Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2437 สุดทางน้ำพุเหลือง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2437 สุดทางน้ำพุเหลือง

ตอนที่ 2437 สุดทางน้ำพุเหลือง

บนทางน้ำพุเหลือง

หลินสวินล้มลงไปกับพื้น หายใจหอบถี่

ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดถอดสี มุมปากยังมีคราบเลือดเหลืออยู่ ในดวงตาลุ่มลึกทั้งสองข้างมีแต่ความหวาดผวาและยินดีปรีดา

ก่อนหน้านี้เพื่อฝ่าวงล้อมออกม เขาใช้อภินิหารหยุดเวลาสองครั้งรวด ถึงหลุดจากวงล้อมของเพลิงระเบียบดับสูญนั้นได้อย่างยากลำบาก

และค่าตอบแทนที่ต้องแลก ก็คือร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส มรรควิถีทั้งร่างเกือบแห้งเหือด

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดึงเอาโอสถเทพรักษาบาดแผลที่เก็บไว้ออกมาจำนวนหนึ่งแล้วยัดเข้าปากจนหมด เคี้ยวพลางหลอมไปด้วย

‘เย่จื่อ อู้เชวีย…พวกเจ้ามาช่วยคุ้มครองข้าหน่อย’

หลินสวินสื่อจิต บนทางน้ำพุเหลืองนี้ยังไม่ปลอดภัยเช่นเคย เต็มไปด้วยอันตราย แม่ทัพนรก ทหารนรกพุ่งออกมาได้ทุกเมื่อ

หลังเย่จื่อกับอู้เชวียออกมาก็เฝ้าระวังทันที

หลายปีนี้ศาสตราจักรพรรดิที่หลินสวินรวบรวมมาได้และไม่ได้ใช้ เกินครึ่งล้วนให้เป็น ‘อาหาร’ ของเย่จื่อ อู้เชวียกับวิญญาณดาบหัก

จวบจนตอนนี้มรรควิถีของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว ในสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง แต่ละตนต่างสร้างความเสียหายถึงชีวิตให้กับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดได้

ถ้าลงมือร่วมมือ ถึงขั้นต้านบรรพจารย์ขั้นเก้าได้!

ควรรู้ว่าสมัยอยู่ที่แดนหงส์เซียน พวกเย่จื่อก็เคยร่วมมือกันรับมือบรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งที่มาจากเผ่าพยัคฆ์ขาวแล้ว!

“ที่แท้เจ้ายังเลี้ยงวิญญาณอาวุธอีกสองตน…” นกกระจอกเขียวอึ้งไป มันที่เพิ่งรอดตายมา เพิ่งตระหนักได้ว่าไพ่ตายในมือหลินสวินมีไม่น้อย

หลินสวินไม่ได้พูดอะไร เริ่มสงบใจนั่งสมาธิ

ตั้งแต่เข้าสู่แดนใหญ่พันศึกถึงตอนนี้ เขาเพิ่งตกที่นั่งลำบากถึงขั้นนี้เป็นครั้งแรก ต้องใช้อภินิหารหยุดเวลาสองครั้งรวดถึงโชคดีเอาชีวิตรอดมาได้

เมื่อก่อนนี่เป็นเรื่องที่พบได้น้อยนัก

พอคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้เจอก่อนหน้านี้แต่ละอย่าง หลินสวินก็ยังคงรู้สึกหวาดผวา พลังเพลิงระเบียบดับสูญนั้นน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ มิน่าขนาดบรรพจารย์มรรคยังถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ อานุภาพเช่นนั้นทำให้ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนไหนต้องสิ้นหวังได้จริงๆ

ในช่วงเวลาต่อมาเงียบสงบจนผิดปกติ ไม่ได้เกิดเรื่องไม่อาจคาดเดาหรือเหนือคาดหมายใด อย่าว่าแต่แม่ทัพนรก ทหารนรกเลย กระทั่งผู้ฝึกปราณสักคนยังไม่เจอ

ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ

หลินสวินจึงตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ

อาการบาดเจ็บทั้งตัวสมานโดยสมบูรณ์ แม้แต่พลังที่ใช้ไปจนหมดก็ฟื้นคืนมาราวแปดส่วนแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็จะกลับสู่สภาพสมบูรณ์ที่สุดอีกครั้ง

แต่หลินสวินไม่คิดจะอยู่ต่ออีก

ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งไม่ปลอดภัย

เย่จื่อกับอู้เชวียต่างกลับไปยังกล่องกระบี่และคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ด้านหลินสวินตัดสินใจมุ่งหน้าต่อทันที

และภายในร่างเขา กายมรรคไม้เขียวกับกายมรรคเพลิงแดงต่างกำลังหยั่งรู้ ‘มรรคกักวิญญาณ’ กับ ‘มรรคสิบตำหนักพญายม’ อยู่

อันที่จริงด้วยมรรควิถีกับระดับของหลินสวินในตอนนี้ ต่อให้สิ่งที่หยั่งรู้เป็นมหามรรคนรกของแดนนรกยุคก่อนก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก

อย่างเช่นตอนนี้ นัยเร้นลับของมรรคกักวิญญาณถูกหยั่งถึงขั้นต้นแล้ว

ทว่าถ้าหมายจะหลอมมหามรรคนรกเช่นนี้เข้ากับกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิ ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก

“เจ้า… เก็บเพลิงระเบียบดับสูญได้หรือไม่” ระหว่างทางนกกระจอกเขียวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

หลินสวินยิ้มแล้ว เขาเดาได้ว่านกกระจอกเขียวต้องสงสัย

“เก็บได้แล้ว”

เขาพยักหน้าน้อยๆ ก่อนหน้านี้ตอนหนีตาย เขาใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกำราบเพลิงระเบียบที่เรียวเล็กราวปราณกระบี่สิบกว่าสายในคราวเดียว

ยามเพลิงระเบียบเหล่านี้ดิ้นรน ก็จะใช้เพลิงหงส์ระเบียบกับระเบียบนิพพานมาร่วมกันข่ม ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ในชั่วขณะ ถูกขังไว้ในเตากระบี่

“จริงหรือ!?”

นกกระจอกเขียวอุทานออกมา เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นถึงขีดสุด “นี่เป็นถึงเปลวเพลิงน่าพรั่นพรึงที่สามารถคุกคามระดับอมตะได้ ถึง… ถึงกับถูกกำราบและสยบได้จริงๆ หรือ”

มันรู้จักตื้นลึกหนาบางของเพลิงระเบียบดับสูญดียิ่ง หลังจากยุคก่อนล่มสลาย พลังระเบียบพังทลายจ่อมจมกลายเป็นเปลวเพลิงสีดำอมตะไม่ดับสิ้น ถูกขนานนามว่าเพลิงระเบียบดับสูญ

ในอดีตเคยมีบรรพจารย์มรรคถูกไฟนี้เผาตายทั้งเป็น!

กระทั่งเขตผนึกลึกลับที่อยู่ใกล้กับซากป้ายศิลาพญายมนั่นยังถูกมองว่าเป็นสถานที่อันตรายยิ่ง ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไป

แม้แต่นกกระจอกเขียวก็ยังคิดไม่ถึง ว่าหลินสวินที่ก่อนหน้านี้หนีอย่างทุลักทุเลเช่นนั้น ไม่เพียงรอดมาได้ ยังเก็บเพลิงนี้มาได้ด้วย นี่จะไม่ให้มันตกใจได้อย่างไร

“ให้ข้าดูได้หรือไม่” นกกระจอกเขียวเอ่ยอย่างเปี่ยมไปคาดหวัง

“ได้ แต่เจ้าไม่กลัวจะถูกย่างจนสุกหรือ” หลินสวินเอ่ย

ทันใดนั้นนกกระจอกเขียวพลันกลอกตา แล้วล้มเลิกความคิดนี้ไป

“ต่อไปยังต้องเดินทางอีกนานแค่ไหนจึงจะถึงด่านนภาอมตะด่านแรกนั่น” หลินสวินเอ่ยถาม

นกกระจอกเขียวครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ไม่เกินหนึ่งเดือน!”

ทันใดนั้นมันก็เอ่ยแนะ “ดูออกว่าเจ้าใกล้จะบรลลุขั้นแล้ว แต่ข้าแนะนำให้เจ้าบรรลุขั้นหลังจากไปถึงด่านนภาอมตะ เพราะที่นั่นปลอดภัยที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครกล้าเหิมเกริมลงมือในนั้น”

หลินสวินประหลาดใจ เอ่ยว่า “กฎเหมือนเมืองข้ามแดนหรือ”

“ประมาณนั้น”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

ไม่นานนักแม่ทัพนรกคนหนึ่งก็นำทหารนรกหลายร้อยนายพุ่งออกมาบนเส้นทางเบื้องหน้า ท่าทางฮึกเหิม โถมเข้ามาหาหลินสวิน

หลินสวินชินแล้ว เพียงแต่ในการลงมือครั้งนี้ เขาโคจรพลังมรรคกักวิญญาณที่เพิ่งหยั่งรู้ได้ไม่นานเงียบๆ ใช้สิ่งนี้ควบคุมเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง

ตูม!

เมื่อเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกระแทกลงไป เงาร่างทหารนรกสิบกว่าคนก็ระเบิดกระจุยกลายเป็นหมอกดำปั่นป่วนทันที

เพียงแต่ที่ต่างกับก่อนหน้านี้คือ เมื่อพลังกักวิญญาณผุดออกมาจากเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง เงาร่างที่แทบเป็นภาพมายาร่างแล้วร่างเล่าก็ถูกดึงออกมาจากหมอกสีดำนั้น แล้วสยบเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง

หลินสวินพลันสังเกตเห็นว่าเงาร่างมายาเหล่านั้นถึงกับเป็นพลังวิญญาณแหลกละเอียดคลุมเครือเป็นสายๆ หลังจากชำระล้างด้วยพลังมรรคกักวิญญาณ พลังวิญญาณเหล่านี้ก็ควบรวมเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นมุกแวววาวขนาดเท่าถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่ง

‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พลังของมรรคกักวิญญาณข่มทหารนรกเหล่านี้โดยธรรมชาติ สามารถกำราบและดึงพลังวิญญาณออกมา แล้วรวมเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย…’

หลินสวินคึกคักขึ้นมา

มรรคกักวิญญาณแบ่งเป็นข้ามแดนและกักวิญญาณ สามารถเก็บรวมร่างวิญญาณต่างๆ ได้ หลังจากหลอมชำระแล้ว ก็สามารถแปลงเป็นพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ มีคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ต่อการฝึกพลังจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณ

และหลังจากทหารนรกเหล่านี้ถูกสังหาร หมอกสีดำถาโถมนั่นก็กลายเป็นพลังแห่งนรก ถูกดูดเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง

แม้กล่าวว่าสำหรับการรวมลายมรรคนรกเก้าลายนั้น พลังแห่งนรกที่แปลงมาจากทหารนรกเหล่านี้อ่อนด้อยไปมากแล้ว

แต่เพราะสามารถรวมรวมพลังวิญญาณได้ คราวนี้หลินสวินจึงไม่คิดจะปล่อยทหารนรกเหล่านี้ไปอีก

ตูม!

การต่อสู้ปะทุขึ้น หลินสวินคนเดียวห้อตะบึงไปทั่วกองทัพทหารนรกหลายร้อย เหมือนเคลื่อนกวาดตลอดทาง บุกตะลุยกร้าวแกร่ง

ต่อให้เป็นแม่ทัพนรกก็ยังถูกหลินสวินสังหารด้วยพลังบดขยี้เบ็ดเสร็จ!

เพียงครู่เดียวศัตรูในที่นั้นก็ถูกกำจัดราบคาบ!

หลินสวินลองนับดู มุกวิญญาณขนาดเท่าถั่วปากอ้าที่อยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งนั้น กลายเป็นมุกวิญญาณขนาดเท่ากำปั้นสามเม็ดไปแล้ว

หนึ่งในนั้นควบรวมขึ้นจากพลังวิญญาณของแม่ทัพนรกผู้นั้น!

พร้อมกันนั้นยังมีมุกยมโลกหนึ่งเม็ด กอปรกับพลังแห่งนรกที่รวบรวมมาได้ ทำให้ลายมรรคนรกเจ็ดลายที่เหลือมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยขึ้นบ้าง

ผลเก็บเกี่ยวได้เช่นนี้ทำให้หลินสวินพอใจมากอย่างอดไม่อยู่

ทั้งสามารถรวบรวมพลังวิญญาณ ทั้งได้พลังแห่งนรก ไหนจะรวบรวมมุกยมโลกมาได้… ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่กล้าจินตนาการด้วยซ้ำ

นกกระจอกเขียวหมดแรงจะวิจารณ์เรื่องนี้แล้ว เหลือเพียงความอิจฉาริษยาสุมทรวง

วิธีการสังหารเอาทรัพย์หลังศึกอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ในอดีตนกกระจอกเขียวยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เคยเห็นเลย!

นกกระจอกเขียวกล้ามั่นใจว่าในหมู่ผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในแดนนรกเซินหลัวตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันทุกคน เกรงว่าจะมีเพียงหลินสวินคนเดียวที่มีโชคอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้

นกกระจอกเขียวรู้ว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวกับพลังระเบียบลึกลับสุดหยั่งที่หลินสวินครอบครองนั้น!

ระหว่างทางต่อๆ มาก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิตอะไรแล้ว ทั้งยังไม่ได้พบเคราะห์สังหารน่ากลัวอย่างเพลิงระเบียบดับสูญอีก

จะมีทหารนรกที่รวมตัวเป็นกองทัพบุกมาเป็นพักๆ ทั้งยังเจอแม่ทัพนรกนำทหารนรกกลุ่มหนึ่งโจมตีมาเป็นครั้งคราว มีขนาดใหญ่โต กระบวนทัพแกร่งกล้า

แต่ล้วนถูกหลินสวินมองเป็นเหยื่ออ้วนพีที่ส่องแสงแวววาว สังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น

นี่ก็ทำให้จำนวนมุกวิญญาณที่เขารวบรวมไว้กับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำนวนมุกยมโลกก็เพิ่มสูงขึ้น พลังแห่งนรกที่ลายมรรคนรกเก้าลายดูดซับก็มากยิ่งขึ้น…

ตลอดทางหลินสวินรู้สึกเบิกบานเหมือนขี่ม้าวิ่งไปในลมวสันต์ มีทั้งความรู้สึกยินดี ตั้งตาคอย และฮึกเหิม ฟันฝ่าอุปสรรคไปตลอดทาง

ด้านนกกระจอกเขียวทนดูต่อไม่ได้แล้ว ในใจคิดคับแค้นอย่างอดไม่ได้ ว่าแม่ทัพนรก ทหารนรกพวกนี้เป็นพวกโง่ทั้งนั้น ไม่รู้เลยหรือว่าในสายตาของเจ้าหมอนี่ พวกเขาเป็นครอกหมูอ้วนพีที่ส่งตัวเองมาถึงที่

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

ผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในแดนนรกเซินหลัวและเดินอยู่ข้างหลังหลินสวินทุกคน ไม่ว่าจะห่างหรือใกล้ต่างสับสนงุนงงอยู่บ้าง

ตลอดทางนี้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน จิตใจหดเกร็ง กลัวแต่จะเจอเคราะห์สังหารน่ากลัว ระวังตัวยิ่งนัก

มีหรือจะเคยคิดว่าแม่ทัพนรกและทหารนรกที่น่ากลัวยิ่งยวดตามคำร่ำลือจะพบเจอได้น้อยนัก บางครั้งบางคราวจึงจะเจอทหารนรกส่วนหนึ่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนไร้อันตรายคุกคาม

ดังนั้นแม้พวกเขาจะเดินบนทางเส้นนี้อย่างระมัดระวัง แต่กลับแทบจะไม่พบกับอันตรายหรือภัยคุกคามใดๆ!

“เกิดอะไรขึ้น”

หลายคนงงุนงง

“นี่มันบุญพาวาสนาส่ง สวรรค์เป็นใจ ดูแลพวกเราเป็นพิเศษหรือ”

มีคนพึมพำอย่างอดไม่ได้

“หรือจะบอกว่ามีพวกร้ายกาจเย้ยฟ้าบุกเบิกเส้นทางเบื้องหน้าไว้ ฆ่าแม่ทัพนรก ทหารนรกบนทางสายนี้หมดแล้ว”

ทั้งยังมีคนคาดเดาและกังขา

“ต้องเป็นสหายคนดีผู้นั้นแน่!”

และสำหรับพวกถานไถเฟิง พวกเขาเกิดสังหรณ์อันแรงกล้าว่าทั้งหมดนี้จะต้องเป็นฝีมือของหลิงเสวียนจื่อ

ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาต่างก็ทอดถอนใจ

คนดีจัง!

มองไปบนโลกในตอนนี้ ยังจะมีคนดีที่ไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย มีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่นเช่นนี้สักกี่คน

หากหลินสวินรู้เรื่องพวกนี้ เกรงว่าคงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

ยี่สิบกว่าวันผ่านไป

หมอกดำที่ปกคลุมทางน้ำพุเหลืองค่อยๆ เบาบางลง กลิ่นอายน่าอึดอัดและหนาวเหน็บนั้นก็สลายไปไม่น้อย

ในที่สุดหลินสวินที่บุกป่าฝ่าดงมาตลอดทางก็เห็นปลายทางของทางน้ำพุเหลือง มีแท่นมรรคสีดำรูปร่างคล้ายกงล้อแท่นหนึ่งปรากฏขึ้น บนแท่นมรรคมีคลื่นห้วงอากาศอันคลุมเครือไหววูบ

“ขึ้นแท่นมรรคนี้ก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังด่านนภาอมตะด่านแรก ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา มีเผ่าจักรพรรดิอมตะต่างๆ เวียนกันควบคุม…”

เสียงนกกระจอกเขียวเผยความโล่งใจ “เพียงเข้าไปในนั้นก็จะพักดีๆ ได้แล้ว”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท