Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2533 ก้าวเดียวตัดสินเป็นตาย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2533 ก้าวเดียวตัดสินเป็นตาย

ตอนที่ 2533 ก้าวเดียวตัดสินเป็นตาย

เคร้ง!

ทวนศึกส่งเสียงฮึกเหิม

ยังไม่ทันสิ้นเสียง หนานเทียนเจิงบุกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ เงาร่างดุจอสนี จู่โจมไปทางหลินสวินเหมือนดวงตะวันสีเขียว

แค่อานุภาพนั้นหนานเทียนป้าก็ไม่อาจเทียบได้แล้ว

สีหน้าหลินสวินราบเรียบ หนานเทียนเจิงคนนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวอันตรายจริงๆ ถือเป็นบุคคลแห่งยุคในระดับเดียวกัน

แต่สำหรับหลินสวิน สายตาเขาอยู่เหนือคนรุ่นเดียวกันนานแล้ว แม้แต่บรรพจารย์จักรพรรดิยังกำราบได้ หนานเทียนเจิงจะเทียบได้อย่างไร

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินรู้สึกกดดันคือทวนศึกในมือหนานเทียนเจิงนี้ เป็นศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ชิ้นหนึ่งที่ยากพบเห็นจริงๆ เต็มไปด้วยไอสังหารไร้ใดเปรียบ แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

ตูม!

แสงมรรคพร่างฟ้าพุ่งทะลวงชั้นเมฆ

บนสมรภูมิทวยเทพ คลื่นมหามรรคชั้นแล้วชั้นเล่าประสานกันกลางอากาศ กลายเป็นพลังป้องกันที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง

เป็นพลังผนึกซึ่งวางไว้ตั้งแต่ยุคก่อนพวกนี้ที่ขวางคลื่นพลังจากการต่อสู้ไม่ให้ม้วนพัดออกไป ไม่อย่างนั้นต้องนำมาซึ่งภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดาแน่

การต่อสู้ของหลินสวินกับหนานเทียนเจิงนี้ เมื่อเริ่มปะทะก็เกิดประกายไฟเจิดจ้า งดงามตระการตา

การประมือของทั้งสองคนเร็วเกินไป พลังหมัดและประทับฝ่ามือของหลินสวินปะทะทวนศึกของหนานเทียนเจิงกลางอากาศ นั่นคือการต่อสู้ระหว่างกฎเกณฑ์มหามรรคหลากสาย มาพร้อมกับภาพเบิกฟ้าผ่าดิน

สุดท้ายพวกเขาต่างพุ่งตัวออกไป ยืนอยู่กันคนละฟากอากาศ ทั้งสองต่างหันกลับไปมองอีกฝ่าย แววตาล้วนเยียบเย็นดุจอสนี พาให้ใจคนหวาดหวั่น

ทั้งสองเผชิญหน้ากัน มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูอย่างเย็นชา

หลายคนใจเต้นตึกตัก นี่คือการต่อสู้ที่ยากพบเห็นจริงๆ มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดเหมือนกัน เปิดฉากต่อสู้แห่งยุคในระดับนี้

ครู่ต่อมาพวกเขาพุ่งปะทะกันอีกครั้ง เร็วยิ่งกว่าอสนีสองสาย หนานเทียนเจิงอ้าปากพ่นประทับ นั่นคือพลังที่ร้อยเรียงจากกฎเกณฑ์ ส่องประกายลานตา

ฟ้าสะท้านดินสะเทือน ราวกับจักรวาลดับสลาย ทั่วทิศไม่เสถียร ดินน้ำลมไฟปรากฏขึ้นพร้อมกัน หมอกควันขุ่นมัวเริงระบำ

แต่ไม่ว่าเขาจะใช้วิชายุทธ์อะไร ทั้งหมดล้วนถูกหลินสวินสลายได้อย่างสบาย

ทุกคนตกตะลึง พลังต่อสู้ที่หลินสวินเผยออกมาน่าเหลือเชื่อเกินไป ใช้มือเปล่า ทั้งพลังปราณยังอยู่แค่ขั้นกลางของระดับนี้ แต่สู้กับหนานเทียนเจิงที่อยู่ขั้นสมบูรณ์ได้ ไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ

“ฆ่า!”

หนานเทียนเจิงสีหน้าเคร่งขรึม โชติช่วงชัชวาลไปทั้งตัวเหมือนดวงตะวันสีเขียวส่องประกาย เปลวเพลิงพลุ่งพล่าน เขาเดินเข้ามาทีละก้าว กลิ่นอายแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัวในชั่วขณะเดียว

ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน เห็นชัดว่าหนานเทียนเจิงใช้วิชาลับชวนประหวั่นบางอย่าง ทำให้พลังต่อสู้ของตนเพิ่มขึ้นเท่าทวี!

นี่น่าหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย

หนานหย่งเชียงแววตาซับซ้อน วิชาลับที่หนานเทียนเจิงใช้ แม้จะทำให้พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นเท่าทวี แต่กลับมีข้อเสียอย่างมาก ด้วยทำลายฐานมรรคของตน

แต่เห็นชัดว่าเพื่อสังหารหลินสวิน หนานเทียนเจิงไม่สนเรื่องทั้งหมดนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

ตูม!

หนานเทียนเจิงพุ่งไปข้างหน้า เงาร่างบดขยี้ห้วงอากาศ เขาเหมือนเทพองค์หนึ่ง หลอมกายตัวเอง ต้องการทำลายสรรพสิ่งทั่วหล้า

เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นดวงตะวันเคลื่อนขวางเก้าชั้นฟ้า ปกคลุมหลินสวินไว้เบื้องล่าง บุกจู่โจมอย่างต่อเนื่อง ทวนศึกเผยพลังสังหารสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

พริบตานี้หลินสวินขมวดคิ้ว ทั้งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงด้านพลังต่อสู้ของหนานเทียนเจิง ก็รับรู้ว่าวิชาลับที่อีกฝ่ายสำแดงเป็นไปได้สูงว่าเหมือนโทสะหยาจื้อกับวิชาอริยะยุทธ์ ล้วนทำให้พลังต่อสู้ของตนเพิ่มขึ้นเท่าทวีได้ในเวลาอันสั้น

หนานเทียนเจิงเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิมแล้ว อานุภาพแข็งแกร่ง ห้อตะบึงทั่วสมรภูมิ โจมตีอย่างเสิบสาน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นต่อ

และหลินสวินเริ่มตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ

“เจ้าหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งจริงๆ หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคที่ไร้หนึ่งในหมื่น แต่เจ้าจองหองเกินไป ไม่เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน!” แววตาหนานเทียนเจิงราบเรียบ

ในน่านฟ้าที่เจ็ด บุคคลเช่นเขาล้วนทะลวงออกมาจากศึกนับหมื่นพัน ผ่านการเข่นฆ่านองเลือดนานัปการถึงประสบความสำเร็จเช่นวันนี้ได้

“พี่ชาย รีบฆ่าเขาเลย เก็บพลังจิตของเขาไว้แล้วนำไปหลอมรวมกับสมบัติ ทำให้เขาอยากตายก็ไม่ได้ อยากอยู่ก็ไม่สามารถชั่วกาล!”

บนลานประลอง เหล่าคนตระกูลหนานฮึกเหิม ตะโกนด้วยความตื่นเต้นแฝงความแค้นเข้ากระดูก

“หากว่านี่คือคำสั่งเสียของเจ้าก็นับว่าเหมาะสม ตอนนี้ข้าคนแซ่หลินจะให้เจ้ารู้จักคำว่า ‘เหนือคนยังมีคน’ ที่เจ้าพูดถึง!”

หลินสวินที่ดูเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอดยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปากทันที เงาร่างสูงตระหง่านของเขาพลันพุ่งออกไป เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็นบุกโจมตี

อานุภาพของเขาราวกับภูเขาไฟที่เงียบสงบมานานปีระเบิดออกในยามนี้

การโต้กลับนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ใครก็คาดไม่ถึง เห็นอยู่ว่าหลินสวินใกล้ถูกกำราบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะระเบิดพลังกะทันหัน อานุภาพแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัวในชั่วขณะเดียว!

ตูม!

เขาโจมตีหนานเทียนเจิงซึ่งหน้า ยังคงใช้มือเปล่า แต่อานุภาพกลับต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ ทุกการโจมตีล้วนเผยท่าทางไม่อาจทัดเทียม

แรงโจมตีนี้บีบจนหนานเทียนเจิงต้องถอยหลัง ร่างกายปวดร้าว ไม่นานยามเนื้อหนังของเขาถูกพลังหมัดซัดโดน รอยเลือดหลากสายก็ปรากฏ

หนานเทียนเจิงหน้าเปลี่ยนสีทันที หลินสวินในตอนนี้ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน หรือว่านี่คือพลังที่แท้จริงของเขา

หลินสวินเหวี่ยงหมัด มีอานุภาพถล่มเวิ้งฟ้า แค่ขยับแขนก็บีบห้วงอากาศจนพังทลาย พลังป้องกันของสมรภูมิทวยเทพล้วนสั่นสะเทือนไปพักหนึ่ง

เหตุการณ์เช่นนี้อย่าว่าแต่หนานเทียนเจิง แม้แต่ผู้คนที่ชมการต่อสู้ในลานประลองก็ยังไหวหวั่น ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ความผกผันนี้เร็วเกินไปแล้ว ทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ทันตั้งตัวและยากจะเชื่อ

“ฆ่า!” หนานเทียนเจิงตวาดลั่น โจมตีเต็มกำลัง วางแผนกำราบหลินสวินใหม่อีกครั้ง

“ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่” หลินสวินทอดถอนใจ

เห็นเพียงรอบตัวหลินสวินพลันมีปราณกระบี่เร้นลับเกินคาดเดาหลากสายพุ่งออกมา ราวกับแสงจักรวาลสาดพรม พวยพุ่งออกมากลางสมรภูมิทวยเทพ

ท่ามกลางเสียงปะทะอึกทึกสนั่นหู ทวนศึกของหนานเทียนเจิงถูกซัดจนส่งเสียงครวญ ต่อให้พุ่งตัวหลบอย่างต่อเนื่องก็ไม่รอด ถูกปราณกระบี่ฟาดฟันจนน่าอนาถ เริ่มได้รับบาดเจ็บ

เริ่มจากไหล่ซ้ายถูกฟันดังฉัวะ บุปผาโลหิตพุ่งสาดขึ้นไป แขนเกือบถูกตัดขาด ตามด้วยเสียงดังเปรี๊ยะ เกี้ยวประดับขนนกที่สวมบนศีรษะเขาถูกซัดละเอียด ทำให้ผมเขาสยายออก หน้าผากปรากฏรอยเลือด

บนลานประลองพลันมีเสียงร้องอุทานดังขึ้น เหล่าคนตระกูลหนานล้วนหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเขายังรอหนานเทียนเจิงกำราบหลินสวินอยู่เลย

แต่เพียงชั่วขณะเท่านั้นทุกอย่างกลับพลิกผัน หนานเทียนเจิงตกอยู่ในอันตราย!

“เจ้านี่ซ่อนพลังลึกล้ำยิ่ง!”

หนานเทียนเจิงสีหน้าอึมครึม คิดว่าหลินสวินเก็บงำพลังไว้เพื่อรอปลิดชีพเขาในช่วงเวลาสำคัญนี้ เจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินไปแล้ว

“ข้าแค่ห่วงว่าจะทำลายทวนศึกเล่มนั้น เดี๋ยวจะขายไม่ได้ราคา” หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง

ผู้คนได้ยินแล้วอยากกระอักเลือด ศึกนองเลือดตัดสินเป็นตายเช่นนี้ ยังนึกถึงของนอกกายพวกนี้อีก นี่เป็นการถากถางและท้าทายหนานเทียนเจิงอย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกันผู้คนก็รู้สึกตื่นตระหนก พลังต่อสู้ของหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว

ความแข็งแกร่งของหนานเทียนเจิงล้วนถูกพวกเขาเห็นในสายตา แต่ต่อให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ อานุภาพของเขาก็ยังถูกหลินสวินกำราบ!

เวลานี้ในสมรภูมิทวยเทพ หนานเทียนเจิงผมเผ้าสยายยุ่ง ได้รับบาดเจ็บหลายจุด ถึงขั้นอเนจอนาถ สีหน้าคล้ำเขียว

“เทียนเจิงกลับมา!” หนานหย่งเชียงร้องตะโกน เขากระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก ความสามารถของหลินสวินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว อยู่เหนือการคาดเดาของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

“ข้ายังไม่แพ้”

หนานเทียนเจิงไม่สนใจ พลังกฎเกณฑ์สีเขียวปกคลุมแน่นหนาทั้งตัว พุ่งตรงไปหาหลินสวินอีกครั้ง เวลานี้กะโหลกของเขายังส่องประกาย คนตัวเล็กสีชาดคนหนึ่งปรากฏตัว ยืนอยู่หน้าหว่างคิ้ว โบกสะบัดทวนศึกราวกับโปร่งแสงเล่มหนึ่งแล้วพุ่งไปข้างหน้า

ทั่วร่างหลินสวินแสงมรรคพลุ่งพล่าน กลายเป็นแสงเปล่งประกายแถบหนึ่ง จู่โจมไปข้างหน้าเหมือนหุบเหวกลืนกิน

นี่คือการปะทะอันรุนแรง ทั้งสองปะทะกันไม่รู้กี่ครั้ง ประลองวิชาลับเหมือนท้องนภาสองฟากปะทะกัน มีเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มหามรรคที่แหลกละเอียดโปรยปรายอยู่ตลอด

ทว่าไม่นานแขนขวาของหนานเทียนเจิงที่ถือทวนศึกไว้ล้วนถูกซัดหัก เศษกระดูกและเลือดพุ่งสาดทั่วทิศ ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

“เทียนเจิง!”

หนานหย่งเชียงร้องตะโกน หน้าเปลี่ยนสีอย่างสมบูรณ์ ร้อนรนขึ้นมา “ถอยเร็ว ถอยสิ…!”

นัยน์ตาหนานเทียนเจิงฉายแววไม่ยินยอมอย่างเด่นชัด แต่เขาก็รู้ดีว่าหากสู้ต่อไปก็เปล่าประโยชน์ กลับเป็นว่ามีโอกาสสูงที่จะประสบเคราะห์

ทว่าหลินสวินไม่ให้โอกาสเขาถอนตัวหลบหนี ทันทีที่ซัดแขนขวาเขาจนหักก็ไล่ตามเพื่อปลิดชีพ

บนสมรภูมิทวยเทพเสียงมรรคดังกึกก้อง พลังผนึกแน่นหนาที่วางไว้ม้วนซัด แค่คิดก็รู้แล้วว่าการต่อสู้นั้นดุเดือดระดับใด

ฟุ่บ!

ทันใดนั้นเหมือนแสงไหวเคลื่อนสายหนึ่งวาบผ่านอากาศจนปรากฏฝนโลหิตแถบหนึ่ง หลินสวินตัดขาข้างหนึ่งของหนานเทียนเจิง เลือดสีสดไหลทะลัก

ผู้คนต่างตกตะลึง หนังศีรษะแทบระเบิด

ด้วยแขนขาขาดวิ่นจึงทำให้ใบหน้าหนานเทียนเจิงแปรเปลี่ยนจากเค้าเดิม เหี้ยมเกรียมบิดเบี้ยว เขาไม่เอาชีวิตเข้าแลก หากแต่ใช้พลังทั้งหมดเพื่อถอยร่น ต้องการหนีออกจากสมรภูมิทวยเทพไปอยู่บนทางเดินสีทองนั่น

ขอแค่ไปถึงทางเดินสีทองนั้นก็เท่ากับยอมแพ้ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากพลังผนึกของสมรภูมิทวยเทพ และสามารถหอบชีวิตกลับไปได้

ชิ้ง!

แต่เวลานี้เองหลินสวินกระตุ้นกระบี่มรรคไร้ก้นบึ้งให้ตัดผ่าอากาศ เจตกระบี่ไร้ใดเปรียบกดอัดลงมาเหมือนปราการสวรรค์

“เปิด!” หนานเทียนเจิงส่งเสียงคำราม ทวนศึกทะยานสู่ฟากฟ้า เปล่งแสงไร้สิ้นสุด

กร๊อบ!

แต่ภายใต้กระบี่มรรคไร้ก้นบึ้ง ทวนศึกเล่มนั้นถูกฟันเป็นสองท่อนโดยง่ายเหมือนกระดาษเปื่อย แสงกระบี่เปี่ยมอานุภาพไม่เสื่อมถอย ปกคลุมหนานเทียนเจิงไปทั้งตัว

ตูม!

ปราณกระบี่ส่งเสียงกัมปนาท ก่อให้เกิดคลื่นลมร้ายกาจ

มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดอย่างหนานเทียนเจิง ร่างตายมรรคดับ จิตสิ้นวิญญาณสลาย!

เหล่าผู้กล้าในลานประลองล้วนตะลึงตาค้าง

“เทียนเจิง…!” ดวงตาหนานหย่งเชียงคั่งโลหิต ส่งเสียงคำรามอย่างเดือดดาลหาใดเปรียบ สั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธแค้น

อีกก้าวเดียวหนานเทียนเจิงก็ก้าวสู่ทางเดินสีทองนั้นได้

แต่ระยะห่างเพียงก้าวเดียวนี้ กลับทำให้หนานเทียนเจิงสิ้นชีพ!

เหล่าคนตระกูลหนานล้วนอึ้งงัน เหมือนถูกซัดความหยิ่งทะนงในใจจนละเอียด

ก่อนหน้านี้การตายของหนานเทียนป้าก็มอบการโจมตีอย่างหนักหน่วงให้พวกเขา และตอนนี้แม้แต่หนานเทียนเจิงที่พวกเขาตั้งความหวังไว้สูงลิ่วก็ถูกสังหารด้วย นี่ทำให้พวกเขาถึงขั้นไม่อาจยอมรับ!

เคร้ง! เคร้ง!

ทวนศึกที่หักเป็นสองท่อนร่วงลงบนสมรภูมิทวยเทพ ส่งเสียงดังเสียดหู

หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้ “สุดท้ายก็ปกป้องทวนศึกเล่มนี้ไว้ไม่ได้ น่าเสียดาย เศษเหล็กซากทองแดงคงขายได้ไม่กี่ผลึกต้นกำเนิดจักรวาล…”

“จะ จะ เจ้า…” หนานหย่งเชียงโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา แม้แต่พูดยังพูดไม่ออก

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท