เดินเล่นเที่ยวเตร่ในเมืองมาสามวันเต็ม
หลินสวินจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปจวนเจ้าเมืองเพื่อแลกป้ายยืนยัน
จากการชี้แนะของเจ้าอ้วน ทุกหนึ่งเดือนจะมีระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งถูกส่งไปในประตูข้ามแดนปฐพี เข้าไปในแดนใหญ่พันศึกนั่น
และวันพรุ่งนี้ระดับจักรพรรดิกลุ่มใหม่ก็จะออกเดินทาง
“ผู้อาวุโส ท่านต้องรักษาตัวด้วย ข้าน้อยคบค้าสมาคมในเมืองข้ามแดนมาหลายปี เคยพบเจอบุคคลสำคัญระดับจักรพรรดิที่เจิดจรัสหาใดเปรียบซึ่งมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกมากมาย แต่ผู้แข็งแกร่งที่ไปถึงโลกยอดนิรันดร์โดยราบรื่นได้อย่างแท้จริงกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ส่วนใหญ่ล้วนสิ้นชีพในแดนใหญ่พันศึก แม้แต่ซากศพยังไม่มีใครเก็บให้”
ก่อนจากกันเจ้าอ้วนอาลัยอยู่บ้าง น้ำตาคลอเบ้า
สามวันมานี้นอกจากหลินสวินจะพาเขาเดินเล่นแล้ว ยังซื้อของส่วนหนึ่งให้เขาด้วย ล้วนเป็นสมบัติที่เขาใฝ่ฝันในอดีต
ทั้งหลินสวินยังพาเขาเข้าออกสถานที่ชั้นยอดต่างๆ ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์ ตื่นเต้นอย่างต่อเนื่อง
นี่ต้องเป็นประสบการณ์ช่วงหนึ่งที่ทำให้เขายากลืมเลือนชั่วชีวิตแน่
“วันหน้าหากมีวาสนาต้องมีวันได้พบกันอีก” หลินสวินยิ้มกล่าว
เจ้าอ้วนพยักหน้าหงึกๆ
หลินสวินจากไปทันที กระทั่งเดินมาได้ถึงครึ่งทาง เบื้องหลังพลันมีเสียงตะโกนของเจ้าอ้วนดังขึ้น “ผู้อาวุโส ข้าลืมว่ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้บอกท่าน”
“เรื่องใดหรือ” หลินสวินหยุดเท้าแล้วหันกลับไป
“ข้าชื่อเป่าเล่อ!” เจ้าอ้วนโบกมือตะโกนลั่น
หลินสวินรู้สึกละอายอย่างอดไม่ได้ ตลอดทางนี้เขาลืมถามชื่อของเจ้าอ้วนนี่จริงๆ
“ได้ ข้าจะจำไว้”
หลินสวินพยักหน้าอย่างจริงจัง จากนั้นก็มุ่งตรงไปทางจวนเจ้าเมือง
ผ่านไปครึ่งเค่อ
จวนเจ้าเมืองที่สง่างามเก่าแก่ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาของหลินสวิน เขาหยุดเท้าแล้วแอบกล่าวในใจ ‘ข้าอยากดูนักว่าพวกเจ้าจะกล้าตามไปแดนใหญ่พันศึกหรือไม่’
สามวันมานี้เขารู้สึกได้ว่าในที่ลับนั้นมีคนจ้องมองตนอยู่ตลอด ทั้งมองฐานะของอีกฝ่ายออกแล้วว่าเป็นคนข้างกายฟางเสวียนเจินแห่งเรือนกระบี่ต้าเหิง
สำหรับเรื่องนี้เขาไม่ได้ใส่ใจ แต่ในใจก็ยังอยากรู้ว่าหินลับกระบี่ ‘ลับจิตดั่งคม’ นั่นซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่ ถึงกับทำให้อีกฝ่ายยึดติดเช่นนี้
น่าเสียดาย ที่นี่คือเมืองข้ามแดนไม่อาจลงมือ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของหลินสวินคงจับตัวอีกฝ่ายตั้งแต่พริบตาแรกนานแล้ว
หลินสวินส่ายหัวไม่คิดถึงอีก เดินไปทางจวนเจ้าเมือง
กระทั่งเงาร่างเขาหายไป ระดับจักรพรรดิในที่ลับนั้นก็รีบส่งข่าว
‘เป้าหมายมุ่งหน้าไปจวนเจ้าเมือง มีโอกาสสูงว่าจะลงชื่อไปแดนใหญ่พันศึก เรื่องนี้นายน้อยโปรดตัดสินใจโดยเร็ว!’
ข่าวส่งไปถึงมือของฟางเสวียนเจินทันที เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วตัดสินใจ “เช่นนั้นก็มุ่งหน้าไปเยือนแดนใหญ่พันศึก!”
มีเพียงเขาที่รู้ดีว่าหินลับกระบี่ก้อนนั้นเป็นสมบัติที่แม้แต่บิดาของตนยังถวิลหาแม้ยามฝัน มูลค่ามหาศาล ไม่อาจจินตนาการ
เดิมทีฟางเสวียนเจินยังคิดส่งข่าว เชิญบิดาของเขามาที่นี่เพื่อชิงหินลับกระบี่นั่นมาไว้ในมือ
แต่ตอนนี้ดูท่าว่าคงรอไม่ได้แล้ว
“ไป”
ฟางเสวียนเจินพาระดับจักรพรรดิทั้งหมดออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองทันที
…
จวนเจ้าเมือง
“ชื่ออะไร”
“หลิงเสวียนจื่อ”
“มาจากไหน”
“ทางเดินโบราณฟ้าดารา”
“พลังปราณ”
“ระดับจักรพรรดิขั้นหก”
…ในโถงลงชื่อแลกป้ายยืนยันโดยเฉพาะหลังหนึ่ง หลินสวินกำลังถามตอบกับชายชราในจวนเจ้าเมืองคนหนึ่ง
ในมือของชายชราถือป้ายยืนยันสีทองไว้ป้ายหนึ่ง เมื่อไหร่ก็ตามที่หลินสวินตอบคำถามให้ข้อมูล ชายชราจะใช้วิชาลับสลักลงในป้ายยืนยันสีทอง
กระทั่งได้ยินหลินสวินแจ้งว่าพลังปราณอยู่ระดับจักรพรรดิขั้นหก ชายชราเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างมีนัยลึกล้ำ “สหายยุทธ์ดูถ่อมตัวอยู่บ้าง หากรายงานตามความจริงจะดีกว่า”
เขาพูดพลางสลักคำว่า ‘ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหก’ บนป้ายหยกสีทอง
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีก
ถึงอย่างไรชื่อที่เขาแจ้งก็เป็นฉายามรรคของศิษย์พี่สี่
ชายชรายื่นป้ายยืนยันสีทองที่สลักเสร็จแล้วให้หลินสวินพลางกล่าว “ทางเดินโบราณฟ้าดาราไม่มีมกุฎมหาจักรพรรดิถือกำเนิดมานานมากแล้ว สหายยุทธ์ ใต้เท้าตระกูลข้าสนใจในตัวเจ้ามาก ไม่ทราบว่าเจ้าสะดวกไปพบใต้เท้าสักครั้งหรือไม่”
“พบข้าหรือ” หลินสวินอึ้งไป
“สหายยุทธ์วางใจ ต้องเป็นเรื่องดีแน่”
ชายชรายิ้ม แววตาโอบอ้อม “ใต้เท้าตระกูลข้าเลื่อมใสมกุฎมหาจักรพรรดิเป็นอย่างมาก”
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับคำ
ภายใต้การนำทางของชายชรา ไม่นานหลินสวินก็ได้เจอบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนทูตพิทักษ์เมืองในโถงกว้างใหญ่เก่าแก่หลังหนึ่ง
เขาสวมชุดสีหยก หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม สวมเกี้ยวประดับสูงเข็มขัดใหญ่ บุคลิกไม่ธรรมดายิ่งนัก
เมื่อเห็นหลินสวิน ประโยคแรกของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนก็คือ “สหายน้อย เจ้ารู้ไหมว่ามีคนเคยมาที่นี่ วางแผนขออนุญาตข้าเพื่อทำร้ายเจ้าในเมือง”
หลินสวินคล้ายขบคิด “เป็นฟางเสวียนเจินหรือ”
บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนยิ้ม ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก หากแต่กล่าวว่า “การพบสหายน้อยครั้งนี้ หนึ่งคือต้องการดูความสง่างามของสหายน้อยสักหน่อย สองคือมีเรื่องหนึ่งอยากพูดคุยกับสหายน้อย”
เขาพูดพลางเชิญหลินสวินให้นั่งลง ต้มชาด้วยตัวเอง
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าว “ข้าอยากฟังรายละเอียด”
เพิ่งเจอกันก็บอกข้าเรื่องเคราะห์สังหารที่มาจากฟางเสวียนเจิน จากนั้นค่อยสนทนากับตน บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนคนนี้ไม่ใช่แค่อยากรู้จักตนแน่
บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนส่งน้ำชาถ้วยหนึ่งให้หลินสวิน แล้วจึงกลับไปนั่งที่เดิมพลางกล่าว “คาดว่าในใจสหายน้อยคงเดาได้แล้ว ข้าก็จะไม่ปิดบังอีก ขอพูดตามตรงแล้วกัน”
“อีกห้าสิบปี ตระกูลเฮ่อของข้าจะส่งมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งไป ‘แดนลับแรกกำเนิด’ เพื่อช่วงชิงพลังต้นกำเนิดระเบียบที่ก่อเกิดในนั้น”
“ถึงตอนนั้นจะมีเจ็ดเผ่าจักรพรรดิอมตะซึ่งรวมถึงตระกูลเฮ่อของข้าเข้าร่วมด้วย แต่ละตระกูลล้วนอนุญาตให้ส่งคนในตระกูลหนึ่งคนรวมถึงผู้ติดตามสามคนไปร่วมเท่านั้น”
“คาดว่าสหายน้อยก็รู้ดี ระดับจักรพรรดิทั่วไปย่อมไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้เช่นนี้ แต่บุคคลอย่างมกุฎมหาจักรพรรดิ ต่อให้อยู่ในโลกยอดนิรันดร์ก็เรียกได้ว่าไร้หนึ่งในพัน”
“ตระกูลข้าปรารถนาทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงคิดส่งมกุฎมหาจักรพรรดิสามคนไปรับตำแหน่งผู้ติดตาม คอยเคลื่อนไหวไปพร้อมกับมกุฎมหาจักรพรรดิของตระกูลข้า”
บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพูดถึงตรงนี้แล้วมองหลินสวินด้วยสายตาแฝงรอยยิ้ม “ตอนนี้ตำแหน่งผู้ติดตามยังว่างอยู่สองคน ไม่ทราบว่าสหายน้อยสนใจหรือไม่”
คราวนี้หลินสวินจึงเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าว “เท่าที่ข้าเห็น ก่อนที่สหายยุทธ์จะเจอข้าน่าจะมีตัวเลือกไม่น้อยแล้วกระมัง”
ในเมืองข้ามแดนนี้ ทุกวันมีระดับจักรพรรดิรวมตัวกันไม่รู้เท่าไหร่ และในหมู่ระดับจักรพรรดิที่ลงชื่อมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกก็ไม่มีทางขาดมกุฎมหาจักรพรรดิแน่
หลินสวินไม่เชื่อว่าบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนจะโปรดปรานตนเป็นพิเศษ มาหาตนเพื่อพูดคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ
จริงดังคาด พลันเห็นบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนเผยสีหน้าชื่นชม “สหายน้อยคิดอ่านรอบคอบ สายตาเฉียบแหลม เจ้าพูดไม่ผิด ในหนึ่งเดือนนี้ข้าต้อนรับมกุฎมหาจักรพรรดิสิบสามคนด้วยตัวเอง คนที่พลังปราณสูงสุดมีปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปด คนที่พลังปราณต่ำสุดก็มีความสามารถระดับจักรพรรดิขั้นห้า”
แค่หนึ่งเดือนก็มีมกุฎมหาจักรพรรดิสิบสามคนลงชื่อไปแดนใหญ่พันศึก!
เมื่อรู้ข่าวนี้ในใจหลินสวินก็พลันถอนใจอย่างอดไม่ได้
หากอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ตนยังถูกขนานนามว่ามกุฎมหาจักรพรรดิคนแรกในรอบแสนปี
แต่ในเมืองข้ามแดนนี้ มกุฎมหาจักรพรรดิอย่างตนแม้จะไม่ถึงขั้นมาก แต่ก็ไม่ได้หายาก
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างไตร่ตรอง “ได้ยินว่าแดนใหญ่พันศึกอันตรายเกินคาดเดา เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ใช่ว่าใครจะรอดชีวิตไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้”
บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพยักหน้า กล่าวทอดถอนใจ “นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ หากผู้ฝึกปราณของโลกพันจักรวาลอยากมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์ ก็ได้แต่บุกฝ่าแดนใหญ่พันศึกไปเท่านั้น”
จากนั้นเขาก็ยิ้มกล่าวอย่างจริงจัง “แต่ข้าเชื่อว่าคลื่นยักษ์ซัดเซาะเจอทองแท้ ขอแค่เป็นคนที่ทะลวงผ่านแดนใหญ่พันศึกไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้ ก็ย่อมถูกลิขิตให้เป็นวีรชนคนกล้าและราชันที่แท้จริงในมรรคจักรพรรดิ ต่อให้อยู่ในโลกยอดนิรันดร์ก็ฉายแววอัศจรรย์และเรียกคลื่นลมได้”
หลินสวินเข้าใจในทันที
ความจริงคำพูดนี้ของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนก็หมายความว่า มีแค่คนที่บุกผ่านแดนใหญ่พันศึก ถึงสามารถรับตำแหน่ง ‘ผู้ติดตาม’ ของตระกูลเฮ่อได้
หากตายในแดนใหญ่พันศึกก็ตายไป แน่นอนว่าทุกอย่างนั้นไม่ต้องพูดถึง
กล่าวสรุปโดยง่าย บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกำลังหว่านแห ดูว่าปลาตัวไหนสามารถตีฝ่าออกมาจากแดนใหญ่พันศึกได้อย่างแท้จริง
“สหายน้อย ใช่ว่าตระกูลเฮ่อของข้าไม่ยอมช่วยเหลือ ความจริงไม่ว่าใครเข้าไปในแดนใหญ่พันศึก ย่อมไม่อาจได้รับความช่วยเหลือใดๆ ทั้งไม่มีทางลัดให้เลือก อย่าว่าแต่ตระกูลเฮ่อของข้าไม่อาจช่วยเหลือ ต่อให้เป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะอื่นใดในโลกยอดนิรันดร์ก็ไม่อาจแทรกแซงได้อย่างสิ้นเชิง”
บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “นี่คือกฎเหล็ก นับแต่โบราณมาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่สั่นคลอนชั่วนิรันดร์ แต่หากวันหน้าสหายน้อยมีโอกาสไปถึงโลกยอดนิรันดร์จริง ข้ารับรองได้ว่าเพียงสหายน้อยอาศัยป้ายยืนยันในมือ ก็จะได้รับการคุ้มครองจากตระกูลเฮ่อของข้าแล้ว!”
“ถึงตอนนั้นด้วยความสามารถของสหายน้อย ต่อให้รับตำแหน่งผู้อาวุโสต่างสกุลในตระกูลเฮ่อของข้าก็ยังเหลือเฟือ!”
นี่ก็คือการแลกเปลี่ยน
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระดับจักรพรรดิทุกคนที่ออกเดินทางจากเมืองข้ามแดน เกือบทั้งหมดล้วนได้รับ ‘การชักจูง’ และ ‘รับปาก’ เช่นนี้
สำหรับเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างตระกูลเฮ่อ ถ้าพวกเขาต้องการขยายอำนาจ ก็ต้องการผู้แข็งแกร่งมาเข้าร่วมอย่างไม่ขาดสาย
สำหรับระดับจักรพรรดิของโลกพันจักรวาล หลังจากมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์ ในสถานที่แปลกใหม่ก็ต้องการที่ยืน หากได้รับการช่วยเหลือและคุ้มครองจากขุมอำนาจท้องถิ่น แน่นอนว่าคงดียิ่งกว่า
การค้าเช่นนี้กล่าวได้ว่าต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการ
แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกคือสามารถรอดชีวิตจากแดนใหญ่พันศึกไปถึงโลกยอดนิรันดร์
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าว “หากไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้ ข้าจะมุ่งหน้าไปเยือนตระกูลเฮ่อสักรอบ”
โลกยอดนิรันดร์เป็นอย่างไรกันแน่
หลินสวินก็ไม่รู้
หลังจากไปถึง ถ้าได้รู้จักโลกยอดนิรันดร์ผ่านขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะท้องถิ่นอย่างตระกูลเฮ่อ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ทั้งเมื่อถึงตอนนั้นหากมีขุมอำนาจอย่างตระกูลเฮ่อคุ้มครอง ตระกูลลั่วแห่งฟากฝั่งมีหรือจะคิดได้ว่าตนไปซ่อนอยู่ภายใต้การดูแลของเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา
เมื่อเห็นหลินสวินรับปาก บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
พูดคุยต่อได้ไม่นาน หลินสวินก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ
บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนมาส่งด้วยตัวเองพลางเอ่ยกำชับ “สหายน้อยจงจำไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นรวมตัวกันหน้า ‘แท่นมรรคข้ามแดน’ ทางตะวันออกของเมือง อย่ามาสาย ไม่อย่างนั้นถ้าอยากมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกก็ได้แต่รอถึงเดือนหน้าแล้ว”
…………………..