ปีที่สองที่หลินสวินออกจากเมืองยอดยุทธ์
ในโบราณสถานมหามรรค ภัยพิบัติที่หลงเหลืออยู่ตั้งแต่ยุคก่อนปะทุขึ้นโดยสมบูรณ์
ข้างบ่อน้ำโบราณ กระบี่ยอดยุทธ์พังลงทุกกระเบียด เสียงครวญดังก้องห้วงอากาศ ปั่นป่วนอยู่ในฟ้าดารา
ภายในบ่อน้ำโบราณ เงาร่างสูงใหญ่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งร่างปกคลุมด้วยพันธนาการระเบียบสีดำร่างหนึ่งปีนออกมา ทันทีที่ปรากฏตัวบนโลก อานุภาพของเขาก็ม้วนตลบไปทั้งโบราณสถานดึกดำบรรพ์
วิญญาณร้าย ซากศพ น้ำเลือดนับไม่ถ้วน… ต่างกลายเป็นกระแสพลังดั่งกระแสธาร ถูกเงาร่างสูงใหญ่นั้นกลืนกินจนเกลี้ยง
จนสุดท้าย โบราณสถานมหามรรคที่เทียบได้กับโลกใหญ่แห่งหนึ่งก็แตกร้าวระเบิดกระจุยกลายเป็นฝุ่นธุลี หายลับไปจากโลกโดยสิ้นเชิง
วันนี้
มารเทพตี้สือผงาดขึ้นเหนือท้องฟ้าจากการกำราบมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด!
และก็เป็นวันนี้ ด่านนภาอมตะที่เก้าตกอยู่ในความยุ่งเหยิงปั่นป่วนนองเลือด ฟ้าดาราแถบนั้นยังถูกย้อมเป็นสีแดง ดวงดาวไม่รู้เท่าไรระเบิดออก
ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากมารเทพตี้สือปรากฏตัวบนโลก อานุภาพจะแกร่งกล้าเช่นนี้ ชั่วขณะที่ชูมือขึ้นก็ทำลายดวงดารา กดอัดท้องนภา
นี่เป็นหายนะครั้งหนึ่ง นำพาทุกข์เข็ญมาสู่สรรพชีวิต
มีคนคาดเดาว่ามารเทพที่ถูกผนึกไว้ตั้งแต่ยุคก่อนผู้นี้ ก้าวเหนือระดับบรรพจารย์ไปแล้ว ส่วนจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่นั้น ไม่มีใครล่วงรู้
เมืองยอดยุทธ์ประสบเคราะห์ สถานการณ์อันตรายถึงขีดสุด
ต่อให้ไป๋เจี้ยนเฉินใช้พลังผนึกปกคลุมทั้งเมือง ต้านไว้ได้เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถูกมารเทพตี้สือทำลายในฝ่ามือเดียว
เมืองยอดยุทธ์อันกว้างใหญ่ไร้การป้องกันโดยสมบูรณ์!
เมื่อเห็นว่าด่านนภาอมตะที่เก้ากำลังจะถูกทำลาย บุคคลน่ากลัวที่จากโลกยอดนิรันดร์ทั้งหมดต่างเข้าร่วมสู้ศึกกับมารเทพตี้สือเหนือฟ้าดารา
นี่คือกองทัพเสริมที่ไป๋เจี้ยนเฉินเชิญมา
เขาเตรียมการรับมือเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่พวกหลินสวินเข้าร่วมการทดสอบ
และนับแต่วันนี้ไป หินทรายปลิวว่อน ลมทะมึนกราดเกรี้ยว สีเลือดกวาดนภา มหาศึกเหนือฟ้าดาราดุเดือด มีดวงดาวถล่มร่วงโรยเปื้อนเลือดอยู่ตลอด
สภาพเช่นนี้ดำเนินอยู่สามปีเต็ม ไม่มีใครเข้าใกล้ได้ บรรพจารย์จักรพรรดิผู้หนึ่งลองรวบรวมความกล้า ผลีผลามเข้าไปในบริเวณชายขอบของสามรบ ผลก็คือกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนอย่างรวดเร็ว
เพราะมหาศึกครั้งนี้เกินกว่าระดับบรรพจารย์ไปนานแล้ว เป็นการประชันอันไร้เทียมทานบนมรรคาอมตะ ต่อให้เป็นไป๋เจี้ยนเฉินยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม
สามปีผ่านไป เลือดไหลเป็นสายธาร ย้อมห้วงอากาศเป็นสีแดง เมืองยอดยุทธ์แตกกระจายกลายเป็นซากปรักหักพังลอยเคว้งอยู่ในห้วงอากาศ
ระดับอมตะที่เข้าร่วมการต่อสู้มาตลอดบาดเจ็บล้มตายในศึกนี้มากมาย จิตร่วงหล่น ศพปลิวว่อน ดวงดาวถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ศาสตรามรรคอมตะหรือสมบัติลับอัศจรรย์แต่ละชิ้นปะทะกันอย่างรุนแรงจนแหลกกระจุยระหว่างการต่อสู้ ทำให้ฟ้าดาราแถบนั้นยังจ่อมจม…
สามปี!
ผลลัพธ์ของมหาศึกที่เรียกได้ว่าน่าครั่นคร้ามครั้งนี้ไม่มีทางล่วงรู้ได้
ลือกันว่ามารเทพตี้สือถูกฉีกศพออกเป็นสิบกว่าส่วน ถูกเหล่าระดับอมตะผนึกไว้แล้วนำออกไป
ทั้งยังมีข่าวลือว่ามารเทพตี้สือไม่ได้ร่วงหล่น เพียงแต่ในช่วงสุดท้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส หนีไปกบดานนานแล้ว
แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ เมืองยอดยุทธ์พินาศไปแล้ว ด่านนภาอมตะที่เก้านี้ก็หายลับไปจากแดนใหญ่พันศึกโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
กรำศึกมาสามปี ทำให้เส้นทางจากด่านนภาอมตะที่แปดไปสู่ด่านนภาอมตะที่เก้าขาดสะบั้นโดยสมบูรณ์ วิเวกวังเวงไปหมด
เมื่อเรื่องกระจายออกมาก็สะเทือนไปทั้งแดนใหญ่พันศึก
พอได้รู้ข่าวนี้หลินสวินยังจิตใจปั่นป่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมืองยอดยุทธ์พังพินาศ มารเทพตี้สือไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ด่านนภาอมตะที่เก้าก็กลายเป็นกองซากในประวัติศาสตร์ลงเช่นนี้…
แล้วในตอนนั้น จะมีสิ่งมีชีวิตมากมายแค่ไหนพลอยติดร่างแห วอดวายไปในความโกลาหลครั้งนี้ด้วย
หลินสวินไม่ได้เศร้าใจอะไร เดินหน้าต่อไป ก้าวย่างไปบนเส้นทางสู่โลกยอดนิรันดร์
……
กาลเวลาผันผ่านไปปีแล้วปีเล่า
ในแดนใหญ่พันศึกอันกว้างใหญ่ไพศาล หลินสวินเดินทางเพียงลำพัง ฝ่าสมรภูมิอันตรายแห่งแล้วแห่งเล่า เข้าไปยังด่านนภาอมตะด่านแล้วด่านเล่า…
ก้าวข้ามภูเขาศพทะเลเลือด ปีนป่ายกองคนตายนับไม่ถ้วน พายุฝนคาวโลหิตตามติดไปตลอดทาง ผ่านความทุกข์เข็ญท่ามกลางความเป็นความตาย ประหนึ่งกระบี่สวรรค์ไร้เทียมทานเล่มหนึ่งเปล่งแสงแห่งชีวิตเจิดจ้า แหลมคมหาใดเทียบ ซ่อนอยู่ภายในฝักกระบี่
หลายปีมานี้เขาได้รับมหาเคราะห์ทะลวงระดับที่นอกด่านนภาอมตะที่สิบแปดครั้งหนึ่ง ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันเหนือธรรมดา
ผ่านการต่อสู้เจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดก็เหยียบย่างสู่ระดับจักรพรรดิขั้นแปด ขั้น ‘ผสานมรรค’!
ผสานมรรค
หลอมรวมมหามรรคทั้งปวงไว้ในร่างเดียว
หากกล่าวว่ากฎเกณฑ์มหามรรคห้าพันกว่าชนิดที่หลินสวินครอบครองเป็นมุกสมบัติเจิดจรัสเม็ดแล้วเม็ดเล่า เช่นนั้นขั้นผสานมรรคก็คือการใช้มรรควิถีของตนเป็น ‘เส้นด้าย’ ร้อยมุกสมบัติเหล่านี้ไว้ด้วยกันจนเกิดเป็นสร้อยมุกสมบัติเส้นหนึ่ง กลมเกลี้ยงเป็นหนึ่งเดียว
และต่อมา หลินสวินใช้เวลาอีกหนึ่งปีสร้างความมั่นคงอย่างสมบูรณ์ให้ขั้นพลังนี้ จากการต่อสู้ผ่านฝนโลหิตสารพัดรูปแบบ
หลายปีมานี้หลินสวินกรำศึกไม่ว่างเว้น ระหว่างทางก็กลายเป็นคนร้ายกาจยิ่งยวดที่ยามคนไม่น้อยพูดถึงแล้วหน้าเปลี่ยนสี เพราะคู่ต่อสู้ที่เขาสังหารมีมากมายเกินไป
ถึงตอนนี้ขอเพียงเขาปรากฏตัว ไม่ต้องแจ้งชื่อแซ่ แค่เห็นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งที่ลอยอยู่เหนือหัวเขาก็ถูกมองฐานะออก ทำให้ศัตรูหลบหนีลุกลี้ลุกลน
และหน้าประตูเมืองแต่ละแห่งในด่านนภาอมตะที่เขาเดินทางผ่าน ต่างก็แขวนประกาศจับของเขา ไม่ว่าจะเป็นลำดับหรือเงินรางวัลล้วนขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง!
ชางฝูเซิงที่อยู่อันดับหนึ่งแต่เดิมกลายเป็นอันดับสองแล้ว…
ขณะเดียวกันนี่ก็ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนยิ่งยวด ทุกครั้งที่หลินสวินเข้าสู่ด่านนภาอมตะจะต้องปิดบังร่องรอยและเปลี่ยนฐานะตัวตน หาไม่แล้วจะถูกจวนเจ้าเมืองจัดการเต็มกำลัง
และก็มีพวกที่คิดว่าตัวเองแกร่งกล้าบางคนลงมือ หมายจะสังหารเขาเพื่อกลายเป็นตำนาน แต่ต่างล้มเหลวกันไปหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
กลับยิ่งทำให้กิตติศัพท์ของหลินสวินยิ่งแกร่งกล้า สร้างผลงานการศึกนองเลือดชนิดแทบไร้พ่าย
ถ้าไม่ใช่ว่าในแดนใหญ่พันศึกนี้มีระดับอมตะปรากฏตัวน้อยนัก เกรงว่าคงมีคนมาจับตายเขาไปแล้ว
ต่อให้เป็นเช่นนี้หลินสวินก็ยังประสบอันตรายหลายครั้ง ไม่ได้เป็นภัยพิบัติจากมนุษย์ แต่ในระหว่างที่รุดหน้าไปในสมรภูมิอันตรายหาใดเทียบบางแห่ง ก็พบเจอกับพิบัติเคราะห์อันพิสดารและเป็นปริศนา และแทบจะเป็นสิ่งที่เหลือไว้จากยุคก่อนทั้งสิ้น
หลายครั้งถึงกับต้องใช้ไพ่ตายอย่างอภินิหารหยุดเวลาหรือเพลิงระเบียบดับสูญมาคลี่คลายอันตราย!
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ประสบการณ์แต่ละครั้งล้วนเป็นการขัดเกลาและชำระล้าง ไม่เพียงหลอมมรรควิถี ยังทำให้สภาวะจิตของหลินสวินหนักแน่นขึ้นด้วย
มิหนำซ้ำตลอดทางมานี้เขายังได้รับวาสนาและสมบัติมากมาย ทรัพย์สินทั้งตัวรวมกันไม่อาจประเมินค่าได้นานแล้ว
ปีที่เก้าที่ออกจากเมืองยอดยุทธ์
หลินสวินมุ่งหน้าไปในห้วงจักรวาลอันหนาวเหน็บ ซากศพร่างแล้วร่างเล่าลอยอยู่ในเขตแดนดาราต่างๆ เป็นระยะ เลือดสดๆ แข็งตัวไปนานแล้ว
ด้วยการเคี่ยวกรำมานานเช่นนี้ เขาเหยียบลงบนซากศพนับไม่ถ้วน กรุยทางข้างหน้าด้วยเลือด ทำให้ความสง่างามทั้งตัวตกตะกอนประหนึ่งหลอมตีมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง
ยามหยุดนิ่ง เงียบเชียบดุจหุบเหว ไม่อาจหยั่งถึงมรรค
ยามเคลื่อนไหว ประหนึ่งนายเหนือหัวเยือนโลก อานุภาพเฉียบคมทะลวงไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!
ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเคยถูกบรรพจารย์มรรคผู้หนึ่งซุ่มโจมตี อาศัยเพียงพลังต่อสู้ของตัวเองกับเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์!
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ยิ่งครั้งหนึ่ง ทั้งยังเป็นผลงานที่ประหนึ่งทำลายปราการสวรรค์
บรรพจารย์จักรพรรดิดุจปราการสวรรค์ กดข่มระดับจักรพรรดิ ไม่อาจก้าวล้ำได้
แต่ตอนนี้ หลินสวินไม่ต้องอาศัยไพ่ตายก็สามารถก้าวผ่าน ไม่เพียงแค่ต้านทาน แต่ยังกำราบสังหารได้!
หากเรื่องเช่นนี้กระจายออกไป จะต้องสะเทือนใต้หล้า ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่านับไม่ถ้วนครั่นคร้าม
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ทั้งหมดนี้เหมือนน้ำมาคลองก็เกิด เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ก็มีพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดชั้นกลางมานานแล้ว เมื่อผ่านการต่อสู้สังหารมาหลายปี ก็ทำให้พลังต่อสู้ที่เขามีแปรสภาพไปไม่รู้กี่ครั้ง
ถึงขั้นว่ากระทั่งเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยังอาบเลือดจักรพรรดิในระหว่างการต่อสู้หลายปีมานี้ แปรสภาพอย่างแปลกประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
“เก้าปีแล้ว…”
หลินสวินปรากฏตัวบนดาวโบราณดวงหนึ่งเพียงลำพัง นั่งขัดสมาธิ พายุทรายลูกใหญ่ม้วนตลบพัดให้ผมเขาปลิวยุ่งเหยิง
เขาผ่อนคลายนัก หยิบเอาน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอย่างหนำใจ ลิ้มรสความสงบอันหาได้ยากยิ่งอยู่คนเดียว
เส้นทางเสาะแสวงมหามรรค สิ่งที่ไม่เคยจากไปไหนก็คือความโดดเดี่ยวเดียวดาย
หลายปีมานี้เขาเดินทางคนเดียว ต่อสู้คนเดียว ต้านศึกนองเลือดกับการเข่นฆ่าทั้งปวงอยู่คนเดียว นั่งสงบใจคนเดียว ดื่มเหล้าคนเดียว…
ถ้าคิดดูดีๆ ตั้งแต่เข้าสู่เมืองตั้งต้นของแดนใหญ่พันศึกจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสิบสามปีเต็มๆ แล้ว!
ในคืนวันที่ดูเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเข่นฆ่าและต่อสู้
นอกจากนี้ก็มีแต่เร่งเดินทาง
“สามจอกเจนจัดมหามรรค หนึ่งกาหลอมรวมกับธรรมชาติ การเดินทางบนเส้นทางนี้ มีเพียงสุราเลิศในกาที่ไม่ทำให้ผิดหวัง”
ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินยิ้มน้อยๆ ดื่มเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าจนหมด จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน เงาร่างสันโดษหายลับไปในพายุทรายที่ถาโถมนั้น
เขาออกเดินทางอีกครั้ง
นี่เป็นเส้นทางอันรุ่งโรจน์โชติช่วง ทั้งยังโดดเดี่ยวและอันตราย
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจนตอนนี้ เหล่าผู้กล้าที่มาจากแดนใหญ่พันศึกนับไม่ถ้วนสิ้นชีพลงที่นี่ แต่ผู้ที่รอดไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้จริงๆ ในพันคนกลับไม่มีสักคน
บนเส้นทางสายนี้หลินสวินไม่หวั่นกลัว ต่อสู้กับศัตรูทั้งปวง ได้พบเห็นสารพัดวิชาบนโลก เดินทางเพียงลำพังเงียบๆ ความเฟื่องฟูร่วงโรย หวนสืนสู่ความเรียบง่าย
หากเหนื่อยล้าก็นั่งสงบนิ่งอยู่กลางจักรวาล จากนั้นลุกขึ้นเดินหน้าต่อ
……
สิบแปดปีผ่านไป
กลางจักรวาลที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
เส้นทางที่ปูด้วยดวงดารานับไม่ถ้วนสายหนึ่งดั่งรุ้งเทพแผ่ขยายไปยังปลายทาง
“ทางสายนี้ได้รับการขนานนามว่าเส้นทางแสนดารา! ที่ปลายทางก็คือด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้า!”
เงาร่างอันตระการตาเปล่งประกายกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น เมื่อเห็นเส้นทางที่เปล่งแสงดาวงดงามออกมาต่างก็เผยสีหน้าตื่นเต้น
คนกลุ่มนี้คือเหล่าผู้ที่เดินทางมา ฝ่าฟันในแดนใหญ่พันศึกมานานปี ผ่านพายุทมิฬและการนองเลือดนับไม่ถ้วน และรอดมาได้ในท้ายที่สุด
“เส้นทางแสนดารามุ่งหน้าสู่สวรรค์ และตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็มีโอกาสไปยังโลกยอดนิรันดร์แห่งนั้นแล้ว…”
“หลายปีผ่านไปไวเหมือนดีดนิ้ว หลังจากผ่านโลกมามาก วันหน้าย่อมแจ้งมรรคเหนืออมตะ!”
เงาร่างเหล่านี้ทอดถอนใจ แต่ละคนกลิ่นอายน่ากริ่งเกรง มุ่งหน้าไปบนเส้นทางแสนดารา สีหน้าต่างตั้งตาคอยและตื่นเต้นอย่างยากปกปิด
ขณะที่ไม่ทันรู้ตัว เสียงมรรคที่ราวกับคลื่นสวรรค์เป็นระลอกดังขึ้นบนเส้นทางแสนดารา ดังสนั่นจนหูแทบดับ ประหนึ่งอักขระคัมภีร์ขับขาน คล้ายเทพโบราณบรรยายมรรค กระจ่างแจ้งเป็นที่สุด ทำให้ผู้คนตื่นรู้
และที่เบื้องหน้านั้น แสงดาวดั่งวารี เจิดจ้าและแจ่มกระจ่าง ทั้งยังมีเมฆหมอกลึกลับขมุกขมัว ราวกับมาถึงเมืองเซียนแห่งหนึ่ง
พอเห็นเค้าร่างของเมืองนี้ ทุกคนต่างก็เคลิบเคลิ้ม
เพราะเมืองนี้มีนามว่าจรดฟ้า
เป็นด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้าในแดนใหญ่พันศึก เป็นด่านสุดท้ายสู่โลกยอดนิรันดร์!
——