Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2420 บรรพจารย์ขั้นเก้า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2420 บรรพจารย์ขั้นเก้า

ตอนที่ 2420 บรรพจารย์ขั้นเก้า

ตูม!

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มเสื้อขนนกก็ตกอยู่กลางวงล้อมเป็นชั้นๆ สี่ทิศแปดทางล้วนถูกปิดตายสมบูรณ์ ไม่นานนักก็ถูกซัดจนกระอักเลือดซ้ำๆ

เขาผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าหวาดกลัว เค้นมรรควิถีทั้งตัวออกโจมตีกลับไม่สามารถหลุดรอดได้ ตรงข้ามกลับถูกบีบอับจน อันตรายถึงชีวิต

“นี่มันอะไรกัน นี่แม่งคือพลังที่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหกมีได้หรือ” เด็กหนุ่มเสื้อขนนกตกใจปนเดือดดาล รู้สึกเพียงทุกสิ่งที่พบเจอตรงหน้าล้วนทำลายทุกสิ่งที่เคยรู้มา

“แย่แล้ว!”

ไกลออกไป ชายชราผมเคราสีขาวหิมะก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน รีบพุ่งเข้ามาทางนี้และลงมือทันที

วู้ม!

เขาเรียกโคมพระราชวังหยกดำที่โบราณและลายพร้อยออกมา มันหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนซัดกระแสเพลิงดุจรุ้งเทพออกมาแถบหนึ่ง สีสันงดงาม โชติช่วงบาดตา อานุภาพก็อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ แผดเผาจนห้วงอากาศบิดเบี้ยวมอดไหม้ สรรพสิ่งกลายเป็นธุลี

แม้แต่ระดับจักรพรรดิทั่วไป ถูกกระแสเพลิงระดับนั้นสัมผัสเข้าเพียงเล็กน้อยก็ยังกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวกระจาย

ร่างต้นของหลินสวินหมุนตัว นัยน์ตาดำลึกล้ำ ใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งต้านทาน

เคร้ง!!

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งชนกับโคมพระราชวัง ละอองแสงมรรคพุ่งโจมตีต่อเนื่อง สาดกระแสพลังคลุ้งฟ้าออกมา ม้วนตลบสิบทิศ

“แข็งแกร่งนัก!”

ชายชราผมขาวนัยน์ตาหดรัด แขนเสื้อสะบัดโบก ตบฝ่ามือหนึ่งใส่หลินสวิน การโจมตีนี้ราวภูเขาเทพเคลื่อนขวาง มีอานุภาพบดขยี้จักรวาล

อานุภาพระดับบรรพจารย์ที่โหมซัดไร้ทัดเทียมนั่นเจาะทะลวงเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน

หลินสวินโจนตัวขึ้นไป เหวี่ยงหมัดโจมตี สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งตัวเดือดพล่านดุจลุกโชน ทำให้อานุภาพเปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งยิ่งยวด ประดุจเตาโลกาวินาศ ปั่นป่วนเมฆลมสิบทิศ

ครืนโครม…

ชั่วพริบตาทั้งคู่ต่อสู้ดุเดือดหลายสิบกระบวน สู้กันจนฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในความโกลาหลปั่นป่วน ทุกแห่งล้วนเป็นร่องรอยยุบถล่มพังทลาย

ชายชราผมขาวสีหน้าอึมครึมคล้ำเขียวยิ่ง แววตกใจในสายตาปิดไม่มิดสักนิด

เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่ามกุฎมหาจักรพรรดิขั้นหกคนหนึ่ง เหตุใดถึงก้าวข้ามสามขั้นมาประชันกับระดับบรรพจารย์เช่นตนได้

ที่แย่ที่สุดคือ เมื่อการต่อสู้ดำเนินไป ชายชราผมขาวก็เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่ปะทะเข้ามา เริ่มส่อแววถูกกดข่มอยู่รำไร!

‘หรือเจ้าหนุ่มนี่เป็นสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าที่มาจากโลกยอดนิรันดร์ หาไม่เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่รู้ถึงการคงอยู่ของเขาเลย’

ชายชราผมขาวยิ่งสู้ยิ่งหวาดหวั่น

เดิมทีเขาและเด็กหนุ่มเสื้อขนนกเห็นว่าหลินสวินตัวคนเดียว ซ้ำยังมีปราณเพียงระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหกเท่านั้น ก้เหมือนกับมองเห็นลูกแกะอ้วนพีที่ฆ่าแกงได้ตามใจตัวหนึ่ง ดังนั้นจึงเลือกลงมือโดยไม่ลังเล

ไหนเลยจะคาดคิดว่านี่เป็นหมาป่าห่มหนังแกะชัดๆ!

ส่วนหลินสวินยิ่งสู้ยิ่งกล้า ยิ่งสู้ยิ่งแกร่ง จิตต่อสู้ในใจเดือดพล่าน รู้สึกเพียงสะใจหาที่เปรียบไม่ได้

นับตั้งแต่ทะลวงปราณเหยียบย่างขั้นไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่ใช่ว่าเขายังไม่เคยสังหารระดับบรรพจารย์ แต่ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยกายมรรคทั้งห้าออกโจมตีพร้อมกัน ไม่ก็อาศัยอานุภาพของอภินิหารหยุดเวลา

เหมือนเช่นยามสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิจินเยี่ยน รวมถึงการสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิข้างกายฟางเสวียนเจินก็เป็นเช่นนี้

แต่การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่หลินสวินใช้พลังของร่างต้นในการต่อสู้ซึ่งหน้า ไม่หยิบยืมพลังอภินิหารหยุดเวลา ไม่อาศัยพลังของกายมรรคทั้งห้าไปกำราบบรรพจารย์จักรพรรดิ!

ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่บรรพจารย์มรรคอย่างแท้จริง แต่ตนสามารถสู้ได้ถึงขั้นนี้ นี่ก็ทำให้รู้สึกฮึกเหิมแล้ว

“ช่วยข้า…!”

ทันใดนั้นเสียงตะโกนน่าอนาถสายหนึ่งดังขึ้นมาจากไกลๆ

ชายชราผมขาวสั่นไปทั้งตัว เงยมองไปคราหนึ่ง สภาวะจิตพลันหนาวเยือก

ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเด็กหนุ่มเสื้อขนนก ถึงกับถูกล้อมโจมตีจนตาย!

แม้แต่หลบหนียังไม่มีโอกาส ร่างกายถูกกระแทกระเบิด พลังจิตถูกโจมตีแหลกลาญ ตายในสภาพอเนจอนาถ ทำเอาชายชราผมขาวสะท้านใจ

เมื่อเห็นกายมรรคทั้งห้าล้อมเข้ามาทางนี้ ชายชราผมขาวไม่กล้าลังเลอีก กัดฟันอย่างหนัก ส่งเสียงคำรามดิ้นรน

“โอม!” แสงเลือดแถบหนึ่งระเบิดออกจากตัวเขา ท่ามกลางความพร่าเลือน ดุจดั่งเงาร่างเทพศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนกำลังพุ่งออกจากแสงเลือด

พริบตานี้ร่างหลินสวินพริบวาบเคลื่อนย้าย ถอยห่างออกไปทันที

ตูม!!

แสงเลือดน่าสะพรึงพุ่งโจมตี กระแทกกับเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่ขวางอยู่ตรงหน้าหลินสวิน ปลดปล่อยพลังไร้ขอบเขตออกมา ทำเอาเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยังสั่นโคลงรุนแรง หลินสวินยิ่งถูกซัดสะเทือนจนเซ เกือบกระเด็นลอยออกไป

เมื่อฝุ่นควันจางหาย

ในที่นั้นไม่มีเงาร่างของชายชราผมขาวคนนั้นแล้ว กลางฟ้าดินมีแต่ภาพทำลายล้างพังพินาศน่าตระหนก

หลินสวินถอนหายใจออกมาเบาๆ อดเผยรอยยิ้มขื่นไม่ได้

เป็นตนประเมินระดับบรรพจารย์ต่ำไปหรือ

ไม่ใช่หรอก

สาเหตุเป็นเพราะแม้แต่เขาก็คิดไม่ถึง ว่าการโจมตีที่ประหนึ่งเดิมพันด้วยชีวิตของชายชราผมขาวอานุภาพจะน่ากลัวถึงเพียงนี้

หากไม่ใช่เพราะเขาหลบทัน ใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งป้องกันไว้ เกรงว่าคงต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน

‘คราวหน้าหากเจอสัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นนี้อีก ต้องไม่ให้โอกาสพวกเขาสู้เต็มกำลังเด็ดขาด ใช้กายมรรคทั้งห้าโจมตีพร้อมกัน รีบสู้รีบจบ ฆ่าภายในหนึ่งการโจมตี…’

การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้หลินสวินเกิดความระวังขึ้นมาก และได้ผลเก็บเกี่ยวมากเช่นกัน

อย่างน้อยเขาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าภายใต้สถานการณ์ปะทะซึ่งหน้า อาศัยเพียงพลังต่อสู้ของร่างต้นก็สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งได้

แน่นอนว่าเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิทั่วไป

หากได้พบบรรพจารย์มรรค เขาก็คงได้แต่หลบหลีกคมประกายของคนผู้นั้นเท่านั้น

ไกลออกไป หลังกายมรรคทั้งห้าเก็บกวาดทรัพย์หลังศึกในสนามรยแล้วก็กลับมารวมในร่างต้นของหลินสวิน

ทรัพย์หลังศึกล้นเหลือยิ่ง ทว่าไม่มีสมบัติพิเศษเลย มีแต่สมบัติเล็กๆ น้อยๆ อย่างผลึกต้นกำเนิดจักรวาล เจตวัตถุ วัตถุดิบเทพ ลูกกลอนโอสถ สมบัติจักรพรรดิบางส่วนเท่านั้น

“ข้าสงสัยที่มาของวิชาเจ้ามาตลอด พอจะบอกข้าได้หรือไม่” จู่ๆ นกกระจอกเขียวก็เอ่ยถามขึ้น

ตลอดทางนี้นกกระจอกเขียวเห็นการต่อสู้ของหลินสวินครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยตาตัวเอง เคยเห็นหลินสวินสำแดงอภินิหารหยุดเวลาฆ่าศัตรู เคยเห็นความน่ากลัวของกายมรรคทั้งห้าของเขา และเคยเห็นความแข็งแกร่งและเร้นลับของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง

จากความรู้ของนกกระจอกเขียว แม้แต่ในเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหยวนยังหามกุฎมหาจักรพรรดิที่พอจะเทียบรัศมีกับหลินสวินได้เพียงไม่กี่คน

อย่างน้อยในระดับจักรพรรดิขั้นหกก็ไม่มีใครเทียบได้!

แน่นอน นกกระจอกเขียวรู้แต่ต้นว่าหลินสวินไม่ธรรมดายิ่งยวด หาไม่บุคคลชั้นเลิศอย่างหยวนชิงเหิงเจ้านายของมันคงไม่มีทางเป็นรองในการต่อสู้ซึ่งหน้า ไม่อาจสู้กับหลินสวินได้

แต่ในใจนกกระจอกเขียวยังคงมีข้อสงสัยอยู่มาก หนำซ้ำข้อสงสัยเหล่านี้ยังอัดอั้นอยู่ภายในใจมานาน

“รอถึงเวลาแล้วข้าจะบอกเจ้าเอง” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

นัยน์ตาปราดเปรียวของนกกระจอกเขียวกลอกตาใส่รอบหนึ่ง “ถึงเจ้าไม่พูดข้าก็พอเดาได้ แม้ว่าเมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้ เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ตระกูลลั่วคนนั้นจะหายสาบสูญไปอย่างน่าประหลาด แต่พลังหุบเหวกลืนกินของเขากลับมีชื่อเสียงยิ่งในหมู่เผ่าจักรพรรดิอมตะทั่วโลกยอดนิรันดร์”

คำพูดนี้ไม่ได้เปิดโปงชัดเจน แต่หลินสวินรู้ดีว่านกกระจอกเขียวล่วงรู้ความจริงบางอย่างแล้ว

“เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง” หลินสวินถาม

ลูกตาของนกกระจอกเขียวหมุนกลอก กล่าวว่า “ข้าแค่สงสัยยิ่ง ว่าทั้งที่เจ้าไม่ใช่ทายาทตระกูลลั่ว แต่เหตุใดกลับครอบครองพลังพรสวรรค์ของตระกูลลั่วได้”

หลินสวินปรายตามองนกกระจอกเขียวปราดหนึ่ง ไม่ตอบแต่ถามกลับ “พลังหุบเหวกลืนกินแยกแยะง่ายมากเลยหรือ

นกกระจอกเขียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “นั่นก็แล้วแต่คน เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์หายตัวไปนานแล้ว แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ ก็มีเพียงผู้อาวุโสรุ่นเดียวกันกับเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์บางส่วนเท่านั้นที่แยกแยะพลังพรสวรรค์ระดับนี้ได้”

จากนั้นนกกระจอกเขียวก็หัวเราะขึ้นมา “ที่แท้เจ้ากลัวว่าจะถูกเปิดโปงพรสวรรค์ในตัวนี่เอง วางใจเถอะ อย่าว่าแต่ในแดนใหญ่พันศึกนี่เลย แม้แต่โลกยอดนิรันดร์ในตอนนี้ ผู้ที่สามารถมองออกได้ก็มีไม่กี่คน”

“แต่เจ้ากลับมองออก” สายตาหลินสวินลึกล้ำ “ดูท่าที่มาของเจ้าจะห่างไกลจากสัตว์เลี้ยงง่ายๆ ทั่วไปแล้ว”

นกกระจอกเขียวเบิกตากว้างเหมือนอับอายจนพานโมโห “ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นสัตว์เลี้ยง หากไม่ใช่เพราะเจ้านายห่วงว่าเจ้าจะตกใจ ไม่ให้ข้าเผยตัวตน ป่านนี้เจ้าคงตกใจแทบแย่แล้ว!”

หลินสวินยิ้ม ในใจรู้ดีว่าคำพูดของนกกระจอกเขียวอาจมีส่วนขี้โม้ไปบ้าง แต่มันไม่มีทางเป็นแค่นกกระจอกเขียวธรรมดาตัวหนึ่งง่ายๆ แค่นั้นแน่

“เหตุใดไม่พูดแล้วล่ะ หรือว่านึกกลัวขึ้นมา วางใจได้ ข้าไม่สนใจจะเปิดโปงฐานะของเจ้าแม้แต่น้อย หากไม่เพราะเจ้านายให้ข้าคอยบอกทางเจ้า ข้ายังคร้านจะสนใจเจ้าด้วยซ้ำ” นกกระจอกเขียวทำท่าเย่อหยิ่งดังเดิมอีกครั้ง

หลินสวินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

ที่มาไม่ธรรมดาแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงนกตัวหนึ่ง ไยต้องตอแยกับมันด้วย

พอเห็นหลินสวินไม่เอ่ยพูด นกกระจอกเขียวกลับกล่าวขึ้นเหมือนยังไม่หายอึดอัด “เจ้าก็อย่าได้ใจไป บรรพจารย์จักรพรรดิที่ถูกเจ้าสังหารก่อนหน้านี้ ในโลกยอดนิรันดร์ถูกมองเป็น ‘บรรพจารย์ขั้นเก้า’ บรรพจารย์นั้นลึกล้ำ หรือกล่าวได้ว่าพวกเขาที่ยังไม่ได้ครอบครองมหามรรคสมบูรณ์แบบ ชั่วชีวิตก็จะหยุดอยู่แค่เพียงระดับจักรพรรดิขั้นเก้า”

“มีเพียงบรรพจารย์มรรคที่สามารถหยั่งถึงอมตะ บรรพจารย์มรรคกับบรรพจารย์ขั้นเก้าต่างกันราวฟ้ากับเหว!”

กลับเห็นหลินสวินไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับพยักหน้าคล้ายขบคิด “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง หากเจ้าไม่บอก ข้าก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่ามีคำเรียกว่าบรรพจารย์ขั้นเก้าอยู่ด้วย ขอบคุณที่ชี้แนะ”

นกกระจอกเขียวอึ้งไป ความโกรธรุ่มๆ สุมทรวงเหมือนถูกฝืนอุดเอาไว้ อดถลึงตามองหลินสวินปราดหนึ่งไม่ได้ จากนั้นแค่นเสียงเย็นเก็บสายตากลับไป และใช้จะงอยปากสางขน ทำท่าเหมือนข้าคร้านจะเถียงกับเจ้าแล้ว

หลินสวินยิ้มน้อยๆ มุ่งหน้าต่อไปในฟ้าดินเวิ้งว้างสีเลือดอันยาวไกลอย่างอารมณ์ดี

บรรพจารย์จักรพรรดิสองคน คนหนึ่งถูกสังหาร อีกคนหนีเตลิด แต่ยังทำให้หลินสวินกอบโกยได้ค่อนข้างมาก ได้รับมุกบริสุทธิ์มารมายาระดับจอมราชันมาสามเม็ด

รวมแล้วในมือเขามีมุกบริสุทธิ์เจ็ดเม็ด!

‘มิน่าเจ้าเฒ่าสองคนนั้นถึงเลือกปล้นเอา การตามล่ามารมายาระดับจอมราชันมีแต่ต้องพึ่งดวง หาพบยากเย็น ไม่สู้ปล้นเอาเร็วกว่าเป็นไหนๆ’

ระหว่างทางหลินสวินก็เริ่มคิดเรื่องปล้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ‘แค่ไม่รู้ว่าขบวนพวกเหวินเซ่าเหิงอยู่ที่ไหน หาไม่คงเชือดแกะอ้วนพีตัวนี้ได้ ในฐานะทายาทเผ่าจักรพรรดิอมตะ ทรัพย์สินในตัวเจ้าหมอนี่ต้องอุดมสมบูรณ์หาที่เปรียบไม่ได้แน่…’

นอกจากนี้ในใจหลินสวินก็สงสัยมาตลอด เหตุใดหมีอู๋หยากับเยียนอวี่โหรวถึงติดตามข้างกายเหวินเซ่าเหิง

นี่ผิดวิสัยเกินไป

“นกกระจอกเขียว เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดเหวินเซ่าเหิงนั่นต้องเข้าแดนใหญ่พันศึก เขามาจากโลกยอดนิรันดร์แท้ๆ ต่อให้เป็นการกลับไปก็ไม่เห็นต้องเลือกเส้นทางนองเลือดสายนี้กระมัง”

หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้

“เพื่อขัดเกลา”

นกกระจอกเขียวกล่าว “ผู้แข็งแกร่งในโลกพันจักรวาลมองแดนใหญ่พันศึกเป็นเส้นทางเดียวที่มุ่งสู่โลกยอดนิรันดร์ แต่ในสายตาขุมอำนาจใหญ่โลกยอดนิรันดร์ แดนใหญ่พันศึกเป็นสนามขัดเกลาที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

“เกือบทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง เผ่าจักรพรรดิอมตะแต่ละแห่งจะส่งทายาทในตระกูลออกมาเคี่ยวกรำในแดนใหญ่พันศึก มองภัยร้ายเป็นหินลับดาบ มองผู้แข็งแกร่งแดนใหญ่พันศึกเป็นเป้า!”

………………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท