Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2423 พลังแห่งต้นกำเนิดอันมหัศจรรย์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2423 พลังแห่งต้นกำเนิดอันมหัศจรรย์

ตอนที่ 2423 พลังแห่งต้นกำเนิดอันมหัศจรรย์

ปราณกระบี่ที่ปกคลุมด้วยลายมรรคแปลกประหลาด สุดท้ายก็สลายไป

ฮู่ว…

หลินสวินถอนหายใจ ในใจอดตะลึงไม่ได้

ก่อนหน้านี้ยามได้ยินคำชี้แนะของนกกระจอกเขียว เขายังไม่เห็นด้วยนัก

แต่หลังจากสังหารจอมราชันวิญญาณล่วงลับไปตนหนึ่งจริงๆ เขาจึงตระหนักได้ว่าวิญญาณร้ายนี้น่ากลัวเพียงใด

ใครจะกล้าจินตนาการว่าความยึดมั่นของจอมราชันวิญญาณล่วงลับตนนี้ กลับเป็นปราณกระบี่สายหนึ่ง

ทั้งยังแปลกประหลาดขนาดนั้น ปกคลุมด้วยลายมรรคที่คลุมเครือน่ากลัว!

“หืม?”

จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าหลังจากจอมราชันวิญญาณล่วงลับนั่นตายไป ได้ทิ้งม้วนหยกเก่าชำรุดม้วนหนึ่งเอาไว้ เต็มไปด้วยรอยด่างจนไม่เหลือสภาพนานแล้ว

หลินสวินเก็บมันขึ้นมาแล้วแทรกจิตรับรู้เข้าไป

‘ท่านพ่อ ท่านแม่บอกว่าท่านใกล้จะกลับมาแล้ว จริงหรือ ข้ากับท่านแม่คิดถึงท่านมาก ท่านจากไปสามร้อยสิบเก้าปีแปดสิบเจ็ดวันแล้ว…’

‘ท่านพ่อ ข้าจะรอท่านกลับมาร่วมงานแต่งของข้า ท่านไม่กลับมา ข้าจะไม่ออกเรือน…’

ประโยคในม้วนหยกนั่นขาดๆ หายๆ เลือนรางอย่างมาก ขาดหายไปกว่าครึ่งแล้ว ไม่ง่ายกว่าหลินสวินจะเห็นสองประโยคที่สมบูรณ์

จากนั้นหลินสวินเงียบไป จิตใจเหมือนถูกพลังที่ไม่รู้ที่มาสะกิด สั่นสะท้านเบาๆ คราหนึ่ง

เดิมทีเขาคิดว่า ในเมื่อม้วนหยกที่เก่าชำรุดนี้เป็นสมบัติหนึ่งเดียวบนตัวจอมราชันวิญญาณล่วงลับ จะต้องมีความลับใหญ่ซ่อนอยู่อย่างแน่นอน ใครจะคิดว่ากลับเป็นจดหมายครอบครัวฉบับหนึ่ง

จดหมายที่แฝงความคิดถึงอย่างลึกซึ้งของลูกสาว

แม้แต่บิดาจากไปนานแค่ไหนยังจำได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเรื่องที่มีเพียงญาติสนิทจึงจะระลึกถึง

ตอนที่จอมราชันวิญญาณล่วงลับยังมีชีวิตอยู่ คงจะ… คิดถึงลูกสาวของเขามากกระมัง

หลินสวินนึกถึงจ้าวจิ่งเซวียนและหลินฝานที่อยู่ในภูเขาชำระจิตขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แม้แยกกันเพียงแค่ปีกว่า แต่พวกเขาสองแม่ลูกเกรงว่าคงจะคิดถึงและห่วงหาตนอยู่ตลอดเช่นกันกระมัง

จากนั้นหลินสวินก็ยิ้ม

เจ้าตัวน้อยหลินฝานคงไม่ได้คิดถึงมากแน่ เด็กย่อมไม่รู้รสชาติของความเศร้า

กลับเป็นจิ่งเซวียน…

นางจะต้องคิดถึงตนไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งกระมัง…

คิดถึงตรงนี้หลินสวินอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เก็บม้วนหยกกระดำกระด่างเก่าขาดในมืออย่างระมัดระวัง สิ่งของเช่นนี้ธรรมดามาก แต่กลับล้ำค่านัก ควรค่าแก่การเก็บสะสมเอาไว้

สำหรับเรื่องที่สังหารจอมราชันวิญญาณล่วงลับ หลินสวินไม่ได้นึกเสียใจภายหลัง

เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่วิญญาณร้ายที่แปรสภาพจากความยึดมั่น ร่างต้นของเขาคงจะร่วงหล่นตั้งแต่ดับสิ้นของของยุคก่อนแล้ว

‘ไม่ว่ายุคสมัยแปรเปลี่ยน เรื่องราวบนโลกแปรผัน ความรักของครอบครัวก็ไม่มีวันเปลี่ยน…’

หลินสวินพึมพำในใจ

พร้อมๆ กับการร่วงหล่นของจอมราชันวิญญาณล่วงลับ วิญญาณล่วงลับในโกรกธารแห่งนี้ราวกับตระหนักได้ถึงอันตราย หายไปในหมอกหนา หาไม่เจออีก

หลินสวินตั้งจิตให้มั่น สายตามองไปยังก้นโกรกธาร

ประกายพร่างพราวขนาดประมาณใบพัดลอยอยู่บนพื้นดินสีน้ำตาลดำ สาดละอองแสงมหามรรคที่งดงามหลากสี

เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ในกลุ่มแสงนั่นมีพลังต้นกำเนิดที่แปลกประหลาดและบริสุทธิ์พลุ่งพล่าน ไอแห่งมหามรรคเป็นสายๆ อบอวล สะดุดตาอย่างที่สุด

นกกระจอกเขียวกระโดดบนไหล่หลินสวิน จุ๊ปากชื่นชม “ดวงของเจ้านับว่าไม่เลว ดูคุณลักษณะของต้นกำเนิดมหามรรคนี่ สามารถจัดอยู่ในของชั้นหนึ่ง ถ้าเป็นในอดีต หากต้นกำเนิดมหามรรคเช่นนี้ปรากฏ จะต้องดึงดูดการต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่อย่างแน่นอน”

เห็นหลินสวินเดินไปข้างหน้าจะลงมือเก็บต้นกำเนิดมหามรรคนั่น นกกระจอกเขียวก็รีบเตือน “ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นเป็นของที่คนยุคก่อนทิ้งเอาไว้ ไม่สามารถเก็บไปได้ หากฝืนเก็บไป พลังของมันจะถดถอยไปในชั่วพริบตา”

หลินสวินชะงักเท้าทันที เอ่ยว่า “เช่นนั้นควรทำอย่างไร”

“นั่งสมาธิข้างๆ มัน แล้วหลอมมัน” นกกระจอกเขียวกล่าว

หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วสะบัดแขนเสื้อ วางกระบวนค่ายกลเก้านรกกักเทพไว้โดยรอบ จากนั้นถึงค่อยนั่งขัดสมาธิข้างๆ ต้นกำเนิดมหามรรคนั่น ตั้งใจจดจ่อ

พร้อมๆ กับการลมหายใจเข้าออกของเขา ละอองแสงมหามรรคที่พรั่งพรูออกมาของต้นกำเนิดมหามรรคราวกับถูกชักนำ กลายเป็นลำแสงมากมายพุ่งเข้าปากจมูกของหลินสวิน เมื่อพอเข้าสู่ร่างของเขาพลันกลายเป็นกระแสความร้อนที่ลุกโชนหาใดเปรียบ และกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

ชั่วขณะนี้รูขุมขนทั่วตัวของหลินสวินคลายออก จุดชีพจร เส้นลมปราณ อวัยวะตันห้ากลวงหก แขนขา… ทุกส่วนล้วนมีท่วงทำนองกระหายอยากอย่างหนึ่ง ราวกับปากเล็กนับไม่ถ้วนที่อ้ารออาหาร ส่งเสียงร้องดีใจกระโดดโลดเต้นด้วยความปรารถนา

แม้แต่โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ยังเกิดจังหวะอันแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำรามเดือดพล่านขึ้นมา

ยามกระแสร้อนที่แปรจากไอต้นกำเนิดมหามรรคถูกดูดซับอย่างต่อเนื่องจากทั้งภายในและภายนอกร่างกาย หลินสวินสบายจนแทบร้องครางออกมา

ความรู้สึกเช่นนี้มหัศจรรย์เกินไปแล้วจริงๆ

เหมือนตอนที่หิวมานานแล้วได้กินอาหารมื้อใหญ่ที่อุดมยั่วยวน ทั้งเหมือนทะเลทรายแห้งแล้งได้รับฝนชุ่มฉ่ำ…

เมื่อก่อนยามหลินสวินฝึกปราณ ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน

พลังต้นกำเนิดมหามรรคที่ฝังอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยุคก่อน เรียกได้ว่ามหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย!

สองชั่วยามหลังจากนั้น

ต้นกำเนิดมหามรรคกลุ่มนั้นหดลงจนขนาดราวหัวแม่มือทารกแล้ว

แต่หลินสวินกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามรรควิถีทั้งร่างตนเพิ่มขึ้นช่วงใหญ่ จากระดับจักรพรรดิขั้นหกขั้นต้น ก้าวสู่ขั้นกลางแล้ว

ความยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลง ทำเอาหลินสวินอดตระหนกไม่ได้

ระดับจักรพรรดิเก้าขั้น หนึ่งขั้นหนึ่งปราการสวรรค์ มรรควิถียิ่งสูง อยากจะพัฒนาก็ยิ่งยากลำบาก แม้เป็นผู้ที่พรสวรรค์โดดเด่น ความเร็วในการทะลวงขั้นก็ยังค่อยๆ ช้าลงเมื่อมีพลังปราณเพิ่มขึ้น

สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไป จะสามารถทะลวงขึ้นไปได้หรือไม่ยังเป็นปัญหาหนึ่ง

แต่ตอนนี้ในเวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วยาม พลังปราณก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ จะไม่ให้หลินสวินประหลาดใจได้อย่างไร

ควรรู้ว่าฐานมรรคของเขาแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เหนือกว่าคนทั่วไปในระดับเดียวกัน ถึงขั้นในระดับมกุฎจักรพรรดิก็ไร้ที่เปรียบ

แต่พลังปราณสามารถเข้าสู่ขั้นกลางได้ การทะลวงขั้นเช่นนี้เรียกได้ว่าเร็วมากแล้ว!

‘มิน่าในอดีตที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งคนใดที่เข้าสู่แดนสิ้นจิตวิญญาณล้วนทำทุกวิธีเพื่อชิงต้นกำเนิดมหามรรค สมบัติเช่นนี้เหลือเชื่อเกินไปจริงๆ…’

ไม่นานหลินสวินก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วทำสมาธิต่อ

จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น

ต้นกำเนิดมหามรรคกลุ่มนั้นถูกหลอมจนหมดสิ้นแล้ว และพลังปราณของหลินสวินก็เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นหกช่วงปลายแล้ว!

หลินสวินที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนสะท้านไหวอย่างสิ้นเชิงแล้ว

“หนึ่งเดือน หากเร่งทำเวลาอาจจะสามารถทำให้มรรควิถีของข้าก้าวสู่ขั้นใหม่ได้…”

หลินสวินพึมพำ

“ครั้งนี้เป็นเจ้าโชคดี จึงครอบครองต้นกำเนิดมหามรรคที่มีคุณลักษณะชั้นหนึ่งได้แต่เพียงผู้เดียว ครั้งหน้าใช่ว่าจะโชคดีแบบนี้” นกกระจอกเขียวพูดทำลายขวัญกำลังใจของหลินสวิน

หลินสวินยิ้ม ไม่สนใจ

เงาร่างของเขาพริบไหว พุ่งไปยังนอกโกรกธาร ค้นหาไปตามฟ้าดาราอันเงียบเชียบวังเวงที่หมอกปกคลุมนี้

“เจ้านี่ปากพาชวยจริงๆ…”

ครู่ใหญ่หลังจากนั้นหลินสวินถอนหายใจคราหนึ่ง ด้วยระหว่างทางไม่พบเจอต้นกำเนิดมหามรรคอีกเลย กลับเป็นวิญญาณล่วงลับที่โผล่ออกมาไม่น้อย

“เจ้าโชคไม่ดีเอง กลับมาโทษข้าหรือ” นกกระจอกเขียวถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง

ก็เป็นตอนนี้เอง…

เสียงคำรามดุดันดังมาจากไกลๆ กะทันหัน เผยความบ้าคลั่งรุนแรง

นกกระจอกเขียวกล่าวทันที “มีคนถูกความยึดมั่นของวิญญาณล่วงลับแทรกเข้าไปในสภาวะจิตแล้ว ถ้าไม่ผิดจากที่คาด อีกฝ่ายจิตใจสับสน ตกสู่สภาพธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว”

หลินสวินแผ่จิตรับรู้ออกไป จับเสียงต่อสู้เข่นฆ่าระลอกหนึ่งได้รางๆ

และการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในแดนสิ้นจิตวิญญาณ จะต้องเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคอย่างแน่นอน!

“ไป ไปดูสักหน่อย”

เงาร่างของหลินสวินพริบไหว เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไป

หลังจากสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของต้นกำเนิดมหามรรค เขาจะพลาดโอกาสช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคได้อย่างไร

“ความโลภทำให้คนคลั่ง…” นกกระจอกเขียวถอนหายใจ

“ความโลภอะไร นี่เรียกว่าการแข่งขันในมหามรรค ต้นกำเนิดมหามรรคเป็นของไร้เจ้าของอยู่แล้ว คนอื่นสามารถช่วงชิงได้ แล้วเหตุใดข้าจะช่วงชิงไม่ได้”

หลินสวินกล่าวพลางเร่งฝีเท้า

ไม่นานแผ่นดินที่ล่องลอยผืนหนึ่งปรากฏ กว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่สุด

การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นในนั้น เงาร่างของระดับจักรพรรดิพริบไหวอยู่ภายใน ทุกคนล้วนเผยอานุภาพล้นฟ้าออกมา ดาบทวนกระบี่ง้าว ง่ามตะขอขวาน ขวดสมบัติประทับมรรค… ศาสตราจักรพรรดิสารพัดชนิดที่แทรกสอดด้วยอานุภาพน่ากลัวพร่างพราวตัดสลับไป เสียงกึกก้องเป็นระลอกราวกับฟ้าคำรามสั่นสะเทือน ภายในยังปะปนเสียงเข่นฆ่า เสียงตะโกนด้วยความโกรธ เสียงกรีดร้อง เสียงโหยหวน…

นี่เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งอย่าแน่นอน หลินสวินมองไป มีระดับจักรพรรดิอย่างน้อยสี่ห้ากลุ่มจากขุมอำนาจแตกต่างกันกำลังเข่นฆ่า คลื่นการต่อสู้ที่แผ่ออกมาสั่นสะเทือนทำลายล้างฟ้าดิน

และบริเวณที่ไม่ไกลจากสนามรบมากนัก กลับมีวังน้ำวนกลางอากาศขนาดใหญ่ที่ราวกับหยุดชะงัก ลอยอยู่ตรงนั้นเงียบๆ

ส่วนลึกของวังน้ำวน มีละอองแสงที่งดงามหลากสีพรั่งพรูออกมาเป็นระยะๆ

เห็นได้ชัดว่านั่นคือกลิ่นอายของต้นกำเนิดมหามรรค ทั้งยังไม่ธรรมดาด้วย!

และการต่อสู้ครั้งนี้ แน่นอนว่าเกิดขึ้นเพราะการช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคนี้

“หืม?”

จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่ารอบๆ แผ่นดินที่ลอยอยู่นี้ยังมีกลิ่นอายมากมายซุ่มซ่อนอยู่ กำลังจับตามองการต่อสู้ รอโอกาสลงมือ

เมื่อเห็นดังนี้หลินสวินก็ตัดสินได้ในทันทีว่า ว่าหากคิดจะครอบครองต้นกำเนิดมหามรรคนี้เพียงผู้เดียวคงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

คู่ต่อสู้จำนวนมากล้วนกำลังจับจ้อง!

หลินสวินคิดๆ แล้วก็เก็บกลิ่นอายปกปิดตัวตน หยุดอยู่ในหมอกขาวเทาที่ห่างจากแผ่นดินล่องลอยนั่นไม่ไกลนัก

“ถอนกำลัง!”

ในสนามรบชุลมุน ระดับจักรพรรดิบางส่วนรู้ว่าไม่มีโอกาสชนะ จึงล่าถอยอย่างเด็ดขาด

และมีคนสังเกตเห็นว่าในอาณาเขตรอบๆ แผ่นดินนี้ มีคู่ต่อสู้ที่มากกว่าซ่อนตัวอยู่ เมื่อตระหนักได้ว่าท่าไม่ดีจึงตัดสินใจรักษาชีวิตก่อน

แต่ก็ยังมีหลายคนที่กำลังต่อสู้เข่นฆ่า สถานการณ์การต่อสู้รุนแรง ส่วนใหญ่ล้วนมีระดับมกุฎควบคุมสถานการณ์ ความมั่นใจเต็มเปี่ยม

หลินสวินทอดสายตามองไป พบว่าเงาร่างในสนามรบส่วนใหญ่ล้วนไม่คุ้นเคย คงจะเป็นผู้ฝึกปราณจากประตูข้ามแดนอื่นที่เข้าสู่แดนใหญ่พันศึก

มีเพียงพวกสิงมู่เทียนที่หลินสวินคุ้นหน้าคุ้นตา

‘ดูท่าว่าเมื่อเวลาล่วงเลยไป ผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่แดนสิ้นจิตวิญญาณจากสมรภูมิมายาโบราณจะมากขึ้นเรื่อยๆ…’ หลินสวินขมวดคิ้ว

นี่ก็หมายความว่า ในการช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรคจะมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมากไปด้วย

สิ่งที่รับมือยากที่สุดคือ ต้นกำเนิดมหามรรคไม่สามารถเก็บไปได้ ทำได้เพียงหลอมจากตรงนั้น แม้ชิงโอกาสมาได้ก่อน แต่ถ้ามีศัตรูโจมตีเข้ามา ก็ไม่มีโอกาสให้หลอมมากนัก

“ถอย!”

ในขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญ เสียงที่เผยความเย็นชาเรียบเฉยดังก้องกลางฟ้าดินกะทันหัน

พลันเห็นเงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งมา กลิ่นอายรอบตัวไม่ปกปิดเลยสักนิด พุ่งตรงเข้ามาในแผ่นดินที่ลอยอยู่แห่งนั้น

ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดทั้งหมด รวมถึงผู้แข็งแกร่งที่กำลังต่อสู้ ล้วนเผยสีหน้าระแวงและหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้

เพราะผู้นำของกลุ่มคนที่มาอย่างกะทันหัน คือหนึ่งใน ‘ห้ายอดจักรพรรดิ’ แห่งเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวิน

เหวินเซ่าเหิง!

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท