Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2405 ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2405 ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

ตอนที่ 2405 ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน

ระดับจักรพรรดิขั้นหก ชื่อว่าแจ้งมายา

ทั้งถูกเรียกว่าขั้น ‘ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน’

เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของผู้ฝึกปราณจะกลายเป็นพลังต้นกำเนิดอย่างหนึ่ง ไม่ถูกจำกัดด้วยพลังฟ้าดินอีก

ขอแค่โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ไม่ดับสูญ ก็สามารถหลอมทุกพลังกลางฟ้าดินเป็นมรรควิถีบริสุทธิ์ได้ ทำให้พลังของตนนองเนืองไม่ขาด!

หากเป็นเมื่อก่อน ยามผู้บำเพ็ญมรรคฝึกปราณต้องพึ่งพาถ้ำสวรรค์แดนมงคล ต้องหยั่งรู้ฟ้าดินหมื่นลักษณ์ ต้องครอบครองพลังแห่งใต้หล้า

บนทางเดินโบราณฟ้าดารา แน่นอนว่ามากอิทธิพล ย้ายภูผาถมสมุทรได้

แต่ถ้าจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเข้ามาในโลกจักรวาลที่แปลกใหม่ ท่ามกลางกฎเกณฑ์มหามรรคที่ไม่คุ้นเคย มรรควิถีทั้งตัวย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกกำราบ ได้แต่ใช้พลังที่ตนครอบครองมายืนหยัด

เหมือนกับโลกชั้นล่าง ดินแดนรกร้างโบราณ ทางเดินโบราณฟ้าดารา… โลกที่แตกต่างกัน กฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ปกคลุมก็ไม่เหมือนกัน

แต่ไม่ว่าจะเป็นโลกชั้นล่างหรือดินแดนรกร้างโบราณ ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของทางเดินโบราณฟ้าดารา กฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ปกคลุมไม่ต่างกันมากเท่าใดนัก

แต่เมื่อออกจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเข้ามาในมิติจักรวาลใหม่ ก็หมายความว่าต้องเผชิญหน้ากับระเบียบมหามรรคและพลังระเบียบใหม่ทั้งหมด

มรรควิถีที่ ‘คนต่างถิ่น’ ครอบครองอยู่เดิมมีโอกาสสูงว่าจะถูกกำราบ ถึงขั้นถูกต่อต้าน

นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิถึงมีโอกาสมุ่งหน้าไปต่างมิติจักรวาลน้อยมาก

ด้วยมีแค่ระดับจักรพรรดิที่เดินทางในโลกจักรวาลต่างๆ ตัดผ่านระเบียบมหามรรคที่แตกต่างกันได้

แต่เช่นเดียวกัน บางทีระดับจักรพรรดิอาจก้าวผ่านโลกจักรวาลที่ต่างกันได้ แต่ก็ถูกขับไล่จากพลังมหามรรคที่ไม่คุ้นเคยเช่นกัน ทำให้พวกเขาใช้พลังมหามรรคที่แปลกใหม่นั้นได้ยากมาก

เหมือนก่อนหน้านี้ยามหลินสวินเดินทาง หากไม่ใช่ว่ามรรควิถีทั้งตัวแข็งแกร่งเพียงพอ แค่กฎเกณฑ์มหามรรคที่ปกคลุมโลกจักรวาลต่างๆ นั้นก็พอจะสร้างแรงกดดันมหาศาลให้เขาได้

แต่ขอแค่บรรลุถึงระดับจักรพรรดิขั้นหกก็ต่างไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

ที่เรียกว่า ‘ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน’ ความหมายก็คือไม่สนว่าอยู่ในมิติจักรวาลไหน ไม่สนว่าเผชิญหน้ากับระเบียบมหามรรคแห่งฟ้าดินอะไร ทั้งหมดล้วนมองข้ามได้!

นัยสำคัญของมันอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงบริสุทธิ์ที่ระดับจักรพรรดิสร้างขึ้น ระดับจักรพรรดิแจ้งมายา ไม่ต้องเกรงกลัวฟ้าดิน สามารถหลอมพลังทุกอย่างมาใช้ประโยชน์ได้

ต่อให้เป็นโลกที่ไม่คุ้นเคย กฎระเบียบมหามรรคที่แปลกใหม่ ก็สามารถสร้างประโยชน์แก่ตนได้

ตอนนี้สิ่งที่หลินสวินใกล้จะได้เจอ ก็คือมหาเคราะห์เพื่อก้าวสู่ขั้นแจ้งมายา

บนดาวเคราะห์รกร้าง หลินสวินนั่งขัดสมาธิ สีหน้าราบเรียบไม่ไหวติง มรรควิถีทั้งตัวล้วนเก็บงำถึงขีดสุด ทั้งหมดล้วนบรรจุอยู่ในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์

ส่วนโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ก็เหมือนภูเขาไฟที่สั่งสมพลังมาหลายปีจนใกล้ปะทุลูกหนึ่ง ส่งเสียงกัมปนาทเป็นจังหวะราวกับอสนีบาต

ทั่วดาวเคราะห์มหึมาล้วนสั่นสะเทือนอย่างแปลกประหลาด

นี่คือส่วนลึกของจักรวาลที่ล่มสลายแห่งหนึ่ง มหามรรคหมดกำลัง เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง

แต่หลินสวินก็เลือกข้ามด่านเคราะห์ที่นี่ด้วยเหตุนี้ หนึ่งด้วยพลังมหามรรคไม่คงอยู่ สองด้วยที่แห่งนี้รกร้างไร้ผู้คน ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรบกวน

สามวันต่อมา

ทั้งตัวหลินสวินไม่เผยกลิ่นอายอีกแม้แต่น้อย ทั่วร่างถูกฝุ่นละอองปกคลุม นิ่งเงียบราวกับท่อนไม้ ไม่มีสัญญาณชีพ เหมือนก้อนหินและเศษฝุ่นที่อยู่ใกล้เคียง

แต่ดาวเคราะห์มหึมาใต้ตัวเขากลับสั่นสะเทือนเป็นจังหวะไม่หยุด ราวกับหายใจเข้าออก

โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ในตัวเขาก็เหมือนลุกโชนโหมกระหน่ำ มีสัญญาณว่าจะเดือดพล่านและพุ่งทะยานออกมา

ในส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้นมีเมฆดำทะมึนปรากฏโดยไร้สุ้มเสียง กลิ่นอายของด่านเคราะห์ดุจกระแสน้ำหลาก ปกคลุมอยู่บนเวิ้งฟ้าเหนือศีรษะของหลินสวินในพริบตา

ดำสนิทดุจรัตติกาลนิรันดร์

กลิ่นอายของด่านเคราะห์ที่กดดันและชวนประหวั่นนั่น สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วไปต่างสิ้นหวังและพังทลายได้จริงๆ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว

เหตุการณ์นี้สืบเนื่องไปหนึ่งวันเต็มๆ

รอบดาวเคราะห์มหึมานี้ล้วนถูกเมฆาเคราะห์สีดำที่หนาแน่นแข็งแกร่งปกคลุมทั่วจนมืดมิด แผ่กลิ่นอายทำลายล้างที่ทรงอานุภาพไร้ขอบเขตออกมา

ท่ามกลางความเงียบสงัดดุจความตาย มีเสียงกึกก้องดังขึ้นทันใด

ราวกับเสียงอสนีสายแรกยามเบิกฟ้าผ่าดิน

ฟ้าดาราที่ล่มสลายและแห้งแล้งแถบนี้พลันสั่นสะเทือนเล็กน้อย ดาวรกร้างนับไม่ถ้วนระเบิดดังสนั่นกลายเป็นฝุ่นผง

เปรี๊ยะ!

ดาวเคราะห์มหึมาใต้ตัวหลินสวินก็แตกระแหง แบกรับเสียงอึกทึกครึกโครมและการระเบิดกะทันหันนั้นไม่อยู่

เวลานี้เองหลินสวินที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันลืมตาแล้วหยัดร่างขึ้น

พร้อมกับการเคลื่อนไหวยามเขาลุกขึ้นนี้ โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่ถูกบีบและพลุ่งพล่านถึงขีดสุดอยู่ก่อนแล้วระเบิดออกราวกับภูเขาไฟ

ตูม!

พลังมหามรรคที่น่าหวาดกลัวไร้สิ้นสุดแผ่กระจายออกมาจากร่างของหลินสวิน ในความรางเลือนเหมือนมีหุบเหวหนึ่งปรากฏ ในเหวลึกมีเตาหลอมใบหนึ่ง รอบเตาหลอมวิวัฒน์โลกจักรวาลที่เจิดจรัสไร้ขอบเขตออกมา สุริยันจันทราดารา หลักการฟ้าดิน ภูผาธาราหมื่นลักษณ์… ล้วนกลายเป็นปรากฏการณ์ประหลาดโปรยปราย

กระทั่งต่อมาต้นแรกกำเนิดต้นหนึ่งผุดขึ้นจากพื้นดิน ปลดปล่อยไอคลุมเครือออกมา ปกคลุมลักษณ์ประหลาดทั้งหมดไว้ภายในทันที พร่าเลือนขุ่นมัว ไม่อาจพรรณนาได้

หลินสวินยังคงเป็นหลินสวิน เพียงแต่อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวเวลานี้กลับแข็งแกร่งในพริบตา แหวกผ่านเมฆาเคราะห์สีดำแน่นหนาเหนือศีรษะนั้น

โครมครืน…

ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ประกายอสนีแล่นปราด แสงอสนีคลั่งระบำเหมือนถูกยั่วโทสะ อสนีบาตไร้สิ้นสุดฟาดผ่าลงมาราวกับธารสวรรค์พลิกตลบ

พลังที่อสนีบาตแต่ละสายปลดปล่อยออกมาล้วนน่ากลัวถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ เพียงเล็กน้อยก็สามารถสังหารระดับจักรพรรดิบนโลกได้

เวลานี้เหมือนธารสวรรค์ทลายเขื่อนระบายความโกรธ เหตุการณ์นั้นถึงขั้นทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิต่างใจสั่นระรัวได้

ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่ต้องเป็นด่านเคราะห์แห่งยุคแน่!

แต่หลินสวินที่อยู่ใต้ด่านเคราะห์ไม่หลบหลีก กลับเป็นว่าพุ่งขึ้นไปรับ สองแขนเหยียดออก เงาร่างสูงตระหง่านราวกับเหวลึกที่พาดขวาง ปลดปล่อยพลังกลืนกินลบทำลายไร้ใดเปรียบออกมา

ทั้งตัวเขาถูกกระแสสายฟ้าไร้สิ้นสุดฝังกลบทันที อสนีบาตเจิดจ้าแล่นปราดแน่นขนัด เสียงอสนีสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังกึกก้อง

เปิดฉากพิบัติเคราะห์ราวกับวันสิ้นโลกในชั่วขณะเดียว

แต่เพียงชั่วขณะ

ก็เห็นกระแสอสนีเคราะห์โหมกระหน่ำนั้นราวกับถูกวังวนมหึมาแห่งหนึ่งม้วนกลืน ถูกกลืนกินอย่างต่อเนื่อง ถูกลบทำลายไม่หยุด

กระทั่งต่อมาอสนีเคราะห์ได้หายไปจากฟ้าดิน เหลือเพียงเงาร่างสูงใหญ่ดุจเหวลึกนั้นของหลินสวินที่ยืนตระหง่าน ส่องประกายสว่างไสวไร้ขอบเขต

เมื่อมองอย่างละเอียด รูขุมขนบนตัวเขายังคงมีรัศมีสายฟ้าของอสนีเคราะห์ที่ไม่สมบูรณ์เวียนวน แต่เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย อานุภาพถึงขั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

“แค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น มาอีก”

หลินสวินเงยหน้ามองส่วนลึกของเวิ้งฟ้า ส่วนลึกของนัยน์ตามีจิตต่อสู้ราวกับเปลวเพลิงลุกโหม

ตูม!

เมฆาเคราะห์ม้วนซัดราวถูกยั่วโทสะถึงขีดสุด ภาพวันสิ้นโลกนานัปการปรากฏ จากนั้นอสนีบาตหลากสายก็วิวัฒน์เป็นมายาเหมือนเทพมารเรือนพันเรือนหมื่น แผดเสียงคำรามพุ่งสังหารมาทางหลินสวิน

ราวกับกองทัพเทพมารออกศึก!

หลินสวินยิ้มอย่างไม่แยแส พุ่งตัวขึ้นไปพลางสำแดงมรรคและวิชาของตน ทุกการเคลื่อนไหวล้วนปลดปล่อยอานุภาพราวทลายฟ้ามลายดิน

พลันเห็นกองทัพเทพมารนั้นถูกตีพ่ายยับเยินเป็นแถบๆ กลายเป็นละอองแสงอสนีทั่วฟ้า จากนั้นก็ถูกเงาร่างของหลินสวินดูดกลืนโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

เขารุกเข้าไปเหมือนผ่าลำไผ่ ห้อตะบึงฆ่าฟัน ทรงพลังไร้เทียมทาน

ไม่รอให้กองทัพเทพมารถูกสังหารจนราบคาบ ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์มีภาพประหลาดสารพัดสารพันพุ่งออกมาอีกครั้ง

มีแดนนรกอาบเลือดดำควบรวมกันแล้วปกคลุมลงมา

มีธารดาราส่องประกายเจิดจรัส รวมดาวนับหมื่นแสนไว้ด้วยกัน

มีแท่นบูชาเก่าแก่ เจดีย์สมบัติลึกลับ อาศรมประหลาด ตำหนักเทพกว้างใหญ่ ภูเขามรรคสูงตระหง่านทยอยปรากฏ…

แต่ละภาพนั้นทำให้คนไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่านี่คือพลังที่มหาเคราะห์มรรคจักรพรรดิสำแดงออกมาได้!

แม้แต่หลินสวินยังอดตะลึงไม่ได้ จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังแล้วพุ่งตัวขึ้นไป

เขาปลดปล่อยตัวตนอย่างสมบูรณ์ สำแดงพลังถึงขีดสุด ในหัวไม่นึกถึงเรื่องอะไร ความคิดอะไรล้วนไม่มี มีเพียงจิตต่อสู้ราวกับลุกโหมพลุ่งพล่านอหังการ

ตูม โครม!

ฟ้าดาราแถบนี้ถูกกลิ่นอายด่านเคราะห์ทำลายล้างไร้สิ้นสุดปกคลุมอย่างสมบูรณ์ เกิดลักษณ์อสนีประหลาดนานัปการบ่อยครั้งจนสะเทือนใต้หล้า

เงาร่างหลินสวินกรำศึกอยู่ในนั้น ไม่ทันไรก็บาดเจ็บสะสม บ้างถูกกำราบ บ้างถูกถล่มจู่โจม บ้างถูกรุมทึ้ง บ้างถูกเฆี่ยนตี…

แต่เขายังคงกรำศึกไม่หยุด ราวกับไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้จักความเป็นตาย เงาร่างสูงใหญ่และแข็งกร้าวดุดันนั้นถึงกับไม่เคยถูกบดขยี้

เนิ่นนานอสนีเคราะห์ด่านนี้จึงแตกซ่านไปช้าๆ

ในที่นั้นเหลือเพียงเงาร่างแหลกละเอียดของหลินสวิน

แต่สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งตัวเขายังคงพลุ่งพล่าน จิตต่อสู้ไร้ใดเปรียบยังคงแข็งแกร่ง เจตจำนงทั้งตัวไม่สั่นคลอนชั่วกาล!

มหาเคราะห์ด่านนี้น่ากลัวกว่าที่เขาคาดคิดไว้ ถึงขั้นเกินจินตนาการของเขาแล้ว

แต่ยามนี้หลินสวินไม่มีทางล่าถอย

และไม่เคยคิดถอยหนี!

ชีวิตนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาผงาดยามเป็นเด็กหนุ่มจนถึงปัจจุบัน เคยผ่านเคราะห์สวรรค์มาไม่รู้เท่าไหร่ ทุกครั้งราวกับสู้สุดชีวิตท่ามกลางความเป็นตาย อันตรายและน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปสามารถสัมผัสได้

แต่เขาไม่เคยถอยหนีมาก่อนสักครั้ง

แน่นอนว่าครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

ทั้งไม่มีใครรู้ดีกว่าหลินสวินเช่นกัน ว่าหลังจากผ่านมหาเคราะห์แห่งยุคที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาดถึงขั้นวิปริตมากมายนั่นแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับก็อยู่เหนือความคาดหมายมาก

ไม่ปล่อยโอกาสให้หลินสวินหอบหายใจมากนัก อสนีเคราะห์ด่านหนึ่งรวมตัวกันอีกครั้ง

ตูม!

เงาอสนีบาตสูงใหญ่ไร้ใดเปรียบหลากสายพุ่งออกมาจากส่วนลึกของอสนีเคราะห์ ราวกับราชันโบราณจุติลงมาบนโลก อานุภาพที่ทุกเงาร่างแผ่ออกมาถึงขั้นมีกลิ่นอายที่ไม่ด้อยไปกว่าหลินสวินสักนิด ราวกับมกุฎมหาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่ง!

ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือเงาร่างพวกนี้มีทั้งชายและหญิง รูปร่างท่าทางแตกต่างกัน บ้างสวมชุดบัณฑิต ขี่กิเลนเขียว ครอบครองบรรทัดหยก

บ้างถือทวนศึกทองคำ ศีรษะประดับมงกุฎจักรพรรดิ สวมเกราะศึกเปื้อนเลือด

บ้างเงาร่างสูงโปร่ง ละอองแสงพร่าเลือน ท่าทางราวกับเซียน ถือขวดหยกใบหนึ่งไว้

บ้างดุดันเหมือนเทพมาร ควบคุมเพลิงวายุอสนี เหยียบนรกทะเลเลือด

แต่ละคนล้วนมีอานุภาพมกุฎไร้จำกัด!

นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวอย่างอดไม่ได้

‘หรือว่าสิ่งที่วิวัฒน์มากจากเคราะห์สวรรค์นี้ คือระดับจักรพรรดิที่เคยฉายแววอัศจรรย์บนหนทางแห่งมกุฎในอดีตถึงปัจจุบัน’

หลินสวินเพิ่งเคยเจอเคราะห์สวรรค์เช่นนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฝึกปราณมา เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

ยังไม่รอให้หลินสวินคิดมากความ

ตูม!

เงาร่างชวนประหวั่นพวกนั้นเหยียบอากาศแล้วพุ่งโจมตีเข้าใส่หลินสวิน ทำให้หลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์ถูกปิดล้อมทันที

แม้ว่าเงาร่างพวกนี้จะไม่ใช่มกุฎมหาจักรพรรดิที่แท้จริง แต่อานุภาพทั้งตัวกลับไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไร อานุภาพของวิชามรรคและสมบัติที่สำแดงออกมาล้วนแข็งแกร่งถึงขีดสุด เป็นพลังของระดับมกุฎจักรพรรดิอย่างแท้จริง!

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท