กลิ่นคาวเลือดกำลังอบอวล
ในสนามรบเงียบสงัด ทันทีที่เจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินปรากฏตัวก็กลายเป็นศูนย์รวมสายตามหาชน
ทุกคนต่างตื่นตระหนกไม่หยุด
ในช่วงสำคัญสุดท้ายนี้ให้หยุดการต่อสู้ที่ใกล้จะตัดสินผลแพ้ชนะนี่กะทันหัน เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงประหลาดในโบราณสถานมหามรรคจริงหรือ
แม้แต่หลินสวินก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านี้คนที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือบรรพจารย์กระบี่ที่ควบคุมดูแลในจวนเจ้าเมืองคนนี้
จากคำพูดของนกกระจอกเขียว ไป๋เจี้ยนเฉินไม่เพียงแต่มีพลังต่อสู้เทียมฟ้า อานุภาพไร้เทียมทาน ยังมาจากตระกูลไป๋แห่งน่านฟ้าที่เจ็ดด้วย ภูมิหลังก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
ควรรู้ว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะในน่านฟ้าที่เจ็ด ล้วนเป็นพวกน่ากลัวที่ครองระเบียบระดับสวรรค์!
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงยอมบุกฝ่าออกนอกเมือง ไม่คิดอยู่ในเมืองต่อ ด้วยสิ่งที่หวาดกลัวก็คือถูกไป๋เจี้ยนเฉินออกประกาศจับ
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่ายามไป๋เจี้ยนเฉินปรากฏตัว กลับมาเพื่อดับไฟศึก
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หลินสวินไม่เชื่อในเหตุผลที่ไป๋เจี้ยนเฉินกล่าวถึง
ห่างออกไปบนใบหน้างามพิสุทธิ์ของลั่วหลิงเผยความไม่พอใจเด่นชัด กล่าวอย่างอดไม่ได้
“ใต้เท้าเจ้าเมือง ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้คนผู้นี้ฆ่าระดับจักรพรรดิไปเกือบหกสิบคน เรียกได้ว่าเหี้ยมโหดป่าเถื่อน หากท่านไม่อยากให้ในเมืองเกิดเภทภัยอีก ทางที่ดีควรกำราบและกักขังคนผู้นี้ไว้ เช่นนี้ก็จะกำจัดเรื่องยุ่งยากได้ในคราเดียว”
คำพูดนี้ดังก้องไปทั่ว
ส่วนลึกในดวงตาดำของหลินสวินมีไอสังหารแวบผ่าน ผู้หญิงคนนี้เจตนาชั่วช้า!
บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนอย่างเหวินเทาเลวี่ย เหิงสิงโจว ลั่วเสินถูนัยน์ตาวาววาบ ล้วนพากันส่งเสียง “ไม่ผิด เจ้าเดรัจฉานนี่โอหังอำมหิต จำเป็นต้องขังไว้!”
ขอแค่จับหลินสวินได้ พวกเขาก็ใช้กำลังของตระกูล ‘คว้า’ หลินสวินออกมาจากมือของเจ้าเมืองได้
ถึงตอนนั้นย่อมเข่นฆ่าได้ตามใจ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับเขาอีก!
พริบตานี้ไป๋เจี้ยนเฉินหันกลับไปมองหลินสวินวูบหนึ่ง เห็นฝ่ายหลังสีหน้าราบเรียบ ทั้งไม่ประหม่าและลนลานแม้แต่น้อย เขาลอบพยักหน้าอย่างอดไม่ได้
ไม่ได้พูดอะไรอีก
ไป๋เจี้ยนเฉินหันมองพวกเหวินเทาเลวี่ยอีกครั้งพลางกล่าว “วาจาที่เอ่ยไปแล้ว ข้าไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง ตั้งแต่วันนี้ไปไม่ว่าใครกล้าบังอาจลงมือในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าไป๋เจี้ยนเฉินจะไม่ปล่อยเขาเป็นคนแรก”
น้ำเสียงเรียบเฉย แต่ทุกคนล้วนหายใจติดขัด สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่ถาโถมเข้าใส่ ใจสั่นอย่างอดไม่ได้
ใครต่างก็รู้ว่านี่เป็นกฎที่ไป๋เจี้ยนเฉินตั้งไว้
ใครกล้าขัดขืน มันผู้นั้นต้องตาย!
ฟุ่บ!
ห้วงอากาศเกิดคลื่นสะเทือน ไป๋เจี้ยนเฉินที่ผมขาวดุจหิมะ รูปงามเหมือนเด็กหนุ่มหายลับจากไป
ในที่นั้นเงียบสงัด สีหน้าของพวกเหวินเทาเลวี่ยล้วนอึมครึมไม่น่าดู รู้สึกอึดอัดถึงขีดสุด
ศัตรูอยู่ตรงหน้าชัดๆ
เห็นชัดว่าอีกแค่ก้าวเดียวก็สังหารอีกฝ่ายได้!
ทั้งที่แน่ชัดแบบนั้น…
แต่ด้วยไป๋เจี้ยนเฉินประกาศเจตจำนงของตัวเอง จึงทำให้ทุกอย่างนี้เปลี่ยนไป!
ผู้ฝึกปราณของตระกูลเหวิน เหิง และลั่วล้วนสีหน้าไม่น่าดู อัดอั้นจนอยากกระอักเลือด
โดยเฉพาะลั่วหลิงที่ใบหน้างามคล้ำเขียว โกรธจนตัวสั่น
นางเตรียมตัวมานานเพื่อปฏิบัติการล้อมสังหารในวันนี้ ใช้วิธียืมดาบฆ่าคน โหมกระพือจุดชนวน ประสานทั้งบนล่างซ้ายขวาอะไร ล้วนถูกนางนำมาใช้ทั้งหมด
แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายกลับพังไม่เป็นท่า!
นี่ทำให้ใจนางหลั่งเลือด
ถ้าแค่เสียแรงเปล่าก็ช่างเถิด แต่ผ่านศึกนองเลือดครั้งนี้ พวกเขาขโมยไก่ไม่ได้กลับยังเสียข้าวสารอีกกำมือโดยแท้
เสียหายสาหัสเกินไปแล้ว!
ทุกคนในที่นั้นต่างทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ โชคของหลินสวินนี่ไม่ดีเกินไปหน่อยหรือ เห็นอยู่ว่าใกล้ประสบเคราะห์ แต่กลับมีโชคช่วย
อีกทั้งเขาไม่เพียงแต่รอดไปได้ ตั้งแต่วันนี้ไปเมื่อคำประกาศของไป๋เจี้ยนเฉินแพร่สะพัด ในเมืองนี้เกรงว่าคงไม่มีคนกล้าลงมือกับเขาอีก
ใครกล้าทำเช่นนี้ ก็เท่ากับหาเรื่องไป๋เจี้ยนเฉิน!
ดูสีหน้าเหมือนตับหมูนั้นของพวกเหวินเทาเลวี่ย ก็รู้ว่าในใจพวกเขาอึดอัดเพียงใด…
ในบรรยากาศเงียบสงัดนี้ หลินสวินพลันหลุดขำออกมา
ยิ่งหัวเราะยิ่งสะใจ เสียงหัวเราะนั้นดังก้องท้องนภา สะเทือนสิบทิศ แฝงความเบิกบานหาใดเปรียบ
แต่สำหรับพวกลั่วหลิงและเหวินเทาเลวี่ย เสียงหัวเราะนี้เหมือนเสียงตบที่ดังกังวานหาใดเปรียบ ตบใส่หน้าพวกเขาอย่างจัง ปวดแสบและยากจะรับเกินทน
ทุกคนพลันถอนใจอีกครั้ง สีหน้าแตกต่างกันออกไป
หลินสวินนี่ก็ชีวิตดีเกินไปแล้ว!
“เจ้าเดรัจฉาน!”
เหวินเทาเลวี่ยโกรธจนผมตั้ง ชี้หลินสวิน “เจ้ารอข้าก่อนเถอะ เมื่อการทดสอบของโบราณสถานมหามรรคเริ่มต้น นั่นก็คือเวลาตายของเจ้า!”
“ถึงตอนนั้นข้าจะป่นกระดูกโปรยเถ้าถ่านของเจ้าแน่” แววตาเหิงสิงโจวอำมหิตจนน่ากลัว
ลั่วเสินถูหันหลังจากไปทั้งอย่างนั้น
นางกังวลว่าหากอยู่ต่อ ย่อมถูกยั่วโทสะจนลงมืออย่างบ้าคลั่งแน่
“ข้าได้แต่พูดว่าครั้งนี้พวกเจ้าโชคดี ไม่อย่างนั้นเหิงเทียนซั่วจะเป็นคันฉ่องสะท้อนเงาของพวกเจ้า”
หลินสวินเก็บรอยยิ้มไป “แต่ตัดสินผลแพ้ชนะที่โบราณสถานมหามรรคก็ดี ถึงตอนนั้น… พวกเจ้าล้างคอรอไว้จะดีกว่า”
เขาพูดพลางจากไปอย่างผ่าเผย
สันโดษลำพัง สองมือไพล่หลัง งามสง่าไม่สะทกสะท้าน
มองดูเขาจากไป ไอสังหารในใจพวกเหวินเทาเลวี่ยพลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ได้แค่ข่มกลั้นไว้ รสชาตินั้นทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนจะคลุ้มคลั่ง
ทำอย่างไรได้เล่า
พวกเขาไม่มีพลังไปต่อต้านเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินได้!
“ไป!”
เหวินเทาเลวี่ยโบกมือ พาเหล่าผู้แข็งแกร่งตระกูลเหวินที่เหลืออยู่จากไปอย่างรีบเร่ง
จากนั้นพวกเหิงสิงโจวกับลั่วเสินถูก็พาคนจากไป ล้วนไม่อยากอยู่ต่อ ภายใต้สายตาผู้คน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้น่าอัปยศเกินไป ทำให้พวกเขาอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี เคียดแค้นชิงชังเกินต้าน
ไม่นานเหล่าผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ใกล้ก็ทยอยจากไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
“หลินสวินนี่เป็นบุคคลร้ายกาจชั้นยอดจริงๆ! ในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่ตาย โชคเย้ยฟ้าถึงขีดสุดเช่นกัน”
“ใครจะกล้าเชื่อว่าพลังปราณของเขาเพิ่งอยู่ในระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด”
“ข่าวลือเป็นเรื่องจริง เจ้าหมอนี่สามารถสู้กับบรรพจารย์มรรคซึ่งหน้าได้จริงๆ!”
…ผู้คนเอ่ยพลางจากไป นึกถึงเหตุการณ์นองเลือดที่เห็นก่อนหน้านี้แล้วยังสั่นสะท้านไม่หยุด
“โชคดีอะไร เห็นชัดว่าไป๋เจี้ยนเฉินเจตนาเข้าข้าง”
บนยอดอาคารที่ไกลออกไป ฮว่ารั่วซวีคิดดูครู่หนึ่งพลางกล่าว “แต่เหตุใดไป๋เจี้ยนเฉินถึงทำเช่นนี้”
“นายน้อย ไม่สู้ให้ข้าไปสืบข่าวจากไป๋เจี้ยนเฉินดูหน่อยดีหรือไม่”
ฮูหยินงามชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปาก นางก็แปลกใจอยู่บ้าง ไป๋เจี้ยนเฉินเข้ามาแทรกแซงเรื่องบุญคุณความแค้นนี้กะทันหัน เห็นชัดว่ามีเงื่อนงำอื่น
“ไม่จำเป็น”
ฮว่ารั่วซวีส่ายหัว “คนของตระกูลไป๋ไม่ขัดแย้งอะไรกับตระกูลฮว่าของพวกเรา พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ฟุ่บ!
ครู่ต่อมาเงาร่างของทั้งสองคนก็หายไป
‘น่าเสียดาย…’
ในฝูงชนหญิงชุดขาวคนหนึ่งทอดถอนใจอยู่ภายใน เก็บกระบี่บินเล่มหนึ่งในแขนเสื้อไปเงียบๆ
นางรูปลักษณ์ธรรมดา กลิ่นอายทั่วไป ทุกการเคลื่อนไหวก็ปกติมาก ในฝูงชนมากมายไม่มีใครหยุดมองนางสักครา
‘ได้แต่รอให้การทดสอบของโบราณสถานมหามรรคนั้นเริ่มต้น แล้วค่อยคิดหาแผนการ…’
หญิงชุดขาวใคร่ครวญพลางเดินไปทางที่พักของตัวเอง
แต่เพิ่งมาถึงโรงเตี๊ยมก็เห็นเด็กหนุ่มผมขาวรูปงามคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม สองมือไพล่หลัง ท่าทางผ่อนคลาย
หญิงชุดขาวตัวแข็งทื่ออย่างยากสังเกตเห็น แต่สีหน้ายังราบเรียบดังเดิม นางก้าวเดินเหมือนปกติ คิดแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วจากไปอย่างรีบเร่ง
แต่เวลานี้เองเด็กหนุ่มผมขาวรูปงามนั้นกลับยิ้มพลางเอ่ยปาก “ข้าเจาะจงมาที่นี่เป็นพิเศษ แต่เจ้ากลับจะหลบหน้าหรือ”
หญิงชุดขาวเงยหน้ามองอีกฝ่าย ไม่ได้เอ่ยคำ
“หากเจ้ากล้าลงมือตอนนี้ เกรงว่าแดนเร้นนภาคงได้สูญเสียบุคคลสำคัญไปหนึ่งคน”
เด็กหนุ่มผมขาวรูปงามกล่าวราบเรียบ “จำคำที่ข้าพูดวันนี้ไว้ ใครกล้าลงมือในเมือง ข้าย่อมไม่ปล่อยเขาไป หากแดนเร้นนภาของเจ้าคิดว่าข้าไป๋เจี้ยนเฉินไม่มีคุณสมบัติพอก็ลองดูได้”
พูดจบเขามองหญิงชุดขาวอย่างลุ่มลึกวูบหนึ่ง ยิ้มพลางเยื้องย่างจากไป
กระทั่งมองเงาร่างของเขาหายลับไป แววตาหญิงชุดขาวยังนิ่งสงบ มีเพียงหัวคิ้วที่ขมวดขึ้นอยู่บ้าง
จากนั้นสีหน้านางจึงกลับมาเป็นปกติ เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
มองคลื่นความรู้สึกไม่ออกแม้แต่น้อย
…
เมืองยอดยุทธ์ตกอยู่ในความแตกตื่น
หลังจากข่าวที่หลินสวินสู้กับผู้แข็งแกร่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูล อย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลลั่วด้วยตัวเองเพียงคนเดียวแพร่ออกไป ก็ชักนำมาซึ่งความปั่นป่วนโกลาหล
สังหารบรรพจารย์มรรคเหิงเทียนซั่วที่เมืองตั้งต้น
เป็นลำดับสามในประกาศรางวัลนำจับ
ฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับของศิลาศึกข้ามแดน
…แม้แต่ผลงานการต่อสู้ในอดีตของหลินสวินก็ยังถูกยกกลับขึ้นมา กลายเป็นประเด็นสนทนาอันร้อนแรงทั่วทั้งเมือง
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณที่มาจากแดนใหญ่พันศึกถูกทำให้แปลกใจ แม้แต่ผู้ดีมีสกุลมากมายที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะ ก็ถูกผลงานการต่อสู้ที่แข็งกร้าวนั้นของหลินสวินทำให้ตกใจ
“นี่คือพวกร้ายกาจชั้นยอดคนหนึ่ง สามารถปะทะกับบรรพจารย์มรรคซึ่งหน้าได้!”
ตอนนี้ผู้คนจึงไม่คลางแคลงต่อข่าวลือนี้และไม่สงสัยอีก นี่ทำให้ผู้คนทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ หากหลินสวินนี่รอดไปได้ถึงโลกยอดนิรันดร์ ทางเดินโบราณฟ้าดาราที่ตกต่ำเกินทนนั้น ต้องเปลี่ยนอันดับเพราะผลงานการต่อสู้ของเขาคนเดียวแน่!
ท่ามกลางบรรยากาศครึกโครมนี้ เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวก้าวเข้ามาในเมืองยอดยุทธ์แล้ว
หลังจากรู้ข่าวพวกนี้ ทั้งสองสบตากัน ล้วนสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าคิดว่าพวกเรายังจำเป็นต้องหาเจ้าหมอนี่เพื่อร่วมมือกันอยู่ไหม”
เยวี่ยตู๋ชิวแววตาซับซ้อน
ตอนอยู่เมืองตั้งต้น ทั้งสองคนเคยกล่าวเชิญหลินสวินไม่ใช่แค่ครั้งเดียว คิดว่าหลังจากมาถึงเมืองยอดยุทธ์นี้แล้วจะเคลื่อนไหวด้วยกัน
แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ที่หลินสวินแสดงออกมา อยู่เหนือการคาดเดาของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
“เขาไม่ใช่นักโทษหนีคดี ทั้งไม่ใช่คนชั่วร้ายนัก สาเหตุของเรื่องนี้ คนที่เคยรู้จักกับเขาตอนอยู่ในเมืองตั้งต้นอย่างพวกเราล้วนรู้ดี”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาราบเรียบ “ดังนั้นข้าจะไม่ล้มเลิกการร่วมมือกับเขา เพียงเพราะเขาล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามอย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลลั่ว”
พูดถึงตรงนี้มุมปากของนางก็ปรากฏรอยยิ้มขื่น “ตรงกันข้าม เรื่องที่ข้ากังวลตอนนี้คือเจ้าหมอนี่… ยังยินดีร่วมมือกับพวกเราอยู่ไหม”
เยวี่ยตู๋ชิวพลันอ้ำอึ้ง
ต่อให้ไม่ยินดี เขาก็จำต้องยอมรับ ด้วยพลังต่อสู้เย้ยฟ้าที่หลินสวินสำแดงออกมาตอนนี้ ย่อมไม่ต้องร่วมมือกับพวกเขาแต่แรกเลยจริงๆ…
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปเจอเขาสักครั้ง ในมือข้ามีเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับโบราณสถานมหามรรค บางทีเขาอาจจะสนใจ”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนตัดสินใจ “แต่ก่อนหน้านั้นพวกเราไปบริเวณที่มีศิลาศึกข้ามแดนตั้งอยู่ก่อน ข้าก็อยากลองดูว่าด้วยมรรควิถีตอนนี้ของข้า สามารถฝากชื่อไว้บนนั้นได้หรือไม่”
เยวี่ยตู๋ชิวคึกคักขึ้นมา เผยสีหน้ากระตือรือร้นอยากลองพลางกล่าว “ไป ไปดูกัน เจ้าหลินสวินนั่นยังฝากชื่อไว้บนกระดานเร้นลับได้ ด้วยพลังของพวกเรา อย่างน้อย… ก็คงชิงอันดับบนกระดานนภาได้กระมัง”
“กระดานนภา?”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนอึ้งไป ไม่พูดอะไรมากอีก
แต่ส่วนลึกในใจนางกลับรับรู้ได้ เมื่อได้ยินผลงานการต่อสู้ของหลินสวิน เกรงว่าเยวี่ยตู๋ชิวคงคิดว่าตัวเองไม่อาจเทียบกับหลินสวินได้แล้ว…
นี่คือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอย่างหนึ่ง
…………………