Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2415 ห่วงวิญญาณอสูรอสนี

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2415 ห่วงวิญญาณอสูรอสนี

หลินสวินเพิ่งนึกถึงตรงนี้

ฉึ่บ!

ในห้วงอากาศใกล้เคียงพลันมีเงาร่างสีเลือดสายหนึ่งโฉบออกมา พุ่งโจมตีราวกับสายฟ้าฟาด ความเร็วนั้นว่องไวจนน่าเหลือเชื่อ

หลินสวินแค่นเสียงเย็นชา รอบกายส่งเสียงกัมปนาท แสงมรรคไร้สิ้นสุดควบรวมเป็นหุบเหวหนึ่ง เงาร่างสีเลือดนั้นเพิ่งพุ่งเข้ามาก็หยุดชะงักเหมือนหนอนติดใยแมงมุม ถูกหุบเหวลึกกำราบ

มันส่งเสียงร้องแหลมสะเทือนโสตประสาทดังตูม แปลงเป็นไอชั่วร้ายสีเลือดวางแผนจะหลบหนี

แต่เมื่อหลินสวินโคจรเหวลึก ท่ามกลางเสียงกัมปนาท ไอชั่วร้ายสีเลือดโหมกระหน่ำถูกกำจัดอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็หายลับไป

ฉึ่บ! ฉึ่บ! ฉึ่บ!

ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง ในห้วงอากาศใกล้เคียงถึงกับมีเงาร่างสีเลือดสายแล้วสายเล่าโฉบออกมาในชั่วขณะเดียว พุ่งสังหารมาทางหลินสวินจากต่างทิศทาง

กลิ่นอายป่าเถื่อนดุดัน สามารถเทียบกับระดับจักรพรรดิได้แล้ว

เจอเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ หลินสวินยืนนิ่งไม่ขยับ หุบเหวลึกรอบกายเผยอานุภาพกลืนกินฟ้าดิน แผ่ขยายไปทั่วทิศทันใด

ท่ามกลางเสียงระเบิดหนาหนักทุ้มลึก เงาร่างสีเลือดนั้นถูกพลังกลืนกินที่น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขตบดขยี้ ลบทำลายกลางอากาศไปทีละตน

สิ่งที่ทำให้หลินสวินอึ้งงันคือหลังจากฆ่า ‘มารมายาวิญญาณโลหิต’ พวกนี้แล้ว กลับไม่มีอะไรตกหล่นลงมา…

นกกระจอกเขียวยืนอยู่บนไหล่หลินสวินมาตลอดเห็นดังนี้จึงกล่าวเยาะหยัน “สัตว์ร้ายที่ไม่มีสติปัญญาเช่นนี้ ล้วนควบรวมมาจากไอชั่วร้ายแปลกประหลาด ไม่มีมูลค่าใดอย่างสิ้นเชิง”

มันเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “หากเจ้าได้เจอจอมราชันในหมู่มารมายาวิญญาณโลหิต ยังพอหลอมมันเป็น ‘พลังต้นกำเนิดอสูร’ ได้ ไม่ว่าจะหลอมพลังกายหรือขัดเกลาศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ ล้วนมีความอัศจรรย์ที่คาดไม่ถึง”

“พลังต้นกำเนิดอสูร?”

หลินสวินคล้ายขบคิด

“ไม่ผิด เจ้าสามารถนำพลังนี้ไปทำเป็นหินลับประหลาดอย่างหนึ่งได้ ไม่ว่าจะฝึกปราณหรือหลอมสมบัติล้วนมีประโยชน์” นกกระจอกเขียวให้คำชี้แนะ

หลินสวินพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ควรออกจากสมรภูมิมายาโบราณนี้เพื่อมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์อย่างไร”

นกกระจอกเขียวกล่าว “นี่เป็นแค่สมรภูมิแห่งหนึ่งที่อยู่รอบนอกสุดของแดนใหญ่พันศึก หรือก็คือจุดเริ่มต้นของการมุ่งสู่โลกยอดนิรันดร์ บนเส้นทางนี้อย่างน้อยก็มีสมรภูมินับพัน เขตผนึกลึกลับนับร้อย รวมถึง ‘ด่านนภาอมตะ’ เล็กใหญ่สี่สิบเก้าแห่ง”

“ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาไม่ใช่ว่าไปโลกยอดนิรันดร์อย่างไร แต่เป็นควรอยู่รอดบนหนทางนี้อย่างไร”

หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง เนิ่นนานกว่าจะกล่าว “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่าควรฝ่าออกจากสมรภูมิมายาโบราณนี้ไปอย่างไร”

นกกระจอกเขียวเอ่ยฉับพลัน “สังหารมารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชันสิบตัว รวบรวมมุกบริสุทธิ์ของมันมาแล้วควบรวมเป็นห่วงวิญญาณอสูรอสนี”

มันพูดพลางมองเวิ้งฟ้า “เมื่อมีห่วงวิญญาณอสูรอสนีก็จะต้านอสนีโลหิตที่ปกคลุมเวิ้งฟ้านั้นได้ และกระโดดออกจากดินแดนนี้ไป ‘แดนสิ้นจิตวิญญาณ’ เมื่อข้ามผ่านแดนสิ้นจิตวิญญาณ…”

หลินสวินพลันตัดบท “รอไปถึงแดนสิ้นจิตวิญญาณแล้วค่อยบอกเส้นทางต่อไปก็ไม่สาย”

หลินสวินพูดพลางหยิบยันต์หยกออกมา สงบจิตสัมผัส

หลังจากนั้นครู่หนึ่งสายตาเขามองไปทางตะวันออกทันที ฟางเสวียนเจินที่ถือยันต์หยกเหมือนกันน่าจะอยู่ตรงทิศทางนั้น

“ไป”

หลินสวินเริ่มเคลื่อนไหว

ตลอดทางอสนีบาตบนเวิ้งฟ้าโหมกระหน่ำ ไอชั่วร้ายม้วนซัด มีมารมายาวิญญาณโลหิตบางส่วนพุ่งออกมาอย่างกะทันหัน ลอบโจมตีหลินสวินเป็นพักๆ

แต่ล้วนถูกหลินสวินกำจัดโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

สัตว์ร้ายเช่นนี้แม้จะเซ้าซี้หาใดเปรียบ ยากรับรู้แหล่งกบดานของพวกมัน แต่แค่เผยร่องรอยออกมา สำหรับหลินสวินก็ไม่ได้มีภัยคุกคามให้พูดถึงอีกต่อไป

หลังจากนั้นครึ่งเค่อ

กลางฟ้าดินสีเลือดไร้ขอบเขต หลินสวินพลันหยุดเท้า

เกือบจะเวลาเดียวกัน พื้นดินใต้ฝ่าเท้าเขาพลันระเบิดออก ท่ามกลางฝุ่นฟุ้งตลบมือใหญ่ชุ่มเลือดข้างหนึ่งยื่นออกมาคว้าตัวหลินสวิน

มือใหญ่นั้นพันด้วยไอชั่วร้ายสีเลือดแปลกประหลาดบาดตา ฉีกทึ้งห้วงอากาศ กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

เงาร่างหลินสวินพุ่งวาบ หลบหนีได้อย่างหวุดหวิด เคลื่อนห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

ก็เห็นว่าใต้ผืนดินนั้นมีเงาร่างสีเลือดสูงประมาณร้อยจั้งพุ่งออกมา ไอชั่วร้ายนับหมื่นแสนทิ้งตัวลงมาจากกายมันราวกับน้ำตก

เมื่อมันปรากฏตัว อสนีโลหิตที่ปกคลุมเวิ้งฟ้าไหลบ่าลงมาเหมือนถูกชักนำ อาบไล้เงาร่างมันด้วยอสนีคลั่งระห่ำ

กลิ่นอายของเงาร่างสีเลือดร้อยจั้งนี้เพิ่มพูนมากขึ้นในชั่วขณะเดียว!

“โฮก!”

มันแผดเสียงคำรามราวกับอสนีบาตสะเทือนเก้าสวรรค์ ฟ้าถล่มดินทลาย ห้วงอากาศปั่นป่วน อานุภาพล้วนทัดเทียมกับระดับจักรพรรดิขั้นห้า

แน่นอนว่าสำหรับหลินสวิน ความสามารถแค่นี้ก็ไม่เท่าไรเลย

แต่ต้องคิดดูว่าสมรภูมิมายาโบราณนี้เป็นเพียงอาณาเขตหนึ่งที่อยู่รอบนอกสุดของแดนใหญ่พันศึก ก็มีสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเช่นนี้อาศัยอยู่แล้ว ทำให้ผู้คนไม่กล้าจินตนาการว่าเมื่อเข้าไปในส่วนลึกของแดนใหญ่พันศึกแล้วจะเจออันตรายที่น่ากลัวมากเพียงใด

“ลางดีจริงๆ นี่เป็นถึงมารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชัน ทั้งมีปัญญาขึ้นมาแล้ว”

นกกระจอกเขียวยืนอยู่บนบ่าของหลินสวิน กล่าวพูดเสียงกังวาน “สำหรับเจ้า สัตว์ร้ายเช่นนี้ย่อมไม่มีภัยคุกคาม แต่ถ้าคิดรวบรวมมุกบริสุทธิ์ให้ครบสิบ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหน่อย หากโชคร้ายสามถึงห้าปีก็คงรวบรวมได้ไม่ครบ”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ข้ารวบรวมได้ไม่ครบ อย่างมากก็ไปชิงของคนอื่น”

นกกระจอกเขียวอึ้งงัน

พร้อมกันนี้หลินสวินบุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ

เมื่อหลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ปราณกระบี่สายหนึ่งทลายอากาศ พาดขวางท้องนภาลงมา

เห็นชัดว่าจอมราชันมารมายาที่มีสติปัญญานั้นสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ขณะกำลังจะหลบหลีกก็ถูกปราณกระบี่ไพศาลดุจมหาสมุทรฝังกลบ

ปังๆๆ!

เงาร่างสีเลือดสูงร้อยจั้งนั้นของมันระเบิดออกทั้งหมด กลายเป็นหมอกควันสีเลือดทั่วฟ้า ถูกกำจัดด้วยกระแสปราณกระบี่อย่างสมบูรณ์

ฟุ่บ!

หลินสวินเคลื่อนตัวผ่านอากาศ เพียงยื่นมือออกไปคว้า ต้นกำเนิดอสูรสีเลือดบริสุทธิ์กับไข่มุกสีดำขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งก็ถูกกระชากมา

‘พลังต้นกำเนิดอสูร’ แปลกประหลาดมาก แผ่กลิ่นอายดุดันและเผด็จการรุนแรง หลินสวินลองกลืนมันเข้าไปในร่าง

ชั่วพริบตาก็เหมือนดวงตะวันระเบิดออกภายในกาย ไอชั่วร้ายดุดันพุ่งไปทั่วร่าง แทรกเข้าไปในเลือดเนื้อ ทำให้ทั้งตัวหลินสวินปวดแสบเหมือนถูกพันมีดหมื่นแล่ เพลิงโหมแผดเผา

ต้องรู้ว่ากายจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขาทัดเทียมกับดาบคมศาสตราจิตอัศจรรย์ตั้งนานแล้ว แข็งแกร่งหาใดเปรียบ พลังที่แฝงอยู่ในเลือดหยดหนึ่งล้วนบดขยี้ระดับจักรพรรดิทั่วไปได้

แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนโดนฉีกทึ้งจนปวดแสบ

ผ่านไปครู่ใหญ่ พลังต้นกำเนิดอสูรนี้จึงถูกพลังกายของหลินสวินหลอมไปจนหมด

เขาสงบจิตสัมผัส และพบว่าแท้จริงแล้วพลังกายของตนเหมือนถูกชะล้างและเคี่ยวกรำรอบหนึ่ง แข็งแกร่งกว่าในอดีตเล็กน้อย ต่อให้เปลี่ยนไปน้อยมากแต่ผลลัพธ์ก็ยังชัดเจน

‘ถือว่าไม่เลว’

หลินสวินรับรู้แล้วว่าเป็นอย่างที่นกกระจอกเขียวพูด พลังต้นกำเนิดอสูรนี้ก็เหมือนหินลับประหลาดอย่างหนึ่ง สามารถหลอมกายและหลอมสมบัติได้ ไม่ถึงขั้นน่าเหลือเชื่อมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นสมบัติที่ยากพบเห็นในโลกภายนอกอย่างหนึ่ง

จากนั้นหลินสวินจึงนำ ‘มุกบริสุทธิ์’ ของจอมราชันมารมายามาสำรวจดู

ในไข่มุกนี้มีไออสูรอสนีแกร่งโหมกระหน่ำอบอวล ขานรับกับอสนีโลหิตที่ปกคลุมเหนือเวิ้งฟ้านั้นอย่างน่าอัศจรรย์

นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

หลินสวินเก็บไข่มุกนี้ลงไปแล้วเดินหน้าต่อ

บนหนทางต่อจากนั้นกลับไม่เจอมารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชันอีก ตรงกันข้าม พวกมารมายาวิญญาณโลหิตทั่วไปกลับวิ่งพล่านออกมาเป็นพักๆ เหมือนแมลงวัน ทำให้หลินสวินฆ่าจนเบื่ออยู่บ้าง

หลังผ่านไปสองชั่วยาม

‘หืม?’

หลินสวินพลันสังเกตเห็นว่าการรับรู้ของยันต์หยกถึงกับหายไปกะทันหัน

สิ่งนี้มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว ฟางเสวียนเจินทำลายยันต์หยกชิ้นนั้นที่ตนมอบให้แล้ว!

‘หรือเจ้าหมอนี่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ไม่กล้ามาวัดฝีมือกับข้าในทันที’

หลินสวินขมวดคิ้ว ‘ไม่ถูกสิ เจ้าหมอนี่มีพวกพ้องระดับจักรพรรดิมากมายมาด้วย ทั้งตัวเขายังมีพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด แม้ยังไม่เคยต่อสู้กันอย่างแท้จริงก็น่าจะไม่ถึงขั้นถอยไปเร็วเช่นนี้…’

‘หรือว่าเจ้าหมอนี่เจอเรื่องไม่คาดฝันอะไรเข้า’

หลินสวินใคร่ครวญครู่ใหญ่แล้วส่ายหัว

เรื่องแบบนี้ไม่อาจคาดเดาได้อย่างเป็นรูปธรรมแต่แรก

หลังจากนั้นเขายังคงเดินไปทางทิศตะวันออก

ที่นกกระจอกเขียวพูดนั้นไม่ผิด แม้ว่าเขตแดนปฐพีจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสมรภูมิมายาโบราณ แต่กลับกว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่เข้ามาที่นี่จนถึงตอนนี้ผ่านไปสี่ถึงห้าชั่วยามแล้ว แต่ระหว่างทางกลับไม่เจอใครสักคน

เมื่อไม่เจอฟางเสวียนเจินในทันที หลินสวินจึงให้ความสำคัญกับการหามารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชัน แต่ที่น่าเสียดายคือสัตว์ร้ายระดับนี้ช่างหายากนัก คิดจะเจอก็ไม่ต่างอะไรกับเสี่ยงโชค

แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อน

นี่เพิ่งเป็นวันแรกที่เข้ามาในแดนใหญ่พันศึกเท่านั้น

กระทั่งผ่านไปนาน

กลางฟ้าดินสีเลือดที่ห่างไกลปรากฏเนินทรายรกร้างมากมาย ฟ้าดินมืดทะมึน ฟ้าคำรามไม่หยุด ไอชั่วร้ายซัดสาดโหมกระหน่ำ ขับเน้นให้สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนแดนผีสิง

“หืม?”

นัยน์ตาหลินสวินฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง เนินทรายใกล้เคียงมากมายนั้นดูเหมือนไม่ต่างอะไรกับสถานที่อื่น

แต่ในสายตาของเขา ฟ้าดินแถบนั้นปกคลุมด้วยพลังผนึกที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ไม่เผยกลิ่นอายใดออกมาโดยสิ้นเชิง

หากไม่ใช่ว่าความสามารถด้านลายมรรคของเขาบรรลุถึงขั้นเป็นประวัติการณ์นานแล้วคงมองข้ามไป

หลินสวินใช้เปิดตาทิพย์เงียบๆ ฟ้าดินที่ห่างไกลนั้นเหมือนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงทันที กระบวนค่ายกลลึกลับยากหยั่งถึงทบเป็นชั้นๆ ปกคลุมพื้นที่แถบนั้นเหมือนตาข่ายทับซ้อนกัน

เพียงมองปราดเดียวหลินสวินก็ระบุได้ หากกระบวนค่ายกลนี้โคจร บางทีอานุภาพของมันอาจเทียบกับมรรคสิ้นฟ้าอาสัญไม่ได้ แต่หากระดับบรรพจารย์จักรพรรดิไม่ระวังจนไปติดอยู่ในนั้น แม้ไม่ถึงขั้นประสบเคราะห์ แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นได้อย่างรวดเร็ว!

‘ใครเป็นคนวางกระบวนค่ายกลเช่นนี้ในที่แห่งนี้กัน’

เมื่อในใจหลินสวินมีความคิดนี้แวบเข้ามา ก็เห็นว่าในบริเวณที่ห่างไกลมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นโดยพลัน เมื่อเห็นหลินสวินก็อดกล่าวอย่างตกตะลึงไม่ได้ “หลิงเสวียนจื่อ!”

แววตาหลินสวินดุจอสนี เพียงชั่วขณะก็จำได้ว่าเงาร่างนั้นคือระดับจักรพรรดิคนหนึ่งที่ติดตามข้างกายฟางเสวียนเจิน

แต่ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง เงาร่างนั้นก็หันหลังจากไป ทำท่าหนีหัวซุกหัวซุน

หลินสวินเลิกคิ้ว จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มหยันเหมือนถากถาง เร่งไล่ตามไป

ขณะเดียวกันด้านหลังเนินทรายกองพะเนินแถบนั้นมีเงาแสงลึกลับหลากสายไหลวน บดบังเงาร่างและกลิ่นอายของพวกฟางเสวียนเจินไว้ภายใน ไม่อาจสังเกตเห็นได้ราวกับโปร่งแสง

ในมือของฟางเสวียนเจินถือคันฉ่องทองแดงสีดำเกลี้ยงกลมบานหนึ่งไว้ ในคันฉ่องทองแดงกำลังสะท้อนภาพหลินสวินที่พุ่งตรงมาทางนี้

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท