Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2508 เปลี่ยนแปลงรุนแรง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2508 เปลี่ยนแปลงรุนแรง

ตอนที่ 2508 เปลี่ยนแปลงรุนแรง

เพลิงระเบียบดับสูญเสี้ยวหนึ่ง กลับมีพลังทำลายล้างที่เหนือจินตนาการ ทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนบาดเจ็บสาหัส!

นี่ก็เปิดช่องให้หลินสวินสบโอกาส โจมตีสังหารลั่วเสินถูและเหวินเทาเลวี่ยต่อเนื่อง

และในขณะเดียวกันเหิงสิงโจวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกันสั่นสะท้านโดยสมบูรณ์ เขากระตุ้นมรรควิถีในตัวสุดกำลังราวกับบ้าคลั่ง พยายามหลีกเลี่ยงและหลบหนี

แต่มีหรือหลินสวินจะให้โอกาสเขา

หลังจากสังหารเหวินเทาเลวี่ย เขาก็พริบกายไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล เงาร่างและเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งประสานกันอย่างมสมบูรณ์ กระหน่ำโจมตีลงมาอย่างดุเดือด

ตูม!

ฟ้าถล่มดินทลาย สุริยันจันทราอับแสง

เหิงสิงโจวถูกเผาจนผิวหนังปริแตกนานแล้ว ประหนึ่งเศษผ้ามีรูพรุน เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ แม้จะต้านทานเต็มกำลังก็ยังรับไม่ไหวสักนิด ร่างกายและจิตดั้งเดิมแตกระเบิดตรงๆ

บรรพจารย์จักรพรรดิคนที่สามร่วงหล่น!

เหตุการณ์ก่อนและหลังเพิ่งผ่านไปเพียงอึดใจเท่านั้น บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนก็ประสบเคราะห์ติดต่อกัน ภาพน่าสยองเป็นฉากๆ นั่นเห็นชัดว่าน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

แต่หากมีคนเคยเห็นการตายของเจ้าเมืองเมืองตั้งต้นเหิงเทียนซั่วในปีนั้น อาจไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว

อิงจากที่นกกระจอกเขียวว่ามา เพลิงระเบียบดับสูญนั้นสามารถสร้างพลังน่ากลัวที่เป็นภัยคุกคามต่อระดับอมตะได้

ตอนนี้แค่สังหารบรรพจารย์มรรคเท่านั้น เดิมก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว

“หนี!”

“ไปเร็ว!”

ไกลออกไปผู้ฝึกปราณจากเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลตกใจจนขวัญกระเจิงนานแล้ว หมุนตัวเตรียมหนี

แต่ความเร็วของหลินสวินว่องไวระดับใด เห็นเพียงรอยสีขาวจางๆ สายหนึ่งกลางห้วงอากาศไหวเคลื่อนพริบไหว

พรูด! พรูด! พรูด!

เพียงไม่กี่ชั่วดีดนิ้ว

ผู้ฝึกปราณหลายคนถูกหลินสวินสังหาร ด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ แค่โจมตีส่งๆ ก็มีอานุภาพกำราบคนระดับเดียวกันทั้งปวง อหังการไร้ที่เปรียบ สามารถทัดเทียมกับบรรพจารย์จักรพรรดิ มหาจักรพรรดิทั่วไปมีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

ละอองเลือดสาดกระเซ็น

เสียงร้องโหยหวนก้องฟ้า

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นแตกตื่นอย่างสมบูรณ์แล้ว

“รีบเปิดกระบวนค่ายกลขัดขวางเขา! หาไม่พวกเราใครก็หนีไม่รอด!” ลั่วหลิงกล่าวเสียงกร้าว เสียงดังทั่วทั้งที่นั้น

ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินสวินและบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนต่อสู้กัน ผู้ฝึกปราณเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลอย่างพวกเขาก็เริ่มวางพลังผนึกเป็นชั้นๆ ไว้โดยรอบนานแล้ว

เดิมนี่จัดวางไว้เพื่อป้องกันหลินสวินหลบหนี

แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นวิธีช่วยชีวิตของพวกเขาเสียเอง

วู้ม!

ทันใดนั้นกระบวนค่ายกลผนึกเป็นชั้นๆ ปรากฏขึ้น แผ่ครอบฟ้าดิน เมื่อเห็นว่าเงาร่างของหลินสวินที่ไล่ตามมาถูกขัดขวาง ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เดรัจฉาน เจ้ารอก่อนเถอะ แค้นในวันนี้ วันหน้าต้องเอาคืนสิบเท่าร้อยเท่า!”

“คนที่ล่วงเกินตระกูลเหวินของข้า ไม่มีใครจบสวยสักคน”

“หลินสวิน เจ้าจบเห่แล้ว!”

…ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ส่งเสียงอาฆาตแค้นออกมา ราวกับกำลังระบายโทสะและความตื่นกลัวภายในใจออกมา

“คิดหรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยกันแล้วจริงๆ”

กลับเห็นนัยน์ตาหลินสวินลุ่มลึก ดีดนิ้วคราหนึ่ง “เสี่ยวอู่”

ตูม!

ละอองแสงสว่างแสบตาปรากฏ กระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญโผล่ขึ้นจากสี่ทิศแปดทางทันควัน สัญลักษณ์ราวกระแสน้ำ ลายมรรคไหลเวียน

ทันทีที่กระบวนค่ายกลนี้ปรากฏ ไม่เพียงปิดครอบผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลเท่านั้น แม้แต่กระบวนค่ายกลผนึกที่ขัดขวางหลินสวินอยู่ก็ยังถูกห่อหุ้มอยู่ภายในนั้นด้วยเช่นกัน

ราวกับม่านฟ้าผืนหนึ่ง บดบังพื้นที่แถบนี้เอาไว้ทั้งหมด!

เซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวมองเห็นภาพนี้จากที่ไกลๆ ล้วนอดรู้สึกมึนตื้อไม่ได้ ทั้งหมดนี้อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขาโดยสิ้นเชิง

อันที่จริงเมื่อหลายวันก่อน หลินสวินกังวลว่าวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์สี่ตนที่หลบหนีไปพวกนั้นจะกลับมาแก้แค้น จึงให้เสี่ยวอู่วางกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญไว้แต่แรก เดิมก็เพื่อจะต้านภัยและป้องกันวิญญาณร้ายเหล่านั้น

แต่ตอนนี้กลับจับพลัดจับผลูได้นำมาใช้ประโยชน์

“นี่…”

“ไม่ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

ผู้ฝึกปราณที่ก่อนหน้านี้ยังโวยวายอาฆาตแค้น เพราะคิดว่าหลินสวินไม่มีทางไล่สังหารมาได้อีก เวลานี้ล้วนอึ้งงัน มีหรือจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตา พวกเขาถึงกับตกมาอยู่ในกระบวนค่ายกลได้

ชั่วขณะนี้พวกเขาตกใจจนสามจิตออกจากร่าง ควันออกเจ็ดทวาร ตัวม้ามแทบระเบิด

“ทลายกระบวนค่ายกลเร็ว เร็วเข้า!”

มีคนคำรามเดือด โจมตีอย่างบ้าคลั่ง

คนอื่นๆ ก็รีดเค้นพลังทั้งหมดเช่นกัน

ความจริงด้วยพลังของมหาจักรพรรดิเหล่านี้ ยังพอจะทลายกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญออกไปได้ อย่างไรเสียกระบวนค่ายกลนี้ก็กักขังได้เพียงบรรพจารย์ขั้นเก้าเท่านั้น

แต่น่าเสียดาย หลินสวินไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาอีกเด็ดขาด

“เปล่าประโยชน์ อยู่ต่อหน้าข้า พวกเจ้าคิดว่าจะหนีรอดหรือ”

เงาร่างของหลินสวินไหวกะพริบ กรีดแหวกผ่านห้วงอากาศในทันที เกิดเป็นรอยสีขาวทะลวงฟ้า

เขาพุ่งเข้าไปในกระบวนค่ายกลด้วยพลังไร้ใดเปรียบในพริบตา และสำแดงการเข่นฆ่าฉากหนึ่ง

ตูม!

บรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งทันเพียงร้องลั่นเท่านั้น ก็ถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือเดียวตบทั้งคนและสมบัติพิทักษ์ตัวแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่จิตวิญญาณยังถูกบดขยี้แหลกละเอียด

“รีบลงมือพร้อมกันเร็วเข้า ฆ่าเขา ฆ่าเขาซะ!”

เมื่อเห็นหลินสวินพุ่งเข้ามา ผู้ฝึกปราณในกระบวนค่ายกลพลันเหมือนโดนกระตุ้น เร่งโจมตีกลับอย่างไม่คิดชีวิต พุ่งเข้าใส่หลินสวินคนแล้วคนเล่า

บ้างก็ถึงขั้นมีความคิดจะวอดวายทั้งสองฝ่ายกับหลินสวิน

น่าเสียดายที่เมื่อการโจมตีของพวกเขาโดนตัวหลินสวิน กลับไม่เจ็บไม่แสบ มรรควิถีในตัวเขาแน่นหนาหาใดเปรียบ กอปรกับพลังป้องกันสุดทนทานไม่อาจสั่นคลอนจากเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ทำให้มีอานุภาพที่หมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกรายอยู่รางๆ

พร้อมๆ กับการโจมตีและเข่นฆ่าของหลินสวิน มีเลือดสดๆ พุ่งกระเซ็น มีสมบัติแตกระเบิด มีเสียงโหยหวนก่อนสิ้นใจดังไม่ขาดสาย…

อันที่จริงตอนนี้ก็มีเพียงบรรพจารย์มรรคเท่านั้นจึงจะถูกหลินสวินรับมืออย่างระมัดระวังได้ พวกระดับต่ำกว่าบรรพจารย์มรรค น้อยนักจะถูกหลินสวินเห็นอยู่ในสายตา

นอกกระบวนค่ายกล

เซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้น

นี่ทำให้พวกเขาอดใจเต้นเนื้อกระตุกไม่ได้ ตระหนักได้ว่าภายในกระบวนค่ายกลนั้นกำลังมีการเข่นฆ่านองเลือดดำเนินอยู่

แต่เพียงไม่นานเท่าไรเสียงทั้งหมดก็หยุดลง

ไม่มีเสียงระลอกคลื่นพลัง เสียงโหยหวน หรือเสียงดังสนั่นอุบัติขึ้นแต่อย่างใด เงียบสงัดจนทำให้ทั้งคู่ชักเริ่มปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง

“จบแล้วหรือ”

เยวี่ยตู๋ชิวอดกล่าวไม่ได้

“ดูเหมือนจะ… เป็นเช่นนี้…”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนก็ไม่อาจฟันธง

จากนั้นพวกเขาก็มองเห็นเงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากกระบวนค่ายกล ผมดำปลิวไสว อาภรณ์สะอาดเรียบร้อย ไม่เปื้อนฝุ่นควัน

แต่บนตัวเขากลับยังคงมีกลิ่นอายเข่นฆ่าเผด็จการที่ดุกร้าวจนชวนให้คนใจสะท้าน ประดุจเทพสังหารในตำนานเดินออกมาจากไกลๆ

ด้านหลังของเขา กระบวนค่ายกลสลายไปอย่างเงียบๆ กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ในฟ้าดินแถบนั้นมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นคลุ้งออกมาราวหมอกหนา

ภาพด้านหลังเป็นสีเลือด เงาร่างสันโดษไร้มลทิน วาดออกมาเป็นภาพสะท้านจิตใจผู้คน

ภาพนี้ก็กลายเป็นรอยประทับยากลืมเลือนไปชั่วชีวิตของเซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิว กระทั่งนานแสนนานต่อมาก็ไม่อาจลืมเลือน

“อย่ามัวอึ้งอยู่สิ ไปได้แล้ว”

เสียงเจือแววหยอกล้อของหลินสวินดังปลุกเซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวที่จิตใจเหม่อลอย

“จบแล้วหรือ”

ถึงแม้เยวี่ยตู๋ชิวจะเดาได้และกล้ามั่นใจแต่แรก แต่เขาก็ยังอดเอ่ยถามไม่ได้

“จบแล้ว”

หลินสวินกล่าว นอกจากลั่วหลิงที่ถูกเขาจับเป็นและกำราบไว้ คนอื่นๆ ล้วนถูกสังหารทั้งหมด ไม่ให้ใครรอดชีวิตไปได้สักคน

แววตาเยวี่ยตู๋ชิวเปลี่ยนเป็นเหม่อลอยอีกครั้ง

บรรพจารย์จักรพรรดิที่แกร่งกล้าแห่งยุคสามคน

ระดับจักรพรรดิที่ห้าวหาญจากเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลหลายสิบคน

ก่อนหน้านี้มาด้วยอานุภาพล้นหลาม

ตอนนี้กลับแตกพ่ายยับเยิน!

หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนในโลกพันจักรวาลใครจะกล้าเชื่อ

แล้วในโลกยอดนิรันดร์ จะมีใครคิดว่านี่คือเรื่องจริงกันบ้าง

เวลานี้เยวี่ยตู๋ชิวมีเพียงความรู้สึกเดียว…

อึ้งงัน

“ก่อนหน้านี้ข้ากับพี่เยวี่ยยังวางแผนกันว่าจะลงมือเปิดทางรอดให้เจ้าในช่วงคับขัน แต่ตอนนี้ดูท่าว่าไม่มีที่ให้เราสองคนแทรกมือเลยสักนิด”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนใจเย็นลงไม่น้อย เสียงเจือแววละอายเสี้ยวหนึ่ง เสมือนเป็นเพราะไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ จึงทำให้นางค่อนข้างวางไม่ลง

“ใช่แล้ว ตั้งแต่เข้ามาในเขตผนึกแห่งนี้จนถึงตอนนี้ พวกเราสองคนไม่เคยสร้างผลงานใด กลับนั่งกอบโกยผลประโยชน์ ในใจรู้สึกอัดอั้นอยู่บ้าง”

เยวี่ยตู๋ชิวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากแก้เก้อ

หลินสวินยิ้มขึ้นมา “พวกเจ้าสองคนมีใจเช่นนี้ ก็มีความหมายยิ่งกว่าพันหมื่นถ้อยคำสำหรับข้าแล้ว คำพูดเกรงใจไม่ต้องกล่าวให้มากความ รอมีโอกาสภายหน้าพวกเรามาดื่มกันให้หนำใจก็พอ”

ตั้งแต่ที่ประสบเคราะห์สังหารครั้งนี้แล้วทั้งสองคนไม่เลือกหลบหนีไป หลินสวินก็มองอีกฝ่ายเป็นเพื่อนแล้ว ย่อมไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้

เพราะเขารู้ดีว่าการเลือกไปต่อต้านเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูล จะต้องแบกรับแรงกดดันยิ่งใหญ่ปานใด

และเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวสองคนก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง

ต่อจากนั้นหลินสวินก็นับจำนวนทรัพย์หลังศึกรอบหนึ่ง แล้วจากไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับทั้งสองคน

เมื่อเดินออกจากเขตผนึกแห่งนี้ เงาร่างทั้งสามคนปรากฏอยู่นอกเทือกเขามหึมาลูกนั้นอีกครั้ง

“นี่มันอะไรกัน”

ฉับพลันนั้นพวกหลินสวินก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่าง ฟ้าดินแถบนี้เต็มแน่นไปด้วยไอชั่วร้ายเข้มข้นที่ไม่อาจพรรณนา เปี่ยมกลิ่นอายนองเลือด

นี่ทำให้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย

“อ๊าก…!” เสียงร้องโหยหวนสายหนึ่งดังออกมาจากใต้เวิ้งฟ้าไกลๆ ทันที

มองผ่านไอชั่วร้ายหนาทึบเข้าไป ก็เห็นชัดว่าผู้แข็งแกร่งระดับบรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งถูกวิญญาณร้ายที่ทั้งตัวคละคลุ้งไอชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งล้อมโจมตี ร่างกายแตกระเบิดในพริบตา ดุจดอกไม้ไฟสีแดงฉาน เบ่งบานอยู่บนเวิ้งฟ้า

พวกหลินสวินนัยน์ตาหดรัด แผ่จิตรับรู้ออกไป

ก็เห็นกลางฟ้าดินไพศาลสุดคณามีผู้ฝึกปราณมากมายแปลงเป็นรุ้งเทพ เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ แก่งแย่งหมายจะหนีออกจากโลกใบนี้

เงยมองจากพื้น ประดุจรุ้งเทพนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานขึ้นจากพื้นที่ต่างๆ หมายจะทะยานออกจากชั้นเมฆ ชวนตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

แต่เพิ่งมาถึงครึ่งทางก็ถูกทัพใหญ่วิญญาณร้ายที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนขวางทางเป็นฝูงๆ แต่ละตนล้วนมีอานุภาพระดับจักรพรรดิ

พวกที่กร้าวแกร่งหน่อยยิ่งมีพลังไม่ต่ำกว่าระดับบรรพจารย์!

ตูม ครืน!

คลื่นต่อสู้น่าสะพรึงทะลักล้นใต้เวิ้งฟ้า ทุกแห่งหนล้วนมีแต่การเข่นฆ่านองเลือดดุเดือด

ยังมีเสียงโหยหวนวังเวงกรีดทะลวงฟ้าเป็นพักๆ ชวนสยองขวัญเป็นที่สุด

ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเสมือนทั้งโบราณสถานมหามรรคกำลังปั่นป่วน และเหล่าผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมการทดสอบล้วนกำลังหนีตายจ้าละหวั่น พยายามออกจากที่แห่งนี้

“คงไม่ใช่ว่าจอมมารที่ถูกผนึกอยู่ในบ่อน้ำโบราณนั้นจะออกมาแล้วกระมัง” เยวี่ยตู๋ชิวสูดหายใจสะท้าน

“ก็ไม่แน่ แต่ที่มั่นใจได้คือภัยพิบัติปะทุขึ้นแล้ว หากคิดหนีเวลานี้มีแต่ต้องฆ่าเปิดเส้นทางนองเลือดเท่านั้นแล้ว” หัวคิ้วเซี่ยงเสี่ยวหยวนขมวดมุ่น

นางนึกถึงการวิเคราะห์และข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของหลินสวิน รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างมาก

“ต้องรีบออกไปจริงๆ นั่นแหละ หาไม่สถานการณ์มีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้น”

นัยน์ตาหลินสวินมีประกายแสงเย็นเยียบ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย

สถานการณ์เลวร้ายที่สุดอาจเกิดขึ้นแล้ว โบราณสถานมหามรรคนี้บังเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรง ถูกลิขิตให้เป็นสถานที่แห่งภัยพิบัติหายนะ ต้องแหวกวงล้อมแน่นหนาออกไป

หาไม่ เป็นไปได้สูงว่าอาจออกไปไม่ได้อีกเลย!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท