่นองเลือดและอันตรายถึงขีดสุดนั่นด้วย

ไม่อย่างนั้นมีหรือจะพาคนรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งออกเดินทางมาด้วย

…………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท