Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2487 เคราะห์สังหารเย้ยฟ้าบังเกิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2487 เคราะห์สังหารเย้ยฟ้าบังเกิด

ตอนที่ 2487 เคราะห์สังหารเย้ยฟ้าบังเกิด

เมืองยอดยุทธ์ในวันนี้ ด้วยลักษณ์ประหลาดที่หลินสวินชักนำขึ้นหน้าศิลาศึกข้ามแดนสะท้านโลกเกินไป กระทั่งทำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล

แต่ไม่มีใครรู้ว่าบุคคลปริศนาแปลกหน้านี้เป็นใคร นี่ทำให้ผู้คนสงสัยยิ่งกว่าเดิม

การคาดเดาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับฐานะของบุคคลปริศนากลายเป็นประเด็นสนทนาอันร้อนแรงทั่วหัวระแหง

ส่วนการปรากฏตัวของฮว่ารั่วซวีก็เหมือนการเติมเชื้อไฟให้คลื่นลมนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้บุคคลแห่งยุคที่ความเป็นมาเหนือธรรมดาบางส่วนเริ่มสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ภายใต้ภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ เมื่อบริวารของลั่วหลิงแพร่ข่าวไปทั่ว ฐานะของบุคคลปริศนาก็ถูกเปิดเผยแล้ว

หลินสวิน!

นักโทษที่ปัจจุบันมีชื่อปรากฏอยู่บนลำดับสองของกระดานประกาศจับคนนั้น!

“ถึงกับเป็นเขาหรือ”

เสียงตกตะลึงนับไม่ถ้วนดังขึ้น

“สถานที่ซอมซ่ออย่างทางเดินโบราณฟ้าดารา มีพวกน่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

หลายคนถึงขั้นไม่อาจยอมรับ

บุคคลแห่งยุคที่มาจากมิติจักรวาลสิบอันดับแรกของโลกพันจักรวาล หากฝากชื่อไว้บนกระดานปฐพีได้ย่อมเป็นบุคคลชั้นยอด

ส่วนคนที่ฝากชื่อไว้บนกระดานนภาได้ ไม่มีใครที่ไม่ใช่ราชันแห่งยุคอันดับหนึ่งในแต่ละมิติจักรวาล

สำหรับกระดานเร้นลับ…

ย่อมได้แต่เสี่ยงโชค!

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บุคคลยอดเยี่ยมนับไม่ถ้วนถึงขั้นใช้พลังทั้งหมด ก็ยังสัมผัสเขตแดนของกระดานเร้นลับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

แต่ตอนนี้คนที่มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราคนหนึ่ง กลับฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับ ชักนำให้เกิดลักษณ์ประหลาดสะเทือนใต้หล้า

หากเปรียบเทียบเช่นนี้ใครเล่าจะยอมรับได้

“สังหารเจ้าเมืองเหิงเทียนซั่วในเมืองตั้งต้น ฆ่าเหวินเซ่าเหิงแห่งตระกูลเหวิน กระทั่งถูกประกาศจับทั่วแดนใหญ่พันศึก แต่เจ้าโจรชั่วนี่ยังกล้าเข้ามาในเมืองยอดยุทธ์ ฝากชื่อไว้บนศิลาศึกข้ามแดน นี่กำลังประกาศศักดากับพวกเราอยู่หรือ”

เมื่อผู้คนในเมืองถูกข่าวนี้ทำให้ตกตะลึงและโกลาหล เสียงพัดกระพือใส่ไฟมากมายก็ดังขึ้น

“ต่อให้มรรควิถีชวนตะลึงแค่ไหน ต่อให้รากฐานพลังแข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายก็เป็นนักโทษที่ละเมิดกฎคนหนึ่ง อย่าให้เขากำเริบในเมืองยอดยุทธ์ได้เด็ดขาด!”

“เท่าที่ข้ารู้ ปัจจุบันคนผู้นี้พักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง เวลานี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการกำจัดเขา!”

“หึๆ หากสังหารคนผู้นี้ได้ ย่อมได้รับผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งยี่สิบหกล้านก้อน บางทีพลังของเขาอาจน่ากลัวหาใดเปรียบ แต่หากทุกคนลงมือพร้อมกัน เขาต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา!”

เสียงมุ่งร้ายพวกนี้คอยปลุกปั่นจิตใจผู้ฝึกปราณในเมืองอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อเป็นการยืมดาบฆ่าคน สามารถปลุกระดมให้ผู้ฝึกปราณลงมือพร้อมกันได้มากขึ้นย่อมดียิ่งกว่า

“ผู้ฝึกปราณของตระกูลเหวินออกเดินทางแล้ว รีบเร่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง!”

ไม่ทันไรก็มีข่าวด่วนแพร่ออกมา เหล่าผู้แข็งแกร่งของตระกูลเหวินเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

“รีบดูเร็ว กำลังพลของตระกูลเหิงก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”

เมื่อข่าวแล้วข่าวเล่าแพร่ออกมา ทั้งเมืองยอดยุทธ์ล้วนแตกตื่น พายุฝนตั้งเค้า

สายตานับไม่ถ้วนล้วนจ้องมองไปยังจุดเดียวกัน

“ไปดูว่าหลินสวินนี่เป็นอริยเทพแห่งใดก็ดี สามารถฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับได้ ไม่ธรรมดานัก…”

“หากเขาตายไปเช่นนี้ก็คงไม่ได้พบหน้าอีกแล้ว”

บุคคลแห่งยุคที่ความเป็นมาเหนือธรรมดาบางส่วนก็อดรนทนไม่ไหว เริ่มเร่งตามไป

ตามกฎของด่านนภาอมตะ ห้ามเปิดศึกเข่นฆ่ากันในเมือง

แต่ทุกคนต่างรู้ว่าตอนนี้หลินสวินนั่นกำลังถูกประกาศจับ ทุกคนล้วนฆ่าเขาให้ตายได้ ต่อให้สังหารเขาในเมืองก็เป็นการกำจัดเภทภัยให้คนบนโลก!

หากมองลงมาจากท้องฟ้า ในเมืองยอดยุทธ์ที่กว้างใหญ่ไพศาล เวลานี้กลับมีเงาร่างมากมายมุ่งไปยังสถานที่เดียวกันราวกับกระแสน้ำ

ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนัก

“จวนเจ้าเมืองส่งคนมาขวางหรือไม่”

เมื่อรู้ข่าวมุมปากอวบอิ่มของลั่วหลิงระบายยิ้ม บนสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนกำชัยไว้แล้ว

“จวนเจ้าเมืองแค่ส่งทหารจำนวนมากมาจัดระเบียบ แต่ไม่ได้ขัดขวาง ดูเหมือนว่าจะคิดสังเกตการณ์เงียบๆ” ผู้ฝึกปราณของตระกูลลั่วที่รีบเร่งมาแจ้งข่าวกล่าวอย่างรวดเร็ว

ลั่วหลิงผงกศีรษะเล็กน้อยพลางกล่าว “ดูท่าว่าตระกูลเหวินกับตระกูลเหิงจะได้รับอนุญาตจากบุคคลสำคัญในจวนเจ้าเมืองคนนั้นแล้ว”

ขณะกล่าวนัยน์ตานางฉายแววเยียบเย็นวูบหนึ่ง “ตอนนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของข้าตายไปเช่นนี้เลย ตัวเขาตอนมีลมหายใจต่างหาก… จึงจะมีคุณค่าที่สุด”

ลั่วหลิงหยัดร่างขึ้น เรือนร่างอรชรเดินออกจากโถงใหญ่ไป

ในโรงเตี๊ยม

หลินสวินกำลังทำสมาธิ

ก่อนมาถึงด่านนภาที่เก้านี้ เขาผ่านอันตรายและการต่อสู้เคี่ยวกรำมานับไม่ถ้วน มรรควิถีทั้งตัวขัดเกลาถึงขั้นคืนสู่แก่นแท้อย่างสมบูรณ์นานแล้ว

แม้แต่พลังปราณก็ยังมีสัญญาณว่าใกล้สมบูรณ์เต็มทีอยู่รางๆ

หวนนึกถึงตอนอยู่เมืองตั้งต้น เขาใช้พลังปราณที่เพิ่งก้าวสู่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด กำราบบรรพจารย์มรรคอย่างเหิงเทียนซั่วในการปะทะซึ่งหน้าได้

ตอนนี้เขาข้ามด่านนภาอมตะจากเมืองตั้งต้นมาแห่งแล้วแห่งเล่า เดินทางอย่างยากลำบาก กรำศึกตลอดทาง ในเวลาอันสั้นแค่สองปีเท่านั้น พลังปราณทั้งตัวก็มีสัญญาณว่าจะบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ การเลื่อนขั้นเช่นนี้ย่อมเรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้า

แน่นอนว่าผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่พัฒนาการของพลังปราณ

หากแต่เป็นความมั่นคงและการตกตะกอนที่มรรควิถีทั้งตัวหลินสวินได้รับหลายครั้งในการเคี่ยวกรำและฆ่าฟันนับไม่ถ้วน ทิ้งความซับซ้อนเก็บไว้ซึ่งแก่น ชะล้างสิ่งสำอาง กลับคืนสู่สามัญ!

นี่ต่างหากที่เป็นประสบการณ์มหามรรคอันล้ำค่าที่สุด แปรสภาพจากความเป็นตาย ยกระดับจากการกรำศึก

‘หากการมุ่งหน้าไปโบราณสถานมหามรรคครั้งนี้ สามารถได้รับวาสนาบางอย่างที่มีประโยชน์ต่อการฝึกปราณ บางที… ก็อาจได้ลองทะลวงขั้นผสานมรรค…’

ในใจหลินสวินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาดหวังอยู่บ้าง

กรุ๊งกริ๊ง!

กระดิ่งทองแดงซึ่งปกคลุมด้วยพลังผนึกแน่นหนาที่แขวนอยู่ในห้องดังขึ้น

มีคนมาเยือน

หลินสวินตื่นจากสมาธิทันที หัวคิ้วขมวดมุ่น

เขาเพิ่งมาถึงเมืองยอดยุทธ์เป็นวันแรก ไม่มีคนรู้จักสักคน ใครจะมาเยือนเวลานี้

‘หรือมีคนเห็นร่องรอยของข้าที่หน้าศิลาศึกข้ามแดน’

ยามหลินสวินใคร่ครวญก็ลุกขึ้นเดินไปแล้ว

เขาเก็บพลังผนึกในห้องไปลวกๆ กำลังเตรียมจะเปิดประตู

แต่หลินสวินกลับหยุดการเคลื่อนไหว

พริบตาที่พลังผนึกในห้องถูกปลดออก ในจิตรับรู้ของเขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารทันที

ไม่ถูกต้อง!

ไอสังหารนับไม่ถ้วนโอบล้อมโรงเตี๊ยมแห่งนี้จากทั่วสารทิศ เบียดเสียดแน่นขนัด ไม่ทราบจำนวน

ฐานะเปิดเผยแล้ว!

นัยน์ตาหลินสวินเผยไอสังหารวูบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ

เขาถึงขั้นคาดเดาได้ ว่านี่มีโอกาสสูงว่าจะเป็นฝีมือของตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลลั่ว!

‘ถึงกับจับตำแหน่งของข้าได้เร็วเช่นนี้ ดูท่าข้ายังประเมินความสามารถที่เผ่าจักรพรรดิอมตะพวกนี้มีต่ำไป…’

หลินสวินทอดถอนใจ

แต่นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นล้ำลึกและเฉยชาแล้ว

ต้องฝ่าออกไป!

ไม่อย่างนั้นโรงเตี๊ยมนี้จะปิดตายตนเหมือนกรงขัง

ยิ่งไปกว่านั้น เมืองยอดยุทธ์ไม่เหมือนด่านนภาอมตะอื่น รวบรวมบุคคลแห่งยุคและตัวอันตรายไว้นับไม่ถ้วน

ขอเพียงพวกเขาต้องการจัดการตนเพื่อรางวัลค่าหัวบนประกาศจับนั่น ย่อมถึงขั้นทำให้ตนไม่มีที่ยืนในเมืองยอดยุทธ์ได้!

กรุ๊งกริ๊ง…

กระดิ่งทองแดงในห้องดังขึ้นอีกครั้ง

นอกห้องมีเงาร่างเจ็ดแปดสายรวมพลังเตรียมลงมือ แต่ละคนกลิ่นอายซ่อนคม ความจริงแล้วพร้อมจู่โจมถึงขีดสุด

ผู้นำคือบรรพจารย์ขั้นเก้าสองคน

ชายชุดแดงคนหนึ่งในนั้นสื่อจิตกำชับ ‘จำไว้ เป้าหมายของพวกเราคือล่อเหยื่อออกมา อย่าเอาชีวิตเข้าแลกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของเจ้าโจรชั่วนั่นต้องสังหารพวกเราได้อย่างง่ายดายแน่’

คนอื่นล้วนพยักหน้า เผยสีหน้าจริงจัง

แต่รอมานานก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดในห้อง ทำให้คนพวกนี้ต่างหมดความอดทนอยู่บ้าง

‘คงไม่ใช่ว่าเขาสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลจึงหนีไปก่อนก้าวหนึ่งแล้วกระมัง’ มีคนสื่อจิตพึมพำอย่างอดไม่ได้

ชายชุดแดงแววตาวูบไหว จากนั้นจึงสูดหายใจลึกพลางกล่าว “ทุกคนถอยไป ข้าทำลายประตูเอง”

ทุกคนกระจายตัวทันที

ชายชุดแดงก็ดูระวังตัวหาใดเปรียบ ถอยห่างไปไกลลิบ จากนั้นจึงใช้ประทับสีเลือดกระแทกออกไปอย่างหนักหน่วง

ตูม!

ราวกับอสนีบาตสีเลือดชวนประหวั่นสายหนึ่งพุ่งออกไป ประตูห้องของโรงเตี๊ยมแตกระเบิดโดยง่าย ท่ามกลางฝุ่นควันตลบอบอวล ภาพในห้องก็ปรากฏชัดเจน

พวกชายชุดแดงคิดถอนตัวทันที พวกเขาไม่อยากไปปะทะกับหลินสวิน ถึงอย่างไรฝ่ายหลังก็เคยสังหารบรรพจารย์มรรคอย่างเหิงเทียนซั่วมาก่อน ใครเล่าจะไม่หวาดกลัว

“ไม่มีคนหรือ”

แต่ยามพวกเขาคิดจากไปก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่าในห้องนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีเงาคนแต่แรก

“หรือเจ้าหมอนี่หนีไปก่อนก้าวหนึ่งแล้วจริงๆ”

ชายชุดแดงอึ้งไป

ในเวลานี้เองเงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งเหมือนปรากฏตัวกลางอากาศ เผยตัวอยู่ต่อหน้าชายชุดแดง ทำให้ฝ่ายหลังตกใจจนหนังศีรษะแทบระเบิด ลงมือเต็มกำลังราวกับเป็นสัญชาตญาณ

ตูม!

เขาเหวี่ยงมือฟันออกไป ราวกับเทพสวรรค์ซัดภูเขาเทพลูกหนึ่งลงมา แสงมรรคไหลวนไปทั้งตัว ห้าวหาญแข็งแกร่งอย่างที่สุด

แต่เมื่อเงาร่างสูงตระหง่านนั้นยื่นฝ่ามือหนึ่งออกมา การโจมตีของชายชุดแดงก็แตกซ่านดั่งฟองสบู่ ทั้งตัวเขาถูกฝ่ามือเดียวตบจนระเบิดกระจุย ฝนโลหิตและเศษเนื้อยังไม่สาดกระจาย ก็ถูกพลังกลืนกินชวนประหวั่นบดขยี้ลบทำลายไปทั้งหมด

จิตสิ้นวิญญาณสลาย!

นี่เป็นถึงบรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่ง มกุฎมหาจักรพรรดิทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เรียกได้ว่าเป็นคนชั้นยอดในแดนใหญ่พันศึก

แต่ตอนนี้กลับถูกฆ่าในชั่วดีดนิ้ว ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

คนที่ลงมือแน่นอนว่าเป็นหลินสวิน กลิ่นอายเขาราบเรียบ ทั้งตัวไม่มีคลื่นพลังแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งที่มาพร้อมกับชายชุดแดงพวกนั้นต่างตื่นตระหนกจนใจสั่นสะท้านรุนแรง

“หนีเร็ว…!”

พวกเขาหนีออกไปนอกโรงเตี๊ยมทันที

แต่ละคนราวกับหนีตาย

“ในเมื่อเลือกมาหาที่ตายก็จงอยู่ที่นี่เถอะ” ท่ามกลางเสียงราบเรียบนิ่งสงบ ปราณกระบี่ไร้รูปหลากสายพุ่งออกมา

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนที่มีพลังปราณระดับจักรพรรดินั้น ไม่ว่าระดับพลังปราณจะสูงหรือต่ำ ไม่ว่าจะหนีได้เร็วแค่ไหน ล้วนถูกปราณกระบี่สังหารในเวลาเดียวกัน

ดูเรียบง่ายสบายๆ

แต่กลับดุดันเผด็จการเป็นอย่างยิ่ง!

สมบัติวิเศษป้องกัน กายจักรพรรดิไม่ทลาย วิชาลับหนีเอาตัวรอดอะไร ล้วนไม่ได้ผลทั้งสิ้น

ปราณกระบี่นั้นน่ากลัวเกินไป มองระดับจักรพรรดิเหมือนต้นหญ้าไร้ค่า สามารถเด็ดทิ้งได้ตามใจ!

ที่น่ากลัวที่สุดคือตั้งแต่ต้นจนจบ โต๊ะเก้าอี้เครื่องประดับในโรงเตี๊ยม รวมถึงของตกแต่งชิ้นเล็กอย่างจอกสุราถ้วยชาล้วนไม่ได้รับความเสียหาย

ทั้งหมดเป็นระเบียบ สมบูรณ์ไม่สึกหรอ มีเพียงกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นน่าขนลุกอบอวลอยู่เงียบๆ

นี่พิสูจน์ว่าพลังสังหารที่หลินสวินครอบครองในปัจจุบันบรรลุถึงขั้นสะเทือนใต้หล้าแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ราบเรียบเบาสบาย

น่าเหลือเชื่อนัก!

……………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท