Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2519 สิบแปดปีให้หลัง หน้าเมืองจรดฟ้า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2519 สิบแปดปีให้หลัง หน้าเมืองจรดฟ้า

ปีที่สองที่หลินสวินออกจากเมืองยอดยุทธ์

ในโบราณสถานมหามรรค ภัยพิบัติที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่ยุคก่อนปะทุขึ้นโดยสมบูรณ์

ข้างบ่อน้ำโบราณ กระบี่ยอดยุทธ์พังลงทุกกระเบียด เสียงครวญดังก้องห้วงอากาศ ปั่นป่วนอยู่ในฟ้าดารา

ภายในบ่อน้ำโบราณ เงาร่างสูงใหญ่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งร่างปกคลุมด้วยพันธนาการระเบียบสีดำร่างหนึ่งปีนออกมา ทันทีที่ปรากฏตัวบนโลก อานุภาพของเขาก็ม้วนตลบไปทั้งโบราณสถานดึกดำบรรพ์

วิญญาณร้าย ซากศพ น้ำเลือดนับไม่ถ้วน… ต่างกลายเป็นกระแสพลังดั่งกระแสธาร ถูกเงาร่างสูงใหญ่นั้นกลืนกินจนเกลี้ยง

จนสุดท้าย โบราณสถานมหามรรคที่เทียบได้กับโลกใหญ่แห่งหนึ่งก็แตกร้าวระเบิดกระจุยกลายเป็นฝุ่นธุลี หายลับไปจากโลกโดยสิ้นเชิง

วันนี้

มารเทพตี้สือผงาดขึ้นเหนือท้องฟ้าจากการกำราบมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด!

และก็เป็นวันนี้ ด่านนภาอมตะที่เก้าตกอยู่ในความยุ่งเหยิงปั่นป่วนนองเลือด ฟ้าดาราแถบนั้นยังถูกย้อมเป็นสีแดง ดวงดาวไม่รู้เท่าไรระเบิดออก

ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากมารเทพตี้สือปรากฏตัวบนโลก อานุภาพจะแกร่งกล้าเช่นนี้ ชั่วขณะที่ชูมือขึ้นก็ทำลายดวงดารา กดอัดท้องนภา

นี่เป็นหายนะครั้งหนึ่ง นำพาทุกข์เข็ญมาสู่สรรพชีวิต

มีคนคาดเดาว่ามารเทพที่ถูกผนึกไว้ตั้งแต่ยุคก่อนผู้นี้ ก้าวเหนือระดับบรรพจารย์ไปแล้ว ส่วนจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่นั้น ไม่มีใครล่วงรู้

เมืองยอดยุทธ์ประสบเคราะห์ สถานการณ์อันตรายถึงขีดสุด

ต่อให้ไป๋เจี้ยนเฉินใช้พลังผนึกปกคลุมทั้งเมือง ต้านไว้ได้เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถูกมารเทพตี้สือทำลายในฝ่ามือเดียว

เมืองยอดยุทธ์อันกว้างใหญ่ไร้การป้องกันโดยสมบูรณ์!

เมื่อเห็นว่าด่านนภาอมตะที่เก้ากำลังจะถูกทำลาย บุคคลน่ากลัวที่จากโลกยอดนิรันดร์ทั้งหมดต่างเข้าร่วมสู้ศึกกับมารเทพตี้สือเหนือฟ้าดารา

นี่คือกองทัพเสริมที่ไป๋เจี้ยนเฉินเชิญมา

เขาเตรียมการรับมือเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่พวกหลินสวินเข้าร่วมการทดสอบ

และนับแต่วันนี้ไป หินทรายปลิวว่อน ลมทะมึนกราดเกรี้ยว สีเลือดกวาดนภา มหาศึกเหนือฟ้าดาราดุเดือด มีดวงดาวถล่มร่วงโรยเปื้อนเลือดอยู่ตลอด

สภาพเช่นนี้ดำเนินอยู่สามปีเต็ม ไม่มีใครเข้าใกล้ได้ บรรพจารย์จักรพรรดิผู้หนึ่งลองรวบรวมความกล้า ผลีผลามเข้าไปในบริเวณชายขอบของสามรบ ผลก็คือกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนอย่างรวดเร็ว

เพราะมหาศึกครั้งนี้เกินกว่าระดับบรรพจารย์ไปนานแล้ว เป็นการประชันอันไร้เทียมทานบนมรรคาอมตะ ต่อให้เป็นไป๋เจี้ยนเฉินยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม

สามปีผ่านไป เลือดไหลเป็นสายธาร ย้อมห้วงอากาศเป็นสีแดง เมืองยอดยุทธ์แตกกระจายกลายเป็นซากปรักหักพังลอยเคว้งอยู่ในห้วงอากาศ

ระดับอมตะที่เข้าร่วมการต่อสู้มาตลอดบาดเจ็บล้มตายในศึกนี้มากมาย จิตร่วงหล่น ศพปลิวว่อน ดวงดาวถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

ศาสตรามรรคอมตะหรือสมบัติลับอัศจรรย์แต่ละชิ้นปะทะกันอย่างรุนแรงจนแหลกกระจุยระหว่างการต่อสู้ ทำให้ฟ้าดาราแถบนั้นยังจ่อมจม…

สามปี!

ผลลัพธ์ของมหาศึกที่เรียกได้ว่าน่าครั่นคร้ามครั้งนี้ไม่มีทางล่วงรู้ได้

ลือกันว่ามารเทพตี้สือถูกฉีกศพออกเป็นสิบกว่าส่วน ถูกเหล่าระดับอมตะผนึกไว้แล้วนำออกไป

ทั้งยังมีข่าวลือว่ามารเทพตี้สือไม่ได้ร่วงหล่น เพียงแต่ในช่วงสุดท้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส หนีไปกบดานนานแล้ว

แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ เมืองยอดยุทธ์พินาศไปแล้ว ด่านนภาอมตะที่เก้านี้ก็หายลับไปจากแดนใหญ่พันศึกโดยสิ้นเชิงเช่นกัน

กรำศึกมาสามปี ทำให้เส้นทางจากด่านนภาอมตะที่แปดไปสู่ด่านนภาอมตะที่เก้าขาดสะบั้นโดยสมบูรณ์ วิเวกวังเวงไปหมด

เมื่อเรื่องกระจายออกมาก็สะเทือนไปทั้งแดนใหญ่พันศึก

พอได้รู้ข่าวนี้หลินสวินยังจิตใจปั่นป่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้

เมืองยอดยุทธ์พังพินาศ มารเทพตี้สือไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ด่านนภาอมตะที่เก้าก็กลายเป็นกองซากในประวัติศาสตร์ลงเช่นนี้…

แล้วในตอนนั้น จะมีสิ่งมีชีวิตมากมายแค่ไหนพลอยติดร่างแห วอดวายไปในความโกลาหลครั้งนี้ด้วย

หลินสวินไม่ได้เศร้าใจอะไร เดินหน้าต่อไป ก้าวย่างไปบนเส้นทางสู่โลกยอดนิรันดร์

……

กาลเวลาผันผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ในแดนใหญ่พันศึกอันกว้างใหญ่ไพศาล หลินสวินเดินทางเพียงลำพัง ฝ่าสมรภูมิอันตรายแห่งแล้วแห่งเล่า เข้าไปยังด่านนภาอมตะด่านแล้วด่านเล่า…

ก้าวข้ามภูเขาศพทะเลเลือด ปีนป่ายกองคนตายนับไม่ถ้วน พายุฝนคาวโลหิตตามติดไปตลอดทาง ผ่านความทุกข์เข็ญท่ามกลางความเป็นความตาย ประหนึ่งกระบี่สวรรค์ไร้เทียมทานเล่มหนึ่งเปล่งแสงแห่งชีวิตเจิดจ้า แหลมคมหาใดเทียบ ซ่อนอยู่ภายในฝักกระบี่

หลายปีมานี้เขาได้รับมหาเคราะห์ทะลวงระดับที่นอกด่านนภาอมตะที่สิบแปดครั้งหนึ่ง ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันเหนือธรรมดา

ผ่านการต่อสู้เจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดก็เหยียบย่างสู่ระดับจักรพรรดิขั้นแปด ขั้น ‘ผสานมรรค’!

ผสานมรรค

หลอมรวมมหามรรคทั้งปวงไว้ในร่างเดียว

หากกล่าวว่ากฎเกณฑ์มหามรรคห้าพันกว่าชนิดที่หลินสวินครอบครองเป็นมุกสมบัติเจิดจรัสเม็ดแล้วเม็ดเล่า เช่นนั้นขั้นผสานมรรคก็คือการใช้มรรควิถีของตนเป็น ‘เส้นด้าย’ ร้อยมุกสมบัติเหล่านี้ไว้ด้วยกันจนเกิดเป็นสร้อยมุกสมบัติเส้นหนึ่ง กลมเกลี้ยงเป็นหนึ่งเดียว

และต่อมา หลินสวินใช้เวลาอีกหนึ่งปีสร้างความมั่นคงอย่างสมบูรณ์ให้ขั้นพลังนี้ จากการต่อสู้ผ่านฝนโลหิตสารพัดรูปแบบ

หลายปีมานี้หลินสวินกรำศึกไม่ว่างเว้น ระหว่างทางก็กลายเป็นคนร้ายกาจยิ่งยวดที่ยามคนไม่น้อยพูดถึงแล้วหน้าเปลี่ยนสี เพราะคู่ต่อสู้ที่เขาสังหารมีมากมายเกินไป

ถึงตอนนี้ขอเพียงเขาปรากฏตัว ไม่ต้องแจ้งชื่อแซ่ แค่เห็นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่ลอยอยู่เหนือหัวเขาก็ถูกมองฐานะออก ทำให้ศัตรูหลบหนีลุกลี้ลุกลน

และหน้าประตูเมืองแต่ละแห่งในด่านนภาอมตะที่เขาเดินทางผ่าน ต่างก็แขวนประกาศจับของเขา ไม่ว่าจะเป็นลำดับหรือเงินรางวัลล้วนขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง!

ชางฝูเซิงที่อยู่อันดับหนึ่งแต่เดิมกลายเป็นอันดับสองแล้ว…

ขณะเดียวกันนี่ก็ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนยิ่งยวด ทุกครั้งที่หลินสวินเข้าสู่ด่านนภาอมตะจะต้องปิดบังร่องรอยและเปลี่ยนฐานะตัวตน หาไม่แล้วจะถูกจวนเจ้าเมืองจัดการเต็มกำลัง

และก็มีพวกที่คิดว่าตัวเองแกร่งกล้าบางคนลงมือ หมายจะสังหารเขาเพื่อกลายเป็นตำนาน แต่ต่างล้มเหลวกันไปหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น

กลับยิ่งทำให้กิตติศัพท์ของหลินสวินยิ่งแกร่งกล้า สร้างผลงานการศึกนองเลือดชนิดแทบไร้พ่าย

ถ้าไม่ใช่ว่าในแดนใหญ่พันศึกนี้มีระดับอมตะปรากฏตัวน้อยนัก เกรงว่าคงมีคนมาจับตายเขาไปแล้ว

ต่อให้เป็นเช่นนี้หลินสวินก็ยังประสบอันตรายหลายครั้ง ไม่ได้เป็นภัยพิบัติจากมนุษย์ แต่ในระหว่างที่รุดหน้าไปในสมรภูมิอันตรายหาใดเทียบบางแห่ง ก็พบเจอกับพิบัติเคราะห์อันพิสดารและเป็นปริศนา และแทบจะเป็นสิ่งที่เหลือไว้จากยุคก่อนทั้งสิ้น

หลายครั้งถึงกับต้องใช้ไพ่ตายอย่างอภินิหารหยุดเวลาหรือเพลิงระเบียบดับสูญมาคลี่คลายอันตราย!

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ประสบการณ์แต่ละครั้งล้วนเป็นการขัดเกลาและชำระล้าง ไม่เพียงหลอมมรรควิถี ยังทำให้สภาวะจิตของหลินสวินหนักแน่นขึ้นด้วย

มิหนำซ้ำตลอดทางมานี้เขายังได้รับวาสนาและสมบัติมากมาย ทรัพย์สินทั้งตัวรวมกันไม่อาจประเมินค่าได้นานแล้ว

ปีที่เก้าที่ออกจากเมืองยอดยุทธ์

หลินสวินมุ่งหน้าไปในห้วงจักรวาลอันหนาวเหน็บ ซากศพร่างแล้วร่างเล่าลอยอยู่ในเขตแดนดาราต่างๆ เป็นระยะ เลือดสดๆ แข็งตัวไปนานแล้ว

ด้วยการเคี่ยวกรำมานานเช่นนี้ เขาเหยียบลงบนซากศพนับไม่ถ้วน กรุยทางข้างหน้าด้วยเลือด ทำให้ความสง่างามทั้งตัวตกตะกอนประหนึ่งหลอมตีมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง

ยามหยุดนิ่ง เงียบเชียบดุจหุบเหว ไม่อาจหยั่งถึงมรรค

ยามเคลื่อนไหว ประหนึ่งนายเหนือหัวเยือนโลก อานุภาพเฉียบคมทะลวงไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!

ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเคยถูกบรรพจารย์มรรคผู้หนึ่งซุ่มโจมตี อาศัยเพียงพลังต่อสู้ของตัวเองกับเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์!

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ยิ่งครั้งหนึ่ง ทั้งยังเป็นผลงานที่ประหนึ่งทำลายปราการสวรรค์

บรรพจารย์จักรพรรดิดุจปราการสวรรค์ กดข่มระดับจักรพรรดิ ไม่อาจก้าวล้ำได้

แต่ตอนนี้ หลินสวินไม่ต้องอาศัยไพ่ตายก็สามารถก้าวผ่าน ไม่เพียงแค่ต้านทาน แต่ยังกำราบสังหารได้!

หากเรื่องเช่นนี้กระจายออกไป จะต้องสะเทือนใต้หล้า ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่านับไม่ถ้วนครั่นคร้าม

แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ทั้งหมดนี้เหมือนน้ำมาคลองก็เกิด เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ก็มีพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดชั้นกลางมานานแล้ว เมื่อผ่านการต่อสู้สังหารมาหลายปี ก็ทำให้พลังต่อสู้ที่เขามีแปรสภาพไปไม่รู้กี่ครั้ง

ถึงขั้นว่ากระทั่งเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยังอาบเลือดจักรพรรดิในระหว่างการต่อสู้หลายปีมานี้ แปรสภาพอย่างแปลกประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า

“เก้าปีแล้ว…”

หลินสวินปรากฏตัวบนดาวโบราณดวงหนึ่งเพียงลำพัง นั่งขัดสมาธิ พายุทรายลูกใหญ่ม้วนตลบพัดให้ผมเขาปลิวยุ่งเหยิง

เขาผ่อนคลายนัก หยิบเอาน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอย่างหนำใจ ลิ้มรสความสงบอันหาได้ยากยิ่งอยู่คนเดียว

เส้นทางเสาะแสวงมหามรรค สิ่งที่ไม่เคยจากไปไหนก็คือความโดดเดี่ยวเดียวดาย

หลายปีมานี้เขาเดินทางคนเดียว ต่อสู้คนเดียว ต้านศึกนองเลือดกับการเข่นฆ่าทั้งปวงอยู่คนเดียว นั่งสงบใจคนเดียว ดื่มเหล้าคนเดียว…

ถ้าคิดดูดีๆ ตั้งแต่เข้าสู่เมืองตั้งต้นของแดนใหญ่พันศึกจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสิบสามปีเต็มๆ แล้ว!

ในคืนวันที่ดูเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเข่นฆ่าและต่อสู้

นอกจากนี้ก็มีแต่เร่งเดินทาง

“สามจอกเจนจัดมหามรรค หนึ่งกาหลอมรวมกับธรรมชาติ การเดินทางบนเส้นทางนี้ มีเพียงสุราเลิศในกาที่ไม่ทำให้ผิดหวัง”

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินยิ้มน้อยๆ ดื่มเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าจนหมด จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน เงาร่างสันโดษหายลับไปในพายุทรายที่ถาโถมนั้น

เขาออกเดินทางอีกครั้ง

นี่เป็นเส้นทางอันรุ่งโรจน์โชติช่วง ทั้งยังโดดเดี่ยวและอันตราย

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจนตอนนี้ เหล่าผู้กล้าที่มาจากแดนใหญ่พันศึกนับไม่ถ้วนสิ้นชีพลงที่นี่ แต่ผู้ที่รอดไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้จริงๆ ในพันคนกลับไม่มีสักคน

บนเส้นทางสายนี้หลินสวินไม่หวั่นกลัว ต่อสู้กับศัตรูทั้งปวง ได้พบเห็นสารพัดวิชาบนโลก เดินทางเพียงลำพังเงียบๆ ความเฟื่องฟูร่วงโรย หวนสืนสู่ความเรียบง่าย

หากเหนื่อยล้าก็นั่งสงบนิ่งอยู่กลางจักรวาล จากนั้นลุกขึ้นเดินหน้าต่อ

……

สิบแปดปีผ่านไป

กลางจักรวาลที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง

เส้นทางที่ปูด้วยดวงดารานับไม่ถ้วนสายหนึ่งดั่งรุ้งเทพแผ่ขยายไปยังปลายทาง

“ทางสายนี้ได้รับการขนานนามว่าเส้นทางแสนดารา! ที่ปลายทางก็คือด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้า!”

เงาร่างอันตระการตาเปล่งประกายกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น เมื่อเห็นเส้นทางที่เปล่งแสงดาวงดงามออกมาต่างก็เผยสีหน้าตื่นเต้น

คนกลุ่มนี้คือเหล่าผู้ที่เดินทางมา ฝ่าฟันในแดนใหญ่พันศึกมานานปี ผ่านพายุทมิฬและการนองเลือดนับไม่ถ้วน และรอดมาได้ในท้ายที่สุด

“เส้นทางแสนดารามุ่งหน้าสู่สวรรค์ และตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็มีโอกาสไปยังโลกยอดนิรันดร์แห่งนั้นแล้ว…”

“หลายปีผ่านไปไวเหมือนดีดนิ้ว หลังจากผ่านโลกมามาก วันหน้าย่อมแจ้งมรรคเหนืออมตะ!”

เงาร่างเหล่านี้ทอดถอนใจ แต่ละคนกลิ่นอายน่ากริ่งเกรง มุ่งหน้าไปบนเส้นทางแสนดารา สีหน้าต่างตั้งตาคอยและตื่นเต้นอย่างยากปกปิด

ขณะที่ไม่ทันรู้ตัว เสียงมรรคที่ราวกับคลื่นสวรรค์เป็นระลอกดังขึ้นบนเส้นทางแสนดารา ดังสนั่นจนหูแทบดับ ประหนึ่งอักขระคัมภีร์ขับขาน คล้ายเทพโบราณบรรยายมรรค กระจ่างแจ้งเป็นที่สุด ทำให้ผู้คนตื่นรู้

และที่เบื้องหน้านั้น แสงดาวดั่งวารี เจิดจ้าและแจ่มกระจ่าง ทั้งยังมีเมฆหมอกลึกลับขมุกขมัว ราวกับมาถึงเมืองเซียนแห่งหนึ่ง

พอเห็นเค้าร่างของเมืองนี้ ทุกคนต่างก็เคลิบเคลิ้ม

เพราะเมืองนี้มีนามว่าจรดฟ้า

เป็นด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้าในแดนใหญ่พันศึก เป็นด่านสุดท้ายสู่โลกยอดนิรันดร์!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท