Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2426 คำสาปผนึกหมื่นยอด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2426 คำสาปผนึกหมื่นยอด

ตอนที่ 2426 คำสาปผนึกหมื่นยอด

จากความทรงจำของร่างแยก ทำให้หลินสวินได้รู้ว่าพวกระดับจักรพรรดิที่มาจากตระกูลเหวินถูกสังหารจนหมดแล้ว

เหลือเพียงหมีอู๋หยาและเยียนอวี่โหรวที่ถูกจับเป็น

ที่จับเป็น เหตุผลก็ง่ายมาก พวกหมีอู๋หยาเหมือนกำลังเป็นกังวลอะไร จงใจให้ร่างแยกของหลินสวินทำเช่นนี้

ตอนนี้ทั้งสองถูกร่างแยกของหลินสวินเก็บเข้าไปในสมบัติแล้ว

หลินสวินไม่ได้รีบไปถามสถานการณ์ของทั้งสอง

เขากำลังรอ

ไม่นาน ร่างแยกที่ไปล่อชายชุดดำกับหญิงชุดเงินอินหวงก็หวนกลับมา

หลินสวินจึงได้รู้ว่าชายชายชุดดำถูกฆ่าแล้ว แต่หญิงชุดเงินหนีรอดไปได้ด้วยวิชาลับแปลกประหลาด แต่ก็บาดเจ็บสาหัส ยากมากที่จะฟื้นตัวในระยะเวลาอันสั้น

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้แปลกใจ

ชายชุดดำและหญิงชุดเงินล้วนเป็นบรรพจารย์ขั้นเก้า แม้ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างท่านย่าเสวี่ย ทว่าภายใต้สถานการณ์หนึ่งต่อสอง อยากจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดก็ยากไปหน่อยจริงๆ

เวลาหนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้น

ในที่สุดร่างแยกที่ต่อสู้กับท่านย่าเสวี่ยก็ย้อนกลับมา ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้หลินสวินนัยน์ตาหดรัด

ร่างแยกบาดเจ็บแล้ว!

เมื่อสัมผัสคร่าวๆ หลินสวินก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด

ที่แท้ท่านย่าเสวี่ยคนนี้ แม้ไม่ใช่บรรพจารย์มรรคแต่ก็ห่างไม่มาก ในมือยิ่งครอบครองระฆังมรรคที่ประทับกลิ่นอายอมตะ

เสียงระฆังแพร่กระจาย กดดันจิตวิญญาณและสภาวะจิต

หากเป็นระดับจักรพรรดิทั่วไปคงถูกเสียงระฆังซัดจนจิตวิญญาณสลายนานแล้ว

และในการต่อสู้ แม้ร่างแยกไม่ถึงกับถูกระฆังมรรคนี้กักขัง แต่ก็ได้รับผลกระทบและการกำราบอย่างหนัก ส่งผลให้เสียเปรียบไม่น้อยในระหว่างการต่อสู้

ที่สำคัญที่สุดคือสมบัติอย่างเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง เจดีย์ไร้สิ้นสุดล้วนอยู่ในมือหลินสวิน ทำให้ยามร่างแยกต่อสู้จึงไม่มีสมบัติที่สามารถไปประชันกับระฆังมรรคนั่นได้แม้แต่ชิ้นเดียว

หลังรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินเก็บร่างแยกทั้งหมดแล้วออกคำสั่ง “เสี่ยวอู่”

สวบ!

เงาร่างของเสี่ยวอู่พริบไหวออกมา ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาหนีทันเวลาจึงไม่ได้ถูกโจมตี

“วางกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญไว้ที่นี่ ไม่ว่าใครบุกมา ฆ่าไม่มียกเว้น”

หลินสวินทิ้งประโยคนี้เอาไว้แล้วพลันเดินเข้าในน้ำวนใหญ่ที่หยุดนิ่งนั่น

จะว่าไปก็เหลือเชื่อมาก

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ดุเดือดและน่าสะพรึงเพียงใด แต่ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินลอยใต้เท้าหรือน้ำวนใหญ่นี้ล้วนไม่ถูกทำลาย

ทว่าคิดๆ แล้วก็จริง ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้มีบุคคลเทียมฟ้าไม่รู้เท่าไหร่เข่นฆ่าและต่อสู้ในแดนสิ้นจิตวิญญาณแห่งนี้ ก็ไม่เห็นว่าฟ้าดินแห่งนี้จะถูกทำลาย

เมื่อหลินสวินเข้าสู่น้ำวนใหญ่นั่นไม่นาน

วู้ม!

กระบวนค่ายกลลายมรรคนับไม่ถ้วนพลิกม้สน ราวกับบดบังสุริยัน ปกคลุมฟ้าดินแห่งนี้เอาไว้

สิ่งที่แตกต่างกับเก้านรกกักเทพก็คือ อานุภาพของกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญสามารถสังหารบรรพจารย์ขั้นเก้า!

เสี่ยวอู่ควบคุมกระบวนอยู่ภายใน สีหน้าเคร่งขรึม

ก็เป็นตอนนี้เอง…

“เจ้าหมอนั่นถึงกับกล้าลงมืออย่างดุดันกับเหวินเซ่าเหิงแห่งตระกูลเหวิน!”

ในฟ้าดาราที่ห่างออกไปจากแผ่นดินลอย พวกสิงมู่เทียนเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนนี้ต่างอดหวาดหวั่นไม่ได้

“ไม่ใช่ลงมืออย่างดุดัน แต่เป็นพวกเจ้าไม่เคยคิดเท่านั้น ในบรรดาระดับจักรพรรดิที่เข้าประตูข้ามแดนปฐพีพร้อมพวกเรา ก่อนหน้านี้ใครจะคิดว่าพลังต่อสู้ของหลิงเสวียนจื่อจะวิปริตเช่นนี้”

มีคนสีหน้าจริงจัง

“มิน่ายามอยู่แท่นมรรคข้ามด่านเขาถึงกล้าฉีกหน้าพวกเหวินเซ่าเหิงซึ่งหน้า ที่แท้ก็มีที่พึ่ง…”

“ทว่าเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเขาล่วงเกินตระกูลเหวินอย่างสิ้นเชิงแล้ว ผลลัพธ์เขาจะรับไหวหรือ”

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ มีเพียงสิงมู่เทียนที่ส่งเสียงถอนหายใจยาว สีหน้าซับซ้อน “พูดถึงพลังต่อสู้ ข้าสู้คนผู้นี้ไม่ได้ พูดถึงความกล้าหาญ ข้ายิ่งสู้เขาไม่ได้”

ประโยคเดียวทำให้ทุกคนรอบข้างเขาต่างมองกันไปมา

“พวกเราต่างรู้สึกว่าการล่วงเกินตระกูลเหวินจะต้องรับผลลัพธ์ที่ไม่สามารถประเมินได้ หลิงเสวียนจื่อจะไม่เคยคิดหรือ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขายังกล้าทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีที่พึ่งหรือไม่ ความกล้าระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่มกุฎมหาจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้”

สิงมู่เทียนถอนหายใจยาว “ยิ่งไปกว่านั้นล่วงเกินตระกูลเหวินแล้วอย่างไร โลกยอดนิรันดร์กว้างใหญ่ไพศาลเพียงนี้ เผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายขนาดไหน วันหนึ่งหากเข้าสู่โลกยอดนิรันดร์จริงๆ ต้องมากังวลว่าจะล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นจนไม่กล้าทำอะไร ได้แต่หดหัวขี้ขลาดหรือ ไร้สาระ!”

เขาเหมือนคิดตกแล้ว ในแววตาเผยความดุดัน “แดนใหญ่พันศึกเป็นหนทางเลือดไร้ทวนคืนเส้นหนึ่ง พวกเรายังไม่รู้ว่าจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องกลัวคนเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น ต่อไปไม่ว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร ก็จะไม่ถอยอีกเด็ดขาด!”

พูดจบสิงมู่เทียนก็หมุนตัวไป

การต่อสู้ของหลินสวินวันนี้สร้างความสะท้านและสะกิดใจเขามากเกินไป ทำให้เขารู้ตัวฉับพลัน ทำลายปมในสภาวะจิต

และรอบๆ แผ่นดินล่องลอยนั้น คนที่เห็นการต่อสู้ครั้งนี้เหมือนกับพวกสิงมู่เทียนก็มีไม่น้อย ทุกคนล้วนอึ้งงัน อารมณ์สั่นไหวยากจะสงบ

เพียงแต่คนที่สามารถตระหนักได้อย่างสิงมู่เทียนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาวะจิต อย่างไรก็เป็นเพียงส่วนน้อย

ส่วนใหญ่เกิดความระแวงและหวาดหวั่น มองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจ

มีคนหัวเราะหยัน มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น คิดว่าการกระทำนี้ของหลินสวินไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องใส่ตัว จะต้องพบเจอผลลัพธ์ที่ยากจะจินตนาการ

และมีคนอยากรู้อยากลอง จับจ้องตาเป็นมัน

ตอนนี้พวกเหวินเซ่าเหิงถูกโจมตีจนยับเยินแล้ว เหลือแค่หลินสวินที่อยู่บนแผ่นดินลอย และครองต้นกำเนิดมหามรรคแต่เพียงผู้เดียว

นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นโอกาสดีในการแย่งชิง

ทว่าแม้ในคิดเช่นนี้ กลับจำต้องไตร่ตรองถึงผลลัพธ์ของการไปช่วงชิงต้นกำเนิดมหามรรค… ถึงอย่างไรพลังต่อสู้ที่หลินสวินเผยออกมาก่อนหน้านี้ก็น่ากลัวเกินไปจริงๆ

สรุปแล้วระดับจักรพรรดิที่ยังไม่จากไปเหล่านั้นแต่ละคนต่างมีความคิดของตน แต่ไม่ว่าอย่างไร การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้พวกเขาจำหลินสวินได้แม่นแล้ว!

ข่าวกำลังแพร่กระจาย ไม่นานระดับจักรพรรดิที่กระจายอยู่ในแต่ละที่ของแดนสิ้นจิตวิญญาณต่างทยอยรู้เรื่องการต่อสู้นองเลือดนี้ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่

“ดูไม่ออกว่าเจ้าหมอนั่นกลับเป็นพวกเสือห่มหนังแกะ…” ตอนที่ยอดจักรพรรดิเสวียนซิงรู้ข่าวก็อดอึ้งไม่ได้

นางเคยสอดมือยุ่งเกี่ยวการต่อสู้ที่พุ่งเป้าไปที่หลินสวินในสมรภูมิมายาโบราณ เหตุผลแรกเพื่อช่วงชิงไข่มุกต้นกำเนิด เหตุผลที่สองคือซื้อหนี้บุญคุณหลินสวิน

ถึงอย่างไรทุกคนก็นับว่าเป็น ‘คนทางเดียวกัน’ เคยเข้าสู่ประตูข้ามแดนปฐพีด้วยกัน

แต่ตอนนี้ยอดจักรพรรดิเสวียนซิงเพิ่งจะตระหนักได้ว่า ตนประเมินความแข็งแกร่งของหลิงเสวียนจื่อต่ำไป!

……

“สะใจ ลูกผู้ชายก็ควรจะเป็นเช่นนี้!”

หลังจากหนิงเต้าจื้อรู้เรื่องนี้ก็อึ้งงัน ครู่ใหญ่จึงส่งเสียงหัวเราะลั่น

“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ฝึกปราณของโลกยอดนิรันดร์ แม้พลังปราณอ่อนแอกว่าพวกเราก็ยังวางท่าสูงส่ง ใครเล่าจะกล้าปะทะหนักหน่วงถึงเพียงนี้เหมือนกับหลิงเสวียนจื่อ”

จักรพรรดิขวงหรูที่ได้รู้ข่าวนี้กลับชื่นชมเช่นนี้

“พวกฟางเสวียนเจินจากเรือนกระบี่ต้าเหิงไม่เคยปรากฏตัวเลย หรือว่า… จะถูกหลิงเสวียนจื่อฆ่าไปนานแล้ว”

และมีคนคาดเดาอย่างอาจหาญ

ผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาจากประตูข้ามแดนปฐพีต่างรู้ว่า หลินสวินไม่เพียงฉีกหน้าพวกเหวินเซ่าเหิง ยิ่งมีความแค้นกับพวกฟางเสวียนเจินด้วย

แต่จนตอนนี้พวกฟางเสวียนเจินก็ยังไม่เผยร่องรอย นี่ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาประสบเคราะห์ไปแล้วหรือไม่…

และในขณะเดียวกัน บนแผ่นดินลอยที่รกร้างแห้งเหือดแห่งนึ่ง

“ข้าจะต้องฆ่าหลิงเสวียนจื่อนี่ให้ได้!!” เหวินเซ่าเหิงเผ้าผมยุ่งเหยิง หน้าเขียวดุร้ายจนน่ากลัว กลิ่นอายทั้งตัวเหี้ยมโหดน่าหวาดหวั่น

“นายน้อยโปรดระงับโทสะ หากพวกเราออกเดินทางตอนนี้ ใช้เวลาไม่ถึงสามเดือนก็จะถึงเมืองจักรพรรดิอมตะแห่งแรกในแดนใหญ่พันศึกแล้ว”

ข้างๆ ท่านย่าเสวี่ยสีหน้าอึมครึมยิ่งเช่นกัน ไม่น่าดูอย่างที่สุด กัดฟันพูด “ในสามพันปีนี้ คนที่เฝ้าเมืองนี้ก็คือ ‘ตระกูลเหิง’ ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตระกูลเหวินของพวกเรา ถึงตอนนั้นสามารถพึ่งพลังของตระกูลเหิงฆ่าเจ้าหมอนี่ได้!”

“พึ่งพลังของตระกูลเหิงหรือ” ในใจเหวินเซ่าเหิงเกิดความรู้สึกอับอายอย่างรุนแรง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาตกต่ำถึงขั้นต้องขอความช่วยเหลือจากภายนอก

“นายน้อยอย่าใช้อารมณ์จัดการปัญหา ผู้สูงส่งอย่างท่าน นอกจากมรรควิถีและสมบัติแล้ว ตำแหน่ง ฐานะ เส้นสายในตัวก็เป็นพลังของท่านเช่นกัน”

ท่านย่าเสวี่ยปลอบเสียงเบา “เหตุใดผู้แข็งแกร่งของโลกพันจักรวาลล้วนเกรงกลัวนายน้อยขนาดนั้น นอกจากพวกเขาหวาดเกรงมรรควิถีของท่านแล้ว ยังหวาดเกรงฐานะของท่านและเส้นสายที่ท่านมีด้วย!”

“นี่คือข้อได้เปรียบของท่าน และนี่ก็คืออำนาจบารมีที่ตระกูลเหวินของเรามีมาตั้งแต่อดีต นายน้อยท่านเกิดมาก็ไม่ธรรมดาแล้ว ครอบครองทุกสิ่งนี้ แล้วเหตุใดจึงไม่ใช้เล่า”

คำพูดนี้ทำให้เหวินเซ่าเหิงจมสู่ความเงียบ ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “คนอื่นๆ… ล้วนประสบเคราะห์แล้วหรือ”

ท่านย่าเสวี่ยพลิกมือหยิบตำราหยกสีดำเล่มหนึ่งออกมา ตำราหยกประทับกลิ่นอายคลุมเครือ

นางพินิจคร่าวๆ แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ทาสที่ถูกคุณชายกุมตัวไว้สองคนนั้นยังมีชีวิตอยู่”

เหวินเซ่าเหิงอึ้งไป “เหลือแค่พวกเขาสองคนหรือ”

ท่านย่าเสวี่ยพยักหน้า “แปลก เหตุใดหลิงเสวียนจื่อต้องไว้ชีวิตสองคนนี้ หรือเพียงเพราะพวกเขามาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา”

เหวินเซ่าเหิงพูดอย่างฉุนเฉียว “พูดเรื่องพวกนี้ไปทำไม สองคนเท่านั้นแม้ถูกช่วยไว้แล้วอย่างไร วิญญาณของพวกเขาฝังพลังแห่ง ‘คำสาปผนึกหมื่นยอด’ ไปนานแล้ว หากพวกเขาคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการถูกข้าควบคุมชีวิตได้ เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว!”

ท่านย่าเสวี่ยสายตาวาบประกาย นึกแผนการได้ทันที “นายน้อย สองคนนี้มีชีวิตอยู่ ถือว่ามีประโยชน์ต่อพวกเรา อย่างน้อยต่อไปยามพวกเราจะแก้แค้น ก็สามารถใช้กลิ่นอายของสองคนนี้จับตำแหน่งของหลิงเสวียนจื่อ!”

เหวินเซ่าเหิงขมวดคิ้ว “ถ้าสองคนนี้ไม่อยู่ข้างกายหลิงเสวียนจื่อล่ะ”

ท่านย่าเสวี่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย “เรื่องนี้ง่ายมาก”

สวบ!

นิ้วของนางกรีดบนตำราหยกสีดำคราหนึ่ง หาสัญลักษณ์ที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาดสองอัน เป็นพลังคำสาปผนึกที่เป็นตัวแทนของหมีอู๋หยาและเยียนอวี่โหรว

จากนั้น ปลายนิ้วของท่านย่าเสวี่ยปรากฏแสงมรรคเป็นสายๆ กดบนสัญลักษณ์แปลกประหลาดสองอันนั้นตามลำดับ

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นท่านย่าเสวี่ยเก็บตำราหยกสีดำแล้วเอ่ยว่า “นายน้อย ข้าออกคำสั่งไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็ต้องติดตามอยู่ข้างกายหลิงเสวียนจื่อ หากกล้าไม่ทำตาม ข้าจะกระตุ้นพลังของคำสาปผนึกหมื่นยอดกำจัดพวกเขาซะ!”

เหวินเซ่าเหิงพยักหน้า จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ก็ไม่รู้ว่าหลิงเสวียนจื่อจะใช่หลินสวินหรือไม่… ถ้าใช่หลินสวินจริงๆ จับเป็นจะมีประโยชน์กับข้ามากกว่า”

แววประหลาดวาบผ่านในดวงตาของท่านย่าเสวี่ย ยิ้มพูดเสียงต่ำ “จะยากอะไร ตอนที่จับเขาได้ก็จะรู้ฐานะของเขาเอง!”

“ได้ เช่นนั้นก็ทำตามนี้” เหวินเซ่าเหิงเอ่ยเสียงเด็ดขาด

………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท