Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2457 ยอดทรามเชยหนึ่งเดียวเซี่ยงเสี่ยวหยวน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2457 ยอดทรามเชยหนึ่งเดียวเซี่ยงเสี่ยวหยวน

“ในโลกพันจักรวาลหาคนเช่นนี้ได้ยากจริงๆ แต่ในโลกยอดนิรันดร์ก็พอหาได้บ้าง”

ขณะเดียวกับที่เยวี่ยตู๋ชิวปรากฏตัวออกมา เสียงใสกระจ่างเจือแววเย็นชาก็ดังขึ้นตามมา

ก็พบว่าละอองแสงสีทองอ่อนแถบหนึ่งพลิ้วลอย ควบรวมเป็นรุ้งเทพที่ปูด้วยดอกบัวสายหนึ่ง เงาร่างอรชรร่างหนึ่งยืนอยู่บนนั้น

นางผิวเนียนเรียบ ทั้งร่างอาบอยู่กลางแสงเทพสีทองอ่อนประหนึ่งภาพฝัน คล้ายนางเซียนเยือนโลก

ที่หลังนางสะพายดาบศึกคู่หนึ่ง เล่มหนึ่งเขียวเล่มหนึ่งม่วง อบอวลไอสังหารดุร้ายน่ากลัว เพิ่มความดุดันให้กับนาง

“เทพธิดาเสี่ยวหยวนกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก”

เยวี่ยตู๋ชิวยิ้ม กริยาเคารพหญิงสาวยิ่ง

และในที่สุดหลินสวินก็นึกออกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

เซี่ยงเสี่ยวหยวน

มกุฎจักรพรรดิขั้นแปด ฉายา ‘จักรพรรดิกระบี่ม่วงเขียว’ ลือกันว่าฝึกปราณมากระทั่งตอนนี้ยังไม่ถึงสามพันปีก็ผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าว ทำให้เฒ่าดึกดำบรรพ์นับไม่ถ้วนละอายใจกับความสามารถตัวเอง ข่มจนคนรุ่นอาวุโสเชิดหน้าชูคอไม่ได้

นางมี ‘กายมรรคเก้าเร้น’ มาแต่กำเนิด พรสวรรค์เย้ยฟ้า โดดเด่นเหนือใคร มีชื่อเสียงว่าสามพันปีมานี้ครองความสง่างามแห่งมรรคจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว!

เซี่ยงเสี่ยวหยวนมาจากเขตแดนดาราเทพผงาด อันดับหนึ่งของโลกพันจักรวาลเช่นเดียวกับเยวี่ยตู๋ชิวและเฟิงจวินหลิน มิหนำซ้ำยังมีชาติกำเนิดลึกลับและสูงส่งเกินธรรมดาถึงที่สุด

ได้ยินว่ามารดาของนางมาจากตระกูลอมตะที่ครอบครองระเบียบระดับสวรรค์ตระกูลหนึ่งในโลกยอดนิรันดร์ ฐานะทรงเกียรติเป็นที่สุด

ในบรรดาระดับจักรพรรดิที่เข้าร่วมการเคี่ยวกรำกลุ่มนี้ ฐานะของเซี่ยงเสี่ยวหยวนดึงดูดความสนใจและการถกเถียงไม่รู้เท่าไร

มวลผกาโรยราเหลือเพียงเหมย ยอดทรามเชยหนึ่งเดียวเซี่ยงเสี่ยวหยวน!

หญิงผู้นี้มีความงามเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง

ขณะที่คิดอยู่ในใจ หลินสวินก็เอ่ยออกมาว่า “ทั้งสองคนปรากฏตัวที่นี่ คงไม่ได้มาคุยเล่นกันกระมัง”

ก่อนหน้านี้ตอนสู้กับเฟิงจวินหลิน เยวี่ยตู๋ชิวกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนก็ปรากฏตัว แอบดูการต่อสู้อยู่ก่อนแล้ว

นี่ก็คือสาเหตุที่จู่ๆ เฟิงจวินหลินก็รามือยุติการต่อสู้

“ไม่ได้มาคุยเล่นอยู่แล้ว”

เยวี่ยตู๋ชิวยืนอยู่บนน้ำเต้าเปลือกเขียว ยิ้มเอ่ยว่า “พูดแบบนี้ดีว่า ในด่านนภาอมตะด่านที่เก้ามีการฝึกประสบการณ์ที่อันตรายหาใดเทียบอยู่อย่างหนึ่ง ถึงเวลาถ้ามีโอกาส ข้ากับเทพธิดาเสี่ยวหยวนต่างหวังว่าสหายยุทธ์จะเข้าร่วมกับพวกเรา เคลื่อนไหวด้วยกันได้”

ข้างๆ กันเซี่ยงเสี่ยวหยวนพยักหน้า เสียงใสกระจ่างดั่งเสียงสวรรค์ “แม้ว่าประสบการณ์นั่นจะอันตราย แต่ก็มีมหาศุภโชคที่หาในโลกภายนอกได้ยากอยู่ เชื่อว่าถึงตอนนั้นด้วยพลังของพวกเรา จะต้องเปลี่ยนเคราะห์ร้ายกลายเป็นดี ได้รับศุภโชคที่อยู่ในนั้นมาแน่”

หลินสวินอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองจะมาเพราะเรื่องนี้

“ขอเสียมารยาทถามสักหน่อย ทำไมถึงเป็นข้าแต่ไม่ใช่เฟิงจวินหลินล่ะ” หลินสวินเอ่ย

เยวี่ยตู๋ชิวยิ้มเอ่ย “สถานการณ์ของเฟิงจวินหลินพิเศษนัก อืม บอกได้แค่ว่าเขากับพวกเราไม่ได้อยู่บนทางสายเดียวกัน ย่อมไม่อาจร่วมมือกันได้”

หลินสวินร้องอ้อคำหนึ่ง เอ่ยอย่างสนอกสนใจว่า “หรือทั้งสองท่านจะไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของข้าเปราะบางแค่ไหน”

เยวี่ยตู๋ชิวกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนอึ้งไป คล้ายไม่รู้สาเหตุ

“เป็นไปได้สูงยิ่งว่าข้าจะต้องเข้าไปในเขตที่เก้า ถึงจะออกจากสถานที่แห่งนี้ได้”

หลินสวินเอ่ย

ประโยคเดียวเยวี่ยตู๋ชิวกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนต่างอึ้งงัน สบตากัน ในใจรู้แล้วว่าสถานการณ์ของหลินสวิน ‘เปราะบาง’ ขนาดไหน

“แน่นอนว่าถ้าภายหน้าข้ามีโอกาสไปถึงด่านนภาอมตะด่านที่เก้า ย่อมไม่ถือสาที่จะเคลื่อนไหวกับทั้งสองท่าน แต่ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว”

หลินสวินพูดจบก็เคลื่อนตัวไปไกล

เยวี่ยตู๋ชิวอึ้งไปครู่หนึ่ง สักพักจึงนิ่วหน้าเอ่ย “วิธีการของเหวินเซ่าเหิงผู้นั้นจะร้ายกาจไปแล้ว!”

“ถ้าไม่มีเหิงเทียนซั่วช่วย จะทำให้หลิงเสวียนจื่อผู้นี้เข้าสู่ทางตันไร้ทางออกเช่นนี้ได้อย่างไร”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนพูด “จากที่ข้าดู พวกเราอาจจะต้องหาคนใหม่แล้ว”

เยวี่ยตู๋ชิวยิ้มเจื่อน ถอนใจยาวเอ่ยว่า “คนระดับข้ากับเจ้าเดิมทีก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย คิดจะหาคนที่เหมาะสักคน… คงไม่ง่ายนักหรอก”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนเอ่ย “ด่านนภาอมตะด่านที่เก้ามีพวกร้ายกาจที่มาจากโลกยอดนิรันดร์รวมตัวอยู่ไม่น้อย แต่ละคนต่างมาเพื่อวาสนาครั้งนั้น ถ้ามีแค่เราสองคน ยากมากที่จะไปต้านเจ้าพวกที่เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดเหล่านั้น”

นางหยุดไป มองไปยังทิศที่หลินสวินจากไปแล้วเอ่ยว่า “ข้าล่ะหวังจริงๆ ว่าหลิงเสวียนจื่อคนนี้จะรอด ข้าดูออกว่าเขาใกล้ทะลวงขั้นแล้ว จินตนาการได้เลยว่ายามเขาบรรลุมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด พลังต่อสู้จะน่ากลัวปานไหน”

ยามอยู่ระดับจักรพรรดิขั้นหกก็ต้านเฟิงจวินหลินได้แล้ว

ถ้าทะลวงขั้นขึ้นไป เฟิงจวินหลินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกหรือไม่

เยวี่ยตู๋ชิวก็เผยสีหน้าประหลาดออกมาอย่างอดไม่ได้ ผ่านไปสักพักก็ส่ายหัวอย่างห้ามไม่อยู่

เขตที่เก้าอันตรายปานไหน ตั้งแต่อดีตจนตอนนี้ยังไม่มีใครออกมาได้ หลิงเสวียนจื่อผู้นี้คิดจะรอดออกมา แทบไม่มีหวัง

……

ครึ่งชั่วยามผ่านไป

หลินสวินแทรกเข้าไปในส่วนลึกใต้ดิน ขุดถ้ำสถิตถ้ำหนึ่ง หลังจากวางผนึกแล้วก็นั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังกายที่เสียไป

ขณะเดียวกันเขาเริ่มตรวจดูผลเก็บเกี่ยวคราวนี้

แหล่งดาราที่คุณลักษณะสมบูรณ์ ลึกลับหายากชิ้นหนึ่ง สามารถแปลงเป็นคทาสมประสงค์สีดำได้ ตอนนี้ถูกสยบอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง

หลังจากหลินสวินสัมผัสโดยละเอียดก็กลืนแหล่งดาราชิ้นนี้เข้าไปในร่าง

ชั่วพริบตานัยเร้นลับมหามรรคที่สมบูรณ์หลอมรวมเข้าไปในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ทั้งหมดเหมือนละอองแสง

เช่นเดียวกับมรรคทองยอดอมตะ กฎเกณฑ์มหามรรคที่มีชื่อว่า ‘นภามืด’ นี้หายากหาใดเทียบ ลึกลับสุดหยั่ง ทั้งยังสมบูรณ์ไร้บกพร่องเช่นเดียวกัน ไม่ต้องหลอมและหยั่งรู้อีกสักนิดหลินสวินก็เอามาใช้ได้แล้ว

สำหรับบรรพจารย์ขั้นเก้าคนใดก็ตาม ถ้าได้รับมหามรรคที่สมบูรณ์เช่นนี้ย่อมไม่ต่างอะไรกับได้ยอดศุภโชค สามารถทะลวงระดับกลายเป็นบรรพจารย์มรรคที่แท้จริงได้ทั้งนั้น!

แต่สำหรับตอนนี้ไม่ได้มีประโยชน์กับหลินสวินมากนัก กลายเป็นเพียงการสะสมมหามรรคชนิดหนึ่ง ภายหน้ายามเขาบรรลุบรรพจารย์จึงจะมีประโยชน์สำคัญ

หลังจากหลอมมรรคนภามืดไป หลินสวินก็เอาภาพมรรคสี่ภาพออกมา สมบัติสี่อย่างนี้ต่างมีความมหัศจรรย์ของมันเอง เป็นสิ่งที่ชิงมาจากผู้ติดตามของเฟิงจวินหลินสี่คนนั้น

หลินสวินประเมินอยู่ครู่หนึ่งก็มองทะลุนัยเร้นลับในนั้นทั้งหมด

ภาพมรรคสี่ภาพมีนามว่า ‘โลกศาสตราจตุลักษณ์’ แบ่งออกเป็นภาพกระบี่มรรคมังกรเขียว ภาพทวนศึกเสือขาว ภาพประทับอัคคีวิหคชาด ภาพโล่ศึกเต่าดำ

ภาพทั้งสี่รวมขึ้นจากกระบวนผนึกอันคลุมเครือ ภายในมีวิญญาณพิสุทธิ์ฟ้าประทานของมังกรเขียว เสือขาว วิหคชาดและเต่าดำ อานุภาพสุดหยั่ง

ที่ลึกลับที่สุดก็คือ ในโลกศาสตราจตุลักษณ์นี้มีมรดกการต่อสู้ที่เข้ากันได้ประทับอยู่ นามว่า ‘ชี้นำโลกหล้า’ เป็นวิชาต้องห้ามอันน่ากลัว สามารถหลอมรวมพลังของผู้แข็งแกร่งสี่คนเข้าด้วยกัน ปะทุอานุภาพอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ก่อนหน้านี้ตอนหลินสวินห้ำหั่นกับสี่คนนั้นก็ได้สัมผัสความน่ากลัวของ ‘ชี้นำโลกหล้า’ นี้แล้ว น่ากลัวผิดธรรมดาจริงๆ

ข้อเสียเดียวอาจจะอยู่ที่ โลกศาสตราจตุลักษณ์นี้ต้องมีผู้แข็งแกร่งสี่คนมาใช้ด้วยกันถึงจะสำแดงอานุภาพทั้งหมดได้

แต่สำหรับหลินสวินแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาโดยสิ้นเชิง ขอเพียงให้ร่างแยกสี่ร่างมาโคจรสมบัตินี้พร้อมกันก็พอ

ไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ หลินสวินก็ลงมือหลอมโลกศาสตราจตุลักษณ์ด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ประทับพลังเจตจำนงของตนลงไปในนั้น

ทำถึงขั้นนี้หลินสวินถึงเก็บโลกศาสตราจตุลักษณ์ไป

กระทั่งพลังกายของตนฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ หลินสวินจึงเดินออกมาจากถ้ำสถิต เสาะหาแหล่งดาราต่อ

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

ไม่ทันรู้ตัวก็เหลือเวลาอีกสามวันที่การเคี่ยวกรำนี้ก็จะปิดฉากลงแล้ว

และตอนนี้หลินสวินก็ออกจากเขตที่เจ็ด เดินอยู่ในเขตที่แปดมาหลายวันแล้ว

เทียบกับเขตที่เจ็ด เขตที่แปดไม่ถึงกับน่ากลัว แต่กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยพลังกดข่มอันน่าครั่นคร้ามหาใดเทียบ

เดินอยู่ในนี้เหมือนใส่ตุ้มถ่วงที่หนักยิ่งกว่าภูเขาเทพชั้นหนึ่ง ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิขั้นหกรับพลังกดดันเช่นนั้นไม่ไหวอยู่แล้ว

เขตที่แปด พบเห็นเงาร่างผู้ฝึกปราณได้น้อยมาก

มิหนำซ้ำแหล่งดาราที่กระจายอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ก็น้อยนิดถึงที่สุด เทียบกับเขตที่เจ็ดไม่ติด

หลินสวินหามาหลายวัน รวมทั้งหมดยังได้แหล่งดารามาแค่สี่ชิ้นเท่านั้น

‘หรือจะไปเขตที่เก้าเลย’

และในวันนี้หลินสวินก็ตัดสินใจ

“ข้าจะไปเขตที่เก้าแล้ว เจ้าอยากไปกับข้าไหม” หลินสวินถามนกกระจอกเขียว

นกกระจอกเขียวที่ซ่อนตัวอยู่ในถุงหอมเอ่ยว่า “คุณหนูให้ข้านำทางให้เจ้า ตอนนี้ยังจะคิดถอยหนีได้ที่ไหน”

“ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็อยู่ที่นี่ต่อได้” หลินสวินพูดจริงจัง “ถึงอย่างไรที่นั่นก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายน่ากลัวแค่ไหน”

นกกระจอกเขียวเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็เต้นผางเหมือนสายฟ้าฟาด เอ่ยว่า “เจ้านึกว่าข้าเป็นพวกขี้ขลาดที่จะตกใจกลัวง่ายๆ หรือ เพ้อเจ้อให้มันน้อยๆ หน่อย! คราวนี้ต่อให้เจ้าไม่ตกลง ข้าก็จะตามเจ้าไป!”

หลินสวินแหงนหน้าถอนหายใจยาวเอ่ยว่า “ดูท่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องรอดออกมาจากเขตที่เก้านั่นให้ได้ หาไม่จะไม่เป็นการดึงเจ้ามาลำบากด้วยหรอกหรือ”

พูดจบเขาก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ มุ่งหน้าเริ่มเคลื่อนไหว

การเดินทางครั้งนี้ย่อมไม่ถึงกับน่ากลัว แต่ก็ต้องระมัดระวังรอบคอบอย่างที่ควรจะทำ

เมื่อข้ามปราการฟ้าดินที่ทอดตัวอยู่ระหว่างเขตที่แปดกับเขตที่เก้า เพียงพริบตาเท่านั้นจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา

หลินสวินอึ้งไปอย่างอดไม่ได้

จักรวาลหรือ

ที่นี่แตกต่างจากแปดเขตใหญ่แรกโดยสิ้นเชิง!

รอบด้านทั้งบนล่างเรียกช่องว่าง อดีตจนปัจจุบันเรียกกาลเวลา

กาลเวลาอันเวิ้งว้างมีฟ้าดาราอันไร้ขอบเขต ก่อนหลินสวินมาถึงแดนใหญ่พันศึก ตะลอนจากทางเดินโบราณฟ้าดาราผ่านมิติจักรวาลไม่รู้เท่าไร

ชาชินจนเป็นเรื่องธรรมดามานานแล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเขตที่เก้าดันเป็นจักรวาลแห่งหนึ่ง!

สายตาหลินสวินมองไปรอบๆ สงบใจสัมผัส

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ในบริเวณใกล้เคียงไม่มีกลิ่นอายอันตรายสักนิด ทุกอย่างดูปกติหาใดเทียบ

เว้นแต่ไม่มีพลังชีวิต

ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เงาร่างพริบไหวมาถึงดาวเคราะห์เก่าแก่ที่อยู่ไกลออกไปหลายพันลี้ดวงหนึ่ง

นี่คือดาวใหญ่อันแห้งแล้งแห่งหนึ่ง กว้างใหญ่ถึงที่สุด บนนั้นมีโกรกธารอยู่ทั่วไปหมด

สิ่งที่ดึงดูดสายตาหลินสวินก็คือป้ายศิลาที่ถูกพายุทรายกัดกร่อนรุนแรงป้ายหนึ่ง บนนั้นเดิมทีมีรอยอักษรอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนี้มองออกแค่ไม่กี่คำเท่านั้น

“คำกล่าวของมธีที่ตายลงที่นี่พวกนั้น บอกว่า ใครก็ตามที่เข้ามาที่นี่ อยู่ได้ไม่เกินสิบสองชั่วยาม…”

“นางมาแล้ว พาแสงแห่งการทำลายล้างมาปกคลุมจักรวาล…”

“ดังคาด นั่นไม่ใช่พลังของยุคนี้…”

ตัวอักษรเพียงไม่กี่แถวต่างขาดหายกระดำกระด่าง ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ

แต่ความสิ้นหวัง ท้อแท้ หวาดกลัวและงุนงงที่แสดงออกมาจากตัวอักษรเหล่านั้น ต่อให้ผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุด ก็ยังเผยกลิ่นอายน่าหวาดผวาเช่นเคย

ดวงตาดำหลินสวินหดรัดลงเล็กน้อย

อยู่ได้ไม่เกินสิบสองชั่วยาม!

แล้ว ‘นาง’ คนนี้เป็นใครกัน

ไม่ใช่พลังของยุคนี้ หรือว่า ‘นาง’ คนนี้จะมาจากยุคก่อน

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท