Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2520 คลื่นโหมซัดสาด เขามาเพียงลำพัง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2520 คลื่นโหมซัดสาด เขามาเพียงลำพัง

ประกายดวงดาวพรั่งพรู หมื่นมรรคสาดแสง

ปลายทางเส้นทางแสนดารา เมืองโบราณที่สูงตระหง่านและกว้างใหญ่แห่งนั้น เหนือกว่าทุกเมืองที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ เป็นด่านสุดท้ายแล้ว

มันเหมือนหล่อมาจากทองเทพ ประกายที่เย็นเยียบไหวกะพริบ มีรัศมีสีแดงทึบชั้นหนึ่งปรากฏรางๆ เหมือนแสงเลือดเป็นจุดๆ

เล่าลือกันว่านี่คือเลือดจักรพรรดิที่ไหลออกมายามผู้แข็งแกร่งร่วงหล่นในการต่อสู้ตั้งแต่อดีตกาล ถึงขั้นมีเลือดของระดับอมตะ

แน่นอนว่าเหือดแห้งไปนานแล้ว แก่นพลังกระจายไปสิ้น ไม่เช่นนั้นเมืองแห่งนี้จะต้องมีไอสังหารพลุ่งพล่าน ไม่สามารถเข้าใกล้ได้

หอกำแพงเมืองขนาดใหญ่สูงหลายพันจั้ง ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ยักษ์ดึกดำบรรพ์ก็สามารถผ่านได้ ยิ่งใหญ่ทรงพลัง เผยความรู้สึกกดดันที่สะเทือนใจคน

นี่เป็นประตูที่หล่อจากทรายเทพธารดาราผสานกับวัตถุอมตะคู่หนึ่ง ทำให้คนสั่นสะเทือน

นี่ ก็คือเมืองจรดฟ้า!

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันจะมาถึง

ว่ากันว่าเมืองจรดฟ้าเหมือนท่าข้ามฟากแห่งหนึ่ง ขอเพียงมาถึงที่นี่ ก็จะมีโอกาสล่องไปยังโลกยอดนิรันดร์!

ตอนนี้หน้าประตูที่สูงใหญ่โออ่านั่นมีเงาร่างมากมายรวมตัวกัน

แต่ละคนกลิ่นอายแข็งแกร่ง แผ่อานุภาพที่ผิดแผก บ้างองอาจไร้ที่เปรียบ บ้างอหังการล้นฟ้า บ้างราวกับเทพธิดามาเยือน บ้างประหนึ่งราชันท่องโลก…

ทุกคนล้วนแข็งแกร่งจนทำให้คนใจสั่น

เมื่อเงาร่างพร่างพรายกลุ่มนั้นแบกความตื่นเต้นมาถึง เมื่อเห็นภาพนี้ต่างอดนัยน์ตาหดรัดลงไม่ได้ ใจเย็นลง

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ใครที่สามารถเข้าสู่แดนใหญ่พันศึกได้ ล้วนเป็นพวกน่ากลัวที่ระดับจักรพรรดิ

และคนที่สามารถเดินทางจากด่านนภาอมตะที่หนึ่งจนมาถึงด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้าได้ ล้วนเป็นบุคคลชั้นเลิศที่โดดเด่นที่สุดในระดับจักรพรรดิ เป็นพวกร้ายกาจที่ยากจะหาในหมื่นคน!

“ทุกคนไม่ต้องกังวล เมืองจรดฟ้าไม่เหมือนที่อื่น แม้เป็นมารชั่วที่เข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน เพียงแค่สามารถรอดชีวิตมาถึงที่แห่งนี้ได้ก็จะไม่ถูกมองเป็นศัตรู ยิ่งไม่ถูกประกาศจับ” มีคนพูดเสียงเบา สีหน้านิ่งสงบ

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเมืองจรดฟ้ามีกฎเหล็กข้อหนึ่ง ไม่เพียงห้ามเข่นฆ่าและขัดแย้ง ยังถึงขั้นที่ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากโลกยอดนิรันดร์ หากฝ่าฝืนกฎเหล็กนี้ก็จะถูกกำราบ!

สิ่งที่ต่างจากด่านนภาอมตะอื่นๆ ก็คือ ผู้ที่พิทักษ์กฎของเมืองจรดฟ้าไม่ใช่จวนเจ้าเมือง แต่เป็น ‘วิญญาณระเบียบ’ ดวงหนึ่ง!

วิญญาณระเบียบตนนี้ถูกเรียกว่า ‘เฮ่าเทียน’ ลือกันว่ามาจากเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหนึ่งในน่านฟ้าที่เก้าเมื่อนานมาแล้ว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฮ่าเทียนควบคุมดูแลอยู่ที่นี่ เที่ยงตรงไม่ลำเอียงมาโดยตลอด ไม่เลือกปฏิบัติ ใครที่ก่อเรื่องในเมืองจะถูกลงโทษสถานหนักทั้งหมดแทบจะในทันที!

“ไม่ผิด แม้เจอศัตรูที่มีความแค้นลึกล้ำ ก็ไม่กล้าลงมือในเมืองแห่งนี้”

“ว่ากันว่าเมื่อก่อนเคยมีผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนึ่งของน่านฟ้าที่เจ็ด เพราะลงมือโดยพลการในเมืองจึงถูกเฮ่าเทียนสังหารคาที่”

ระหว่างสนทนา ผู้ฝึกปราณที่เพิ่งมาเหล่านี้ต่างผ่อนคลายลง

“ดูนั่น ชางฝูเซิงมาแล้ว!”

บริเวณประตูเมืองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เกิดความฮือฮา

ทุกคนเงยมองไป ก็เห็นว่าไกลออกไปมีชายชุดขาวที่ท่าทางเย่อหยิ่ง ผมยาวพลิ้วไหวเดินมาอย่างเนิบช้า เหนือศีรษะเขามีโลงศพทองแดงสีทองขนาดประมาณเจ็ดชุ่นลอยอยู่

เมื่อมองไป คนผู้นี้แผ่กลิ่นกายเย่อหยิ่งที่ชวนกดดันออกมาทั่วร่าง มีความเผด็จการที่ข้าอยู่เหนือผู้ใด!

คนไม่น้อยต่างเผยสีหน้าประหลาด

แปดพันปีมานี้ ชื่อของชางฝูเซิงดังกึกก้องอยู่ในแดนใหญ่พันศึก เคยขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งของประกาศจับ ระดับอมตะที่ตายในมือเขามีไม่รู้เท่าไหร่

ทว่าจนตอนนี้ยังไม่มีใครทำอะไรเขาได้

หนึ่งเพราะพลังต่อสู้ของเขาน่ากลัวเกินไป ครอบครองพลังระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดขั้นสมบูรณ์ อีกหนึ่งเป็นเพราะร่องรอยของเขาเลื่อนลอย น้อยมากจะปรากฏตัว

เดิมทีผู้คนต่างคิดว่าเขาไปจากแดนใหญ่พันศึกนานแล้ว มุ่งหน้าไปยังโลกยอดนิรันดร์

ใครจะคิดว่าวันนี้เขากลับปรากฏตัวหน้าเมืองจรดฟ้า!

กระทั่งเงาร่างของชางฝูเซิงหายไปในประตูเมืองถึงมีคนยิ้มพูด “เจ้าหมอนี่ก็ใจกล้าเกินไปแล้ว”

“ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเมืองจรดฟ้า ต่อให้เป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ประกาศจับเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้าลงมือในเมืองนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เกรงกลัว”

มีคนอธิบายเสียงเบา

“ชางฝูเซิงที่ไม่เคยปรากฏตัวมานานก็มาแล้ว เกรงว่าคงเป็นเพราะเรื่องสมรภูมิทวยเทพนั่น” มีคนสายตาแปลกประหลาด

“ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ว่ากันว่าอย่างน้อยสามถึงห้าเดือน อย่างมากหนึ่งปี โบราณสถานทวยเทพที่ถูกมองว่าเป็นเขตผนึกอันดับหนึ่งนั่นจะปรากฏประตูออกมา ผู้ฝึกปราณสามารถเข้าไปได้ ถึงตอนนั้นสมรภูมิทวยเทพในตำนานก็จะปรากฏขึ้นตามมา!”

มีคนทอดถอนใจ

ช่วงที่ผ่านมานี้ในเมืองจรดฟ้ามีคลื่นโหมซัดสาด บุคคลชั้นยอดที่โดดเด่นและแข็งแกร่งยิ่งยวดไม่รู้เท่าไรกำลังรอการปรากฏของสมรภูมิทวยเทพ

ถึงขั้นที่มีพวกกร้าวแกร่งจากโลกยอดนิรันดร์มากมายหลั่งไหลเข้ามาเช่นกัน หมายจะเข้าร่วมช่วงชิงศุภโชคที่อยู่ภายใน

ควรรู้ว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โบราณสถานทวยเทพถูกมองเป็นเขตผนึกอันดับหนึ่งของแดนใหญ่พันศึก ใครที่เข้าไปโดยพลการล้วนมีแต่ตาย ต่อให้เป็นระดับอมตะก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

และในข่าวลือ ในโบราณสถานทวยเทพยังมีความลับสูงสุดของยุคก่อน

ตอนที่สมรภูมิทวยเทพปรากฏ ก็หมายความว่าความลับสูงสุดของยุคก่อนปรากฏสู่โลกเช่นกัน!

ดังนั้นไม่เพียงแค่ช่วงนี้ ในสิบกว่าปีมานี้ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาถึงเมืองจรดฟ้า ล้วนเลือกอยู่ต่อแทบจะทั้งหมด อดกลั้นต่อโอกาสที่จะเดินทางไปยังโลกยอดนิรันดร์ทันที เพื่อรอคอยสมรภูมิทวยเทพนั่น

ถึงตอนนี้ในเมืองจรดฟ้าก็มีสภาพเหมือนถ้ำเสือวังมังกร เลือกใครสักคนมาแบบสุ่มๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพวกร้ายกาจเลิศล้ำที่เก็บซ่อนฝีมืออย่างที่สุดคนหนึ่ง

ถึงขั้นที่เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตมาไม่รู้นานเท่าไหร่บางส่วนยังจะเข้าร่วมด้วยโดยไม่สนศักดิ์ศรีอะไร เพื่อแสวงหาศุภโชค

“นั่น… นั่นคงไม่ใช่คนสะพายดาบคนนั้นกระมัง”

ทันใดนั้นมีคนส่งเสียง เผยความประหลาดใจ

ใกล้ๆ ระตูเมือง คนมากมายต่างมองไป และเห็นชายที่สวมหมวกงอบคนหนึ่ง แผ่กลิ่นอายแรกกำเนิดคลุมเครือทั้งร่าง ไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน มองเห็นได้เพียงแผ่นหลังของเขาสะพายดาบที่ขึ้นสนิมกระดำกระด่าง

เมื่อผู้คนมองไป ในใจล้วนหนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายที่แผ่จากร่างของชายสวมงอบ

ไม่นานชายที่สวมงอบก็หายไป

แต่ในที่นั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วทุกสารทิศแล้ว

“เป็นเขาจริงๆ คนสะพายดาบที่ลึกลับที่สุดบนประกาศจับ!”

“คิดไม่ถึงว่าเขาจะถึงกับปรากฏตัวเช่นกัน…”

“ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ว่าตอนที่สมรภูมิทวยเทพปรากฏ จะมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวยิ่งยวดเท่าไหร่เข้าร่วม” ในเสียงแฝงความสะท้านสะเทือน

“ที่แปลกคือหลินสวินที่อยู่ในอันดับหนึ่งของประกาศจับ จนตอนนี้กลับยังไม่ปรากฏตัว คงไม่ใช่… ร่วงหล่นไปแล้วกระมัง”

จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้น

หลินสวิน!

บรรยากาศบริเวณประตูเมืองเงียบสงัดลงโดยพลัน ผู้ฝึกปราณเหล่านั้น ในใจล้วนพลิกตลบไประลอกหนึ่ง

แดนใหญ่พันศึกในตอนนี้ ชื่อนี้เป็นตัวแทนของมกุฎมหาจักรพรรดิที่มีตำนานหลากหลายคนหนึ่ง

พวกร้ายกาจยิ่งยวดที่ถูกพูดถึงทีไรก็สร้างความฮือฮาได้เสมอ!

เรื่องนองเลือดที่เขาสร้างขึ้นมีนับไม่ถ้วนจริงๆ จนตอนนี้ทั้งแดนใหญ่พันศึกไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา

“คนน่ากลัวเช่นนี้จะร่วงหล่นได้อย่างไร”

มีคนสายตาพริบไหว “แต่ข้าได้ยินมา ช่วงนี้ในเมืองมีคนลือไม่น้อย ว่ามีคนกล่าวว่าขอเพียงหลินสวินคนนี้กล้าปรากฏตัวในสมรภูมิทวยเทพก็จะตัดหัวเขาซะ!”

มีคนไม่เห็นด้วย “คำพูดเช่นนี้คนพูดมีมากมาย แต่จนตอนนี้หลินสวินนั่นก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดีไม่ใช่หรือ”

“ไม่ ครั้งนี้คนที่พูดคือมกุฎมหาจักรพรรดิที่มาจากน่านฟ้าที่เจ็ดคนหนึ่ง เป็นผู้นำในบรรดาคนรุ่นเยาว์”

“หนานเทียนเจิงหรือ”

“ไม่ผิด!”

ในที่นั้นเงียบลงทันที หนานเทียนเจิงถึงกับเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าจะฆ่าหลินสวินหรือ

นี่ทำให้ผู้คนไม่สามารถสงบได้

ในเมืองจรดฟ้าตอนนี้ หนานเทียนเจิงเป็นหนึ่งในมกุฎมหาจักรพรรดิที่โดดเด่นที่สุดขุมอำนาจในเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างแน่นอน

เขามาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนานที่ครอบครองระเบียบระดับสวรรค์ขั้นแปด มีปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดขั้นสมบูรณ์ มีพลังสายเลือดเย้ยฟ้าในร่าง รากฐานพลังน่ากลัวอย่างที่สุด

ว่ากันว่าแม้แต่บรรพจารย์จักรพรรดิยังไม่อยู่ในสายตาของหนานเทียนเจิง!

บางทีในการต่อสู้ซึ่งหน้า อาจไม่สามารถตัดสินได้ว่าเขากับหลินสวินใครแข็งแกร่งกว่ากันแน่ แต่เบื้องหลังและฐานะของหนานเทียนเจิง ล้วนสามารถสร้างการคุกคามที่อันตรายถึงชีวิตให้กับหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย

“เพราะเหตุใด” มีคนอดถามไม่ได้

“ใครจะรู้ ความคิดของคนในเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นจะสามารถถูกล่วงรู้ได้ง่ายๆ ได้อย่างไร”

“เหอะๆ เท่าที่ข้ารู้ คนที่อยากฆ่าคนอย่างหลินสวินต้องมีไม่น้อยแน่ ใครใช้ให้ตลอดทางนี้เขาสังหารมากเกินไปเล่า เมื่อไม่เห็นใครในสายตา ก็ต้องตายตกไปตามกัน!”

ชายรูปร่างผอมซูบที่ท่าทางราวกับบัณฑิตคนหนึ่งยิ้มหยัน เผยความสะใจในความทุกข์ของผู้อื่น

ก็เป็นตอนนี้เองที่เสียงราบเรียบหนึ่งดังมาจากเส้นทางแสนดารานั่น

“นี่เจ้ากำลังมองข้าเป็นศัตรูหรือ”

ประโยคเดียวดังมาเบาๆ ความหมายในคำพูดกลับทำให้ทุกคนในที่นั้นหยุดสนทนา หันไปมองโดยพร้อมเพรียง

ก็เห็นเงาร่างสูงสง่าที่สวมชุดสีขาวพระจันทร์ร่างหนึ่ง เดินมาจากไกลอย่างผ่อนคลาย ผมดำพลิ้วไหว ราบเรียบละโลกีย์ ในมือยังถือน้ำเต้าสุราเปลือกเขียว ท่าทางเกียจคร้าน ดุจเมฆที่ลอยผะแผ่ว

ทั้งที่เขาไม่มีอานุภาพอะไร แต่ยามเห็นเขาปรากฏตัว ในที่นั้นกลับเงียบกริบ ทุกคนล้วนเบิกตาโพลง

สีหน้าของคนไม่น้อยปรากฏความหวาดกลัวอย่างไม่สามารถสกัดกั้นได้

ส่วนชายที่ท่าทางราวกับบัณฑิตคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน แต่เหมือนตระหนักได้ถึงบางอย่าง จึงพูดเย้ยหยัน “คิดไม่ถึงว่าเจ้าหลินสวินถึงกับรอดชีวิตมาถึงเมืองจรดฟ้า ช่างทำให้คนผิดหวังจริงๆ”

คนผู้นี้ย่อมเป็นหลินสวิน

หลังออกจากเมืองยอดยุทธ์ เขาผ่านการต่อสู้และเดินทางมาสิบแปดปี ในที่สุดก็มาถึงหน้าเมืองจรดฟ้าแห่งนี้!

อีกทั้งยังไม่ปกปิดฐานะและหน้าตา

“นี่อยู่นอกเมืองนะ ไม่ใช่ในเมือง เจ้าไม่กลัวข้าฆ่าเจ้าหรือ” ดวงตาดำของหลินสวินลุ่มลึก มองดูบัณฑิตคนนั้น เท้าก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

ชายบัณฑิตแข็งทื่อไปทั้งตัว

“เจ้าจะทำอะไร”

เขาเหมือนกระต่ายที่ตื่นตูมเกินเหตุตัวหนึ่ง กระโดดเข้าไปในประตูเมืองใหญ่โตที่สูงหลายพันจั้งทันที

“เจ้าหนีอะไรอีก” หลินสวินยิ้ม เผยความเย้ยหยัน

ใกล้ๆ ประตูเมืองก็มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นระลอกหนึ่ง แก้มของชายบัณฑิตคนนั้นแดงก่ำทันที อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท