Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2466 เข้ามา รับความตาย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2466 เข้ามา รับความตาย

เมืองตั้งต้นตกอยู่ในความปั่นป่วน

คนพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองล้วนหลบซ่อน ตัวสั่นเทิ้ม

บนถนนที่เงียบเชียบมีเพียงระดับจักรพรรดิที่มีพลังปราณสูงส่ง กำลังพุ่งมาทางจวนเจ้าเมือง

บรรยากาศอึมครึมพลุ่งพล่าน เมฆลมปั่นป่วน!

ไม่รู้กี่ปีแล้วที่ไม่ได้เกิดความขัดแย้งนองเลือดเหมือนอย่างวันนี้ ความแตกตื่นที่เกิดขึ้นแค่คิดก็รู้ว่าใหญ่โตแค่ไหน

จวนเจ้าเมือง

นี่คือกลุ่มอาคารก่อสร้างที่ใหญ่โตเก่าแก่ ตั้งอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ประตูกว้างใหญ่ กระเบื้องสีทองอ่อน เหมือนปราการหนึ่งขวางอยู่ตรงหน้า

ที่นี่คือแกนหลักของเมืองตั้งต้น ปกคลุมด้วยพลังผนึกที่ไม่อาจจินตนาการได้ ตั้งแต่อดีต คนที่ก่อเหตุในเมืองต่อให้มีพลังต่อสู้จะเย้ยฟ้าเพียงใด ล้วนไม่เคยสั่นคลอนจวนเจ้าเมืองได้!

และตอนนี้ เงาร่างของหลินสวินปรากฏตัวอยู่ที่นี่

บางทีอาจเพราะเขามาเร็วเกินไป ทำให้ทหารคุ้มกันที่เฝ้าอยู่นอกจวนเจ้าเมืองต่างอึ้งงัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที แม้แต่หัวสมองยังมึนงงเล็กน้อย

“เจ้าหมอนี่ถึงกับยังไม่ตาย!”

“เขา… เขาจะโจมตีเข้าไปในจวนเจ้าเมืองหรือ”

ทหารเหล่านี้แม้จะตกใจแต่ก็ก้าวออกมาทันที โบกอาวุธชี้ไปทางหลินสวินพร้อมกัน ไอสังหารพวยพุ่ง

กลับเห็นหลินสวินไม่ได้มองพวกเขาแม้แต่น้อย ส่งเสียงตรงๆ

“เหิงเทียนซั่ว เหวินเซ่าเหิง ถ้าพวกเจ้ายังไม่ออกมาอีก วันนี้จวนเจ้าเมืองนี่จะต้องถูกทำลายลงเพราะพวกเจ้า!”

ทุกคำเหมือนสายฟ้าจากเก้าสวรรค์ กึกก้องฟ้าดิน ทำเอาห้วงอากาศสั่นไหว

ทหารที่เฝ้าจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นสองหูปวดแปลบ ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ แค่เสียงเท่านั้น กลับสะเทือนจนพวกเขาเกือบกระอักเลือด

ผู้แข็งแกร่งที่รวมตัวจากทั่วทุกทิศ หลังจากได้ยินเสียงนี้ในใจล้วนปั่นป่วนระลอกหนึ่ง

หลิงเสวียนจื่อนี่…

ถึงกับประกาศศึกกับเจ้าเมืองจริงๆ!

“เจ้าหนุ่ม ต้องยอมรับว่าพลังต่อสู้ของเจ้าเรียกได้ว่าเป็นราชันในหมู่คนรุ่นเดียวกัน เพียงแต่… เจ้าคิดว่าอาศัยมรรควิถีทั้งตัวเจ้า จะสามารถรอดชีวิตในเมืองได้หรือ”

เสียงที่ราบเรียบนิ่งสงบดังจากจวนเจ้าเมือง นี่คือเสียงของเหิงเทียนซั่ว เผยความน่าเกรงขามอันยิ่งใหญ่

เพียงแต่เหิงเทียนซั่วไม่ได้เผยร่างออกมา คล้ายว่ากำลังดูถูก

แววตาหลินสวินลุ่มลึก เอ่ยพูดเรียบๆ “เจ้าแห่งเมืองหนึ่ง กลับหดหัวอยู่ที่นี่ไม่กล้าออกมาสู้หน้า ดูท่าข้าคงได้แต่บุกเข้าไปด้วยตัวเอง ลากเจ้าเฒ่าอย่างเจ้าออกมา”

ฉัวะ!

เขายืนอยู่ที่เดิม กลางฝ่ามือมีปราณกระบี่สายหนึ่งควบรวมออกมา ฟันผ่าไปเบื้องหน้าอย่างหนักหน่วง

ปราณกระบี่ดั่งมหาสมุทร กว้างใหญ่ไพศาล ภายในมีดาราร่วงหล่น มีโลกหล้าผลุบๆ โผล่ๆ ทิวทัศน์น่าเหลือเชื่อ

ในระหว่างนี้มีหมอกแผ่อวล มีฟ้าร้องฟ้าผ่า ภาพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ราวกับผ่าเปิดโลก ทำให้ผู้คนใจสั่น

“แย่แล้ว!”

ทหารคุ้มกันที่ดูแลจวนเจ้าเมืองถอยทัพอย่างรวดเร็ว ในใจหวาดกลัวยิ่ง พวกเขาสัมผัสได้ถึงอานุภาพของกระบี่นี้ ไม่อาจปะทะ ยากจะเอาชนะ

ทุกคนต่างพุ่งไปสองฝั่ง หนีเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว

เสียงครึกโครมดังขึ้นคราหนึ่ง ประกายกระบี่ที่หนาใหญ่พุ่งขึ้นฟ้า พร่างพราวหาใดเปรียบ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสุริยันจันทราดารานั่นร่วงหล่น ปราณกระบี่เทียมฟ้า ผ่าสิ่งก่อสร้างที่ตระหง่านเก่าแก่ของจวนเจ้าเมืองเป็นสองส่วน ปรากฏร่องรอยทำลายล้างขนาดใหญ่ แผ่ลามไปทั่วทุกทิศอย่างต่อเนื่อง

เพียงแค่อานุภาพและนัยเร้นลับที่สั่งสมในกระบี่นี้ ถึงขั้นทำให้คนที่มองอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ตกตะลึง สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม

ทว่าก็เห็นว่าในจวนเจ้าเมือง รอบๆ สิ่งก่อสร้างที่เรียงรายปรากฏคลื่นกระบวนผนึกแน่นขนัดนับไม่ถ้วนกะทันหัน ส่องประกายแสงหมื่นจั้ง สัญลักษณ์อักขระไหลเคลื่อน

ราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เพียงพริบตาความเสียหายที่เกิดจากกระบี่นั้นของหลินสวินก็กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว

สมบูรณ์ไร้ซึ่งความเสียหาย!

ก็เป็นตอนนี้เองที่เสียงน่าเกรงขามเต็มไปด้วยความเย้ยหยันของเหิงเทียนซั่วดังขึ้น

“หลิงเสวียนจื่อ เจ้าไม่ใช่ร้ายกาจมาก หมายจะโจมตีเข้ามาในจวนเจ้าเมืองหรือ เหตุใดกระบี่นี้แม้แต่กระเบื้องแผ่นเดียวยังโจมตีให้แตกไม่ได้”

ไกลออกไป เหล่าคนที่เฝ้ามองอยู่ล้วนมองหน้ากัน

“ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เผ่าจักรพรรดิอมตะที่แตกต่างกันผลัดกันควบคุมดูแลจวนเจ้าเมืองนี้ ผ่านการจัดการมาไม่รู้กี่ปี ในจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ถูกวางกระบวนผนึกน่ากลัวไม่รู้เท่าไหร่ จะทำลายง่ายๆ ได้อย่างไร”

มีคนพูดเสียงเบา แฝงความทอดถอนใจ “หลิงเสวียนจื่อผู้นี้คงต้องหยุดเท้าลงเพียงเท่านี้แล้ว”

“หึ ถูกคนบุกมาถึงหน้าประตูบ้านแล้วเจ้าเมืองก็ยังไม่ปรากฏตัว ต่อให้หลิงเสวียนจื่อหยุดเท้าลงตรงนี้ แต่คนที่จะขายหน้าสุดท้ายก็คือจวนเจ้าเมือง!”

มีคนแค่นเสียงขึ้นจมูก

กลับเห็นว่าจู่ๆ หลินสวินก็ส่งเสียงหัวเราะหยันในยามนี้ “เหิงเทียนซั่ว คิดว่าจวนเจ้าเมืองนี้แข็งแกร่งไม่อาจทำลายจริงๆ หรือ”

เพิ่งจะสิ้นเสียงเขาพลันสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ตูม!

แสงมรรคนับไม่ถ้วนกลายเป็นสัญลักษณ์ลายมรรคที่เร้นลับแปลกประหลาด ราวกับรุ้งเทพพันหมื่นพุ่งยิง โฉบพุ่งเข้าไปในจวนเจ้าเมือง

จากนั้น…

ในจวนเจ้าเมืองพลันเกิดเสียงถล่มระลอกแล้วระลอกเล่า กระบวนผนึกนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมอยู่ภายในเหมือนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ปรากฏสภาพพังทลายในยามนี้

เพียงสะบัดแขนเสื้อ ก็ทำลายได้อย่างง่ายดาย!

“นี่…” คนไม่รู้เท่าไหร่ตาค้าง ยากจะเชื่อ

“จากที่ข้ารู้ กระบวนผนึกที่ปกคลุมจวนเจ้าเมืองถึงขั้นสามารถสังหารบรรพจารย์มรรคที่แท้จริงได้ จะถูกทำลายง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนเผยสีหน้าตะลึง รู้สึกประหลาดใจหาใดเปรียบ

“คิดไม่ถึงจริงๆ” เยวี่ยตู๋ชิวสายตาวูบไหว ยิ่งไม่เข้าใจหลินสวิน รู้สึกว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยความลึกลับ เหนือความคาดหมายทุกอย่าง ทำให้คนยากจะคาดเดา

ครืนโครม…

ฟ้าดินบริเวณที่จวนเจ้าเมืองตั้งอยู่มีละอองแสงระเบิดออกมา ประกายศักดิ์สิทธิ์แผ่พุ่ง กระบวนผนึกที่ปกคลุมอยู่ภายในราวกับหิมะถล่ม ทรุดทลายสลายไปอย่างต่อเนื่อง

ภาพที่เหลือเชื่อนั่นไม่เพียงทำให้ผู้คนที่มองดูการต่อสู้อยู่ตกใจ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในจวนเจ้าเมือง ชั่วขณะนี้ก็ไม่อาจสงบได้เช่นกัน หน้าเปลี่ยนสีไปเพราะเหตุนี้

“เป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นไปได้อย่างไร!” เสียงที่เต็มไปด้วยความตะลึงของเหวินเซ่าเหิงก็ดังขึ้นเช่นกัน

เห็นชัดว่าเขาเองก็คาดไม่ถึง ว่าจวนเจ้าเมืองที่แข็งแกร่งมั่นคง ยามนี้กลับดูเปราะบางไร้ความทนทานเช่นนี้

และตอนนี้หลินสวินก็ฟันออกมาอีกหนึ่งกระบี่

ตูม!

ปราณกระบี่ไพศาลพุ่งทะยานสามพันจั้ง พาดขวางเวิ้งฟ้า ประหนึ่งแสงแห่งการทำลายล้าง ก่อนจะฟันลงในจวนเจ้าเมือง

ชั่วขณะนี้เสียงอุทานและเสียงร้องไม่รู้เท่าไหร่ดังขึ้น

“เหอะ!”

ทันใดนั้นเสียงแค่นจมูกเย็นชาดังขึ้น ก็เห็นปราณกระบี่ไพศาลนั่นถึงกับถูกซัดแหลกทุกกระเบียด สลายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นเงาร่างกำยำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าจากในจวนเจ้าเมือง ประหนึ่งเทพมารจากนรก ทั้งร่างแผ่อานุภาพล้นฟ้า

“หลิงเสวียนจื่อ วันนี้หากไม่ฆ่าเจ้า ข้าเหิงเทียนซั่วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

คำพูดทรงพลัง สะเทือนจนฟ้าดินปั่นป่วน เหมือนจะถล่มทลายอย่างไรอย่างนั้น

เหิงเทียนซั่วสวมชุดขาวทั้งตัว ผมและหนวดเคราแผ่สยาย รูปร่างกำยำ เหมือนดั่งเทพมารที่ลงมาจากแดนสวรรค์ ทั่วร่างของเขาห้อมล้อมด้วยกฎเกณฑ์สีทองดุจดั่งโซ่เทพ ถูกปกคลุมทั้งร่าง เร้นลับและเต็มไปด้วยความกดดัน

ในมือเขาถือทวนโบราณที่แดงสดราวกับเลือด แผ่ไอสังหารท่วมฟ้า เหมือนได้ดื่มเลือดสดๆ ของสิ่งมีชีวิตมามากมาย กลิ่นอายเย็นเยียบทำเอาระดับจักรพรรดิยังหวาดกลัว

ผู้ฝึกปราณที่มองดูอยู่บริเวณนั้นในใจสั่นสะท้าน รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่และหนาวเย็น ทั่วตัวล้วนหนาวเยือกขึ้นมา แทบจะตัวสั่นแล้ว

นี่คืออานุภาพของบรรพจารย์มรรคที่แท้จริง!

เพียงแต่เหิงเทียนซั่วแข็งแกร่งขนาดไหนนั้น เกรงว่าคงไม่มีใครรู้!

ตัวตนอันน่ากลัวระดับนี้ พลังต่อสู้ยากจะคาดเดา เพราะหลายปีมานี้ไม่มีใครเคยบีบให้เขาลงมือได้ เป็นเหมือนวิญญาณเทพที่ไม่อาจเอาชนะ ชื่อเสียงความน่าเกรงขามของเขากดอยู่ในใจผู้คน

ก่อนหน้านี้ตอนที่เหิงเทียนซั่วยังไม่ปรากฏตัว ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาหดหัว ไม่มีอานุภาพของบรรพจารย์มรรคสักนิด

แต่ตอนนี้เมื่อเขาปรากฏตัว ยืนอยู่ตรงนั้นง่ายๆ ก็ทำให้ฟ้าดินผืนนี้ล้วนสั่นไหว เมืองตั้งต้นทั้งเมืองส่องสว่าง กระบวนค่ายกลคุ้มกันเมืองถูกกระตุ้นขึ้นมาและทำการปกป้องเมืองด้วยตัวเอง!

อานุภาพระดับนั้นน่ากลัวเกินไป!

ผู้แข็งแกร่งที่กล้ามาดูการต่อสู้ ใครบ้างที่ไม่ใช่พวกร้ายกาจระดับจักรพรรดิที่เป็นใหญ่ในแดนดินแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ต่างถอยหลังอย่างควบคุมไม่อยู่

เพราะไอสังหารอันเด็ดขาดนั่นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ม้วนตลบเข้ามา ทำให้คนมากมายอกสั่นขวัญแขวน แทบไม่กล้าเชื่อทั้งหมดนี้

อยู่ห่างกันไกลขนาดนี้ กลับยังไม่สามารถรับไอสังหารของบรรพจารย์มรรคคนหนึ่งได้!

ทุกคนต่างถามตนเองในใจ ว่าหากเปลี่ยนเป็นพวกเขาไปต่อสู้ ยังจะสู้ได้อย่างไร

ต่อให้ยังไม่ได้ลงมือ ก็ถูกกลิ่นอายของเหิงเทียนซั่วซัดสะเทือน ไม่สามารถก้าวไปใกล้ได้

และก็เป็นยามนี้ที่ทุกคนเพิ่งได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของเหิงเทียนซั่วอย่างลึกซึ้ง ผู้ที่สามารถควบคุมดูแลด่านนภาอมตะด่านแรกในแดนใหญ่พันศึกได้ ย่อมไม่ใช่คนที่ยักษ์ใหญ่ในความหมายทั่วๆ ไปจะเทียบได้!

ตูม!

อานุภาพที่พวยพุ่งขึ้นเหมือนเสาค้ำฟ้า ทะลวงนภาคราม ปกฟ้าคลุมดิน ปั่นป่วนพลุ่งพล่าน สะเทือนจนห้วงอากาศสิบทิศทรุดทลายได้ในเวลาไม่นาน

ก็เห็นหลินสวินที่ตอนแรกยืนนิ่งอยู่หน้าจวนเจ้าเมือง ตอนนี้ก็ทะยานขึ้นฟ้าเช่นกัน ผมดำแผ่สยาย แววตาลุ่มลึก แสงมรรคสาดพรม พันมรรคหมื่นสายเหมือนน้ำตกสีเงินไหลลู่ ขับให้เขาเหมือนเทพที่มาเยือนจากชั้นฟ้า

แตกต่างกับก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์ หลินสวินในตอนนี้แผ่จิตต่อสู้เลิศล้ำทั่วตัว มีอานุภาพกลืนกินภูผาธารา!

แววตาของเขาลุ่มลึก มองตรงไปที่เหิงเทียนซั่ว ในใจผุดไอสังหารยิ่งยวด

พูดอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่เขาฝึกปราณมาถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับบรรพจารย์มรรคที่แท้จริง แต่ไม่ถึงกับตื่นเต้น ยิ่งไม่อาจพูดได้ว่าหวาดกลัว

มีเพียงจิตต่อสู้ที่เดือดพล่านและแน่วแน่

หากบอกว่าบรรพจารย์มรรคเป็นปราการสวรรค์ที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้ เช่นนั้นวันนี้ หลินสวินก็จะไปทำลายพันธนาการอันมั่นคงนี้!

เหิงเทียนซั่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพินิจหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง ริมฝีปากพ่นคำพูดออกมาเบาๆ ไม่กี่คำ

“เข้ามา รับความตาย”

เพียงแค่คำพูดเย็นชาไม่กี่คำเท่านั้น แต่กลับทำให้ทุกคนหวาดหวั่น ราวกับคำสั่งของนายเหนือหัวจากสวรรค์ ตัดสินโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง!

หลินสวินหัวเราะหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร แค่บรรพจารย์มรรคคนหนึ่งเท่านั้น นับเป็นอะไรได้”

แค่บรรพจารย์มรรคคนหนึ่งเท่านั้น…

คำพูดเช่นนี้ใครจะพูดออกมา ควรรู้ว่าตัวตนระดับนี้คือจุดสูงสุดบนระดับจักรพรรดิ สามารถกำราบระดับจักรพรรดิทุกคนได้อย่างง่ายดาย!

ในที่มืด ผู้ฝึกปราณมากมายต่างตะลึง สูดหายใจสะท้าน รับรู้ได้ถึงความมาดมั่นและคมประกายที่เก็บงำของหลินสวิน รวมถึงความกล้าหาญและอหังการอันโดดเด่น

ในที่นี้ใครบ้างที่ไม่ใช่มหาจักรพรรดิ ยิ่งไม่ขาดบุคคลขอบเขตมกุฎ ล้วนเป็นยักษ์ใหญ่เหนือสุดในโลกฟ้าดาราของตน

แต่ตอนนี้ในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ กลับไม่อาจสงบได้อย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นที่กระทั่งการมองดูอยู่ในที่มืดยังต้องเพิ่มความระวังขึ้นเป็นเท่าทวี!

“ฮ่าๆๆ หลิงเสวียนจื่อ ข้ายากจะคิดจริงๆ ว่าเจ้าเป็นคนที่มาจากสถานที่ตกต่ำอย่างทางเดินโบราณฟ้าดารา ปากดีจริงๆ”

เหิงเทียนซั่วหัวเราะเสียงดัง แววตาวาบประกายกดข่ม ดุจเป็นแสงมารสองดวงจับจ้องหลินสวินผ่านห้วงอากาศ

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท