หลินสวินเพิ่งนึกถึงตรงนี้
ฉึ่บ!
ในห้วงอากาศใกล้เคียงพลันมีเงาร่างสีเลือดสายหนึ่งโฉบออกมา พุ่งโจมตีราวกับสายฟ้าฟาด ความเร็วนั้นว่องไวจนน่าเหลือเชื่อ
หลินสวินแค่นเสียงเย็นชา รอบกายส่งเสียงกัมปนาท แสงมรรคไร้สิ้นสุดควบรวมเป็นหุบเหวหนึ่ง เงาร่างสีเลือดนั้นเพิ่งพุ่งเข้ามาก็หยุดชะงักเหมือนหนอนติดใยแมงมุม ถูกหุบเหวลึกกำราบ
มันส่งเสียงร้องแหลมสะเทือนโสตประสาทดังตูม แปลงเป็นไอชั่วร้ายสีเลือดวางแผนจะหลบหนี
แต่เมื่อหลินสวินโคจรเหวลึก ท่ามกลางเสียงกัมปนาท ไอชั่วร้ายสีเลือดโหมกระหน่ำถูกกำจัดอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็หายลับไป
ฉึ่บ! ฉึ่บ! ฉึ่บ!
ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง ในห้วงอากาศใกล้เคียงถึงกับมีเงาร่างสีเลือดสายแล้วสายเล่าโฉบออกมาในชั่วขณะเดียว พุ่งสังหารมาทางหลินสวินจากต่างทิศทาง
กลิ่นอายป่าเถื่อนดุดัน สามารถเทียบกับระดับจักรพรรดิได้แล้ว
เจอเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ หลินสวินยืนนิ่งไม่ขยับ หุบเหวลึกรอบกายเผยอานุภาพกลืนกินฟ้าดิน แผ่ขยายไปทั่วทิศทันใด
ท่ามกลางเสียงระเบิดหนาหนักทุ้มลึก เงาร่างสีเลือดนั้นถูกพลังกลืนกินที่น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขตบดขยี้ ลบทำลายกลางอากาศไปทีละตน
สิ่งที่ทำให้หลินสวินอึ้งงันคือหลังจากฆ่า ‘มารมายาวิญญาณโลหิต’ พวกนี้แล้ว กลับไม่มีอะไรตกหล่นลงมา…
นกกระจอกเขียวยืนอยู่บนไหล่หลินสวินมาตลอดเห็นดังนี้จึงกล่าวเยาะหยัน “สัตว์ร้ายที่ไม่มีสติปัญญาเช่นนี้ ล้วนควบรวมมาจากไอชั่วร้ายแปลกประหลาด ไม่มีมูลค่าใดอย่างสิ้นเชิง”
มันเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “หากเจ้าได้เจอจอมราชันในหมู่มารมายาวิญญาณโลหิต ยังพอหลอมมันเป็น ‘พลังต้นกำเนิดอสูร’ ได้ ไม่ว่าจะหลอมพลังกายหรือขัดเกลาศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ ล้วนมีความอัศจรรย์ที่คาดไม่ถึง”
“พลังต้นกำเนิดอสูร?”
หลินสวินคล้ายขบคิด
“ไม่ผิด เจ้าสามารถนำพลังนี้ไปทำเป็นหินลับประหลาดอย่างหนึ่งได้ ไม่ว่าจะฝึกปราณหรือหลอมสมบัติล้วนมีประโยชน์” นกกระจอกเขียวให้คำชี้แนะ
หลินสวินพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ควรออกจากสมรภูมิมายาโบราณนี้เพื่อมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์อย่างไร”
นกกระจอกเขียวกล่าว “นี่เป็นแค่สมรภูมิแห่งหนึ่งที่อยู่รอบนอกสุดของแดนใหญ่พันศึก หรือก็คือจุดเริ่มต้นของการมุ่งสู่โลกยอดนิรันดร์ บนเส้นทางนี้อย่างน้อยก็มีสมรภูมินับพัน เขตผนึกลึกลับนับร้อย รวมถึง ‘ด่านนภาอมตะ’ เล็กใหญ่สี่สิบเก้าแห่ง”
“ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องพิจารณาไม่ใช่ว่าไปโลกยอดนิรันดร์อย่างไร แต่เป็นควรอยู่รอดบนหนทางนี้อย่างไร”
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง เนิ่นนานกว่าจะกล่าว “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่าควรฝ่าออกจากสมรภูมิมายาโบราณนี้ไปอย่างไร”
นกกระจอกเขียวเอ่ยฉับพลัน “สังหารมารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชันสิบตัว รวบรวมมุกบริสุทธิ์ของมันมาแล้วควบรวมเป็นห่วงวิญญาณอสูรอสนี”
มันพูดพลางมองเวิ้งฟ้า “เมื่อมีห่วงวิญญาณอสูรอสนีก็จะต้านอสนีโลหิตที่ปกคลุมเวิ้งฟ้านั้นได้ และกระโดดออกจากดินแดนนี้ไป ‘แดนสิ้นจิตวิญญาณ’ เมื่อข้ามผ่านแดนสิ้นจิตวิญญาณ…”
หลินสวินพลันตัดบท “รอไปถึงแดนสิ้นจิตวิญญาณแล้วค่อยบอกเส้นทางต่อไปก็ไม่สาย”
หลินสวินพูดพลางหยิบยันต์หยกออกมา สงบจิตสัมผัส
หลังจากนั้นครู่หนึ่งสายตาเขามองไปทางตะวันออกทันที ฟางเสวียนเจินที่ถือยันต์หยกเหมือนกันน่าจะอยู่ตรงทิศทางนั้น
“ไป”
หลินสวินเริ่มเคลื่อนไหว
ตลอดทางอสนีบาตบนเวิ้งฟ้าโหมกระหน่ำ ไอชั่วร้ายม้วนซัด มีมารมายาวิญญาณโลหิตบางส่วนพุ่งออกมาอย่างกะทันหัน ลอบโจมตีหลินสวินเป็นพักๆ
แต่ล้วนถูกหลินสวินกำจัดโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
สัตว์ร้ายเช่นนี้แม้จะเซ้าซี้หาใดเปรียบ ยากรับรู้แหล่งกบดานของพวกมัน แต่แค่เผยร่องรอยออกมา สำหรับหลินสวินก็ไม่ได้มีภัยคุกคามให้พูดถึงอีกต่อไป
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ
กลางฟ้าดินสีเลือดไร้ขอบเขต หลินสวินพลันหยุดเท้า
เกือบจะเวลาเดียวกัน พื้นดินใต้ฝ่าเท้าเขาพลันระเบิดออก ท่ามกลางฝุ่นฟุ้งตลบมือใหญ่ชุ่มเลือดข้างหนึ่งยื่นออกมาคว้าตัวหลินสวิน
มือใหญ่นั้นพันด้วยไอชั่วร้ายสีเลือดแปลกประหลาดบาดตา ฉีกทึ้งห้วงอากาศ กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เงาร่างหลินสวินพุ่งวาบ หลบหนีได้อย่างหวุดหวิด เคลื่อนห่างออกไปหลายร้อยจั้ง
ก็เห็นว่าใต้ผืนดินนั้นมีเงาร่างสีเลือดสูงประมาณร้อยจั้งพุ่งออกมา ไอชั่วร้ายนับหมื่นแสนทิ้งตัวลงมาจากกายมันราวกับน้ำตก
เมื่อมันปรากฏตัว อสนีโลหิตที่ปกคลุมเวิ้งฟ้าไหลบ่าลงมาเหมือนถูกชักนำ อาบไล้เงาร่างมันด้วยอสนีคลั่งระห่ำ
กลิ่นอายของเงาร่างสีเลือดร้อยจั้งนี้เพิ่มพูนมากขึ้นในชั่วขณะเดียว!
“โฮก!”
มันแผดเสียงคำรามราวกับอสนีบาตสะเทือนเก้าสวรรค์ ฟ้าถล่มดินทลาย ห้วงอากาศปั่นป่วน อานุภาพล้วนทัดเทียมกับระดับจักรพรรดิขั้นห้า
แน่นอนว่าสำหรับหลินสวิน ความสามารถแค่นี้ก็ไม่เท่าไรเลย
แต่ต้องคิดดูว่าสมรภูมิมายาโบราณนี้เป็นเพียงอาณาเขตหนึ่งที่อยู่รอบนอกสุดของแดนใหญ่พันศึก ก็มีสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งเช่นนี้อาศัยอยู่แล้ว ทำให้ผู้คนไม่กล้าจินตนาการว่าเมื่อเข้าไปในส่วนลึกของแดนใหญ่พันศึกแล้วจะเจออันตรายที่น่ากลัวมากเพียงใด
“ลางดีจริงๆ นี่เป็นถึงมารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชัน ทั้งมีปัญญาขึ้นมาแล้ว”
นกกระจอกเขียวยืนอยู่บนบ่าของหลินสวิน กล่าวพูดเสียงกังวาน “สำหรับเจ้า สัตว์ร้ายเช่นนี้ย่อมไม่มีภัยคุกคาม แต่ถ้าคิดรวบรวมมุกบริสุทธิ์ให้ครบสิบ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหน่อย หากโชคร้ายสามถึงห้าปีก็คงรวบรวมได้ไม่ครบ”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ข้ารวบรวมได้ไม่ครบ อย่างมากก็ไปชิงของคนอื่น”
นกกระจอกเขียวอึ้งงัน
พร้อมกันนี้หลินสวินบุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ
เมื่อหลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ปราณกระบี่สายหนึ่งทลายอากาศ พาดขวางท้องนภาลงมา
เห็นชัดว่าจอมราชันมารมายาที่มีสติปัญญานั้นสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ขณะกำลังจะหลบหลีกก็ถูกปราณกระบี่ไพศาลดุจมหาสมุทรฝังกลบ
ปังๆๆ!
เงาร่างสีเลือดสูงร้อยจั้งนั้นของมันระเบิดออกทั้งหมด กลายเป็นหมอกควันสีเลือดทั่วฟ้า ถูกกำจัดด้วยกระแสปราณกระบี่อย่างสมบูรณ์
ฟุ่บ!
หลินสวินเคลื่อนตัวผ่านอากาศ เพียงยื่นมือออกไปคว้า ต้นกำเนิดอสูรสีเลือดบริสุทธิ์กับไข่มุกสีดำขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งก็ถูกกระชากมา
‘พลังต้นกำเนิดอสูร’ แปลกประหลาดมาก แผ่กลิ่นอายดุดันและเผด็จการรุนแรง หลินสวินลองกลืนมันเข้าไปในร่าง
ชั่วพริบตาก็เหมือนดวงตะวันระเบิดออกภายในกาย ไอชั่วร้ายดุดันพุ่งไปทั่วร่าง แทรกเข้าไปในเลือดเนื้อ ทำให้ทั้งตัวหลินสวินปวดแสบเหมือนถูกพันมีดหมื่นแล่ เพลิงโหมแผดเผา
ต้องรู้ว่ากายจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขาทัดเทียมกับดาบคมศาสตราจิตอัศจรรย์ตั้งนานแล้ว แข็งแกร่งหาใดเปรียบ พลังที่แฝงอยู่ในเลือดหยดหนึ่งล้วนบดขยี้ระดับจักรพรรดิทั่วไปได้
แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนโดนฉีกทึ้งจนปวดแสบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ พลังต้นกำเนิดอสูรนี้จึงถูกพลังกายของหลินสวินหลอมไปจนหมด
เขาสงบจิตสัมผัส และพบว่าแท้จริงแล้วพลังกายของตนเหมือนถูกชะล้างและเคี่ยวกรำรอบหนึ่ง แข็งแกร่งกว่าในอดีตเล็กน้อย ต่อให้เปลี่ยนไปน้อยมากแต่ผลลัพธ์ก็ยังชัดเจน
‘ถือว่าไม่เลว’
หลินสวินรับรู้แล้วว่าเป็นอย่างที่นกกระจอกเขียวพูด พลังต้นกำเนิดอสูรนี้ก็เหมือนหินลับประหลาดอย่างหนึ่ง สามารถหลอมกายและหลอมสมบัติได้ ไม่ถึงขั้นน่าเหลือเชื่อมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นสมบัติที่ยากพบเห็นในโลกภายนอกอย่างหนึ่ง
จากนั้นหลินสวินจึงนำ ‘มุกบริสุทธิ์’ ของจอมราชันมารมายามาสำรวจดู
ในไข่มุกนี้มีไออสูรอสนีแกร่งโหมกระหน่ำอบอวล ขานรับกับอสนีโลหิตที่ปกคลุมเหนือเวิ้งฟ้านั้นอย่างน่าอัศจรรย์
นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
หลินสวินเก็บไข่มุกนี้ลงไปแล้วเดินหน้าต่อ
บนหนทางต่อจากนั้นกลับไม่เจอมารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชันอีก ตรงกันข้าม พวกมารมายาวิญญาณโลหิตทั่วไปกลับวิ่งพล่านออกมาเป็นพักๆ เหมือนแมลงวัน ทำให้หลินสวินฆ่าจนเบื่ออยู่บ้าง
หลังผ่านไปสองชั่วยาม
‘หืม?’
หลินสวินพลันสังเกตเห็นว่าการรับรู้ของยันต์หยกถึงกับหายไปกะทันหัน
สิ่งนี้มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว ฟางเสวียนเจินทำลายยันต์หยกชิ้นนั้นที่ตนมอบให้แล้ว!
‘หรือเจ้าหมอนี่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ไม่กล้ามาวัดฝีมือกับข้าในทันที’
หลินสวินขมวดคิ้ว ‘ไม่ถูกสิ เจ้าหมอนี่มีพวกพ้องระดับจักรพรรดิมากมายมาด้วย ทั้งตัวเขายังมีพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด แม้ยังไม่เคยต่อสู้กันอย่างแท้จริงก็น่าจะไม่ถึงขั้นถอยไปเร็วเช่นนี้…’
‘หรือว่าเจ้าหมอนี่เจอเรื่องไม่คาดฝันอะไรเข้า’
หลินสวินใคร่ครวญครู่ใหญ่แล้วส่ายหัว
เรื่องแบบนี้ไม่อาจคาดเดาได้อย่างเป็นรูปธรรมแต่แรก
หลังจากนั้นเขายังคงเดินไปทางทิศตะวันออก
ที่นกกระจอกเขียวพูดนั้นไม่ผิด แม้ว่าเขตแดนปฐพีจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสมรภูมิมายาโบราณ แต่กลับกว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เข้ามาที่นี่จนถึงตอนนี้ผ่านไปสี่ถึงห้าชั่วยามแล้ว แต่ระหว่างทางกลับไม่เจอใครสักคน
เมื่อไม่เจอฟางเสวียนเจินในทันที หลินสวินจึงให้ความสำคัญกับการหามารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชัน แต่ที่น่าเสียดายคือสัตว์ร้ายระดับนี้ช่างหายากนัก คิดจะเจอก็ไม่ต่างอะไรกับเสี่ยงโชค
แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อน
นี่เพิ่งเป็นวันแรกที่เข้ามาในแดนใหญ่พันศึกเท่านั้น
กระทั่งผ่านไปนาน
กลางฟ้าดินสีเลือดที่ห่างไกลปรากฏเนินทรายรกร้างมากมาย ฟ้าดินมืดทะมึน ฟ้าคำรามไม่หยุด ไอชั่วร้ายซัดสาดโหมกระหน่ำ ขับเน้นให้สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนแดนผีสิง
“หืม?”
นัยน์ตาหลินสวินฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง เนินทรายใกล้เคียงมากมายนั้นดูเหมือนไม่ต่างอะไรกับสถานที่อื่น
แต่ในสายตาของเขา ฟ้าดินแถบนั้นปกคลุมด้วยพลังผนึกที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ไม่เผยกลิ่นอายใดออกมาโดยสิ้นเชิง
หากไม่ใช่ว่าความสามารถด้านลายมรรคของเขาบรรลุถึงขั้นเป็นประวัติการณ์นานแล้วคงมองข้ามไป
หลินสวินใช้เปิดตาทิพย์เงียบๆ ฟ้าดินที่ห่างไกลนั้นเหมือนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงทันที กระบวนค่ายกลลึกลับยากหยั่งถึงทบเป็นชั้นๆ ปกคลุมพื้นที่แถบนั้นเหมือนตาข่ายทับซ้อนกัน
เพียงมองปราดเดียวหลินสวินก็ระบุได้ หากกระบวนค่ายกลนี้โคจร บางทีอานุภาพของมันอาจเทียบกับมรรคสิ้นฟ้าอาสัญไม่ได้ แต่หากระดับบรรพจารย์จักรพรรดิไม่ระวังจนไปติดอยู่ในนั้น แม้ไม่ถึงขั้นประสบเคราะห์ แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นได้อย่างรวดเร็ว!
‘ใครเป็นคนวางกระบวนค่ายกลเช่นนี้ในที่แห่งนี้กัน’
เมื่อในใจหลินสวินมีความคิดนี้แวบเข้ามา ก็เห็นว่าในบริเวณที่ห่างไกลมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นโดยพลัน เมื่อเห็นหลินสวินก็อดกล่าวอย่างตกตะลึงไม่ได้ “หลิงเสวียนจื่อ!”
แววตาหลินสวินดุจอสนี เพียงชั่วขณะก็จำได้ว่าเงาร่างนั้นคือระดับจักรพรรดิคนหนึ่งที่ติดตามข้างกายฟางเสวียนเจิน
แต่ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง เงาร่างนั้นก็หันหลังจากไป ทำท่าหนีหัวซุกหัวซุน
หลินสวินเลิกคิ้ว จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มหยันเหมือนถากถาง เร่งไล่ตามไป
ขณะเดียวกันด้านหลังเนินทรายกองพะเนินแถบนั้นมีเงาแสงลึกลับหลากสายไหลวน บดบังเงาร่างและกลิ่นอายของพวกฟางเสวียนเจินไว้ภายใน ไม่อาจสังเกตเห็นได้ราวกับโปร่งแสง
ในมือของฟางเสวียนเจินถือคันฉ่องทองแดงสีดำเกลี้ยงกลมบานหนึ่งไว้ ในคันฉ่องทองแดงกำลังสะท้อนภาพหลินสวินที่พุ่งตรงมาทางนี้
……………………