สามร้อยกว่าคน!
สามารถรอดจากแดนเซียนว่างเปล่า ไม่ต้องสนว่าได้ผลงานการศึกเท่าไหร่ เพราะก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้แล้ว
ความจริงหลินสวินสังเกตเห็นแล้วว่าคนในที่นั้น นอกจากขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลกู้และตระกูลอวิ๋นที่เข้าสู่ด่านชิงบัลลังก์นี้ด้วยกระบวนรบแข็งแกร่งแล้ว ในกลุ่มอื่นก็ไม่ขาดพวกร้ายกาจที่ผ่านการคัดกรองหลายชั้น เปิดทางสังหารเลือดอย่างแข็งกร้าว
อย่างชางฝูเซิงกับคนสะพายดาบก็ล้วนอยู่ในนั้น
แต่พวกฉีหลิงอวิ๋นกับลิ่นเฟิงนั้นอันตรายกว่าโดยไม่ต้องสงสัย!
สิ่งที่ทำให้หลินสวินผิดคาดที่สุดคือ ในที่นั้นยังไม่ขาดบุคคลอย่างพวกฉีหลิงอวิ๋นและลิ่นเฟิง!
“เจ้าก็คือหลินสวินหรือ”
เด็กหนุ่มสวมชุดขนนกแสงเพลิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ปากคาบใบไม้เขียวมรกต เอ่ยปากยิ้มแย้มทันใด
หลินสวินทอดสายตามองไป “มีอะไร”
เด็กหนุ่มชุดขนนกเผยรอยยิ้มไร้พิษภัย “แค่ทำความรู้จัก ข้าชื่อจงหลีเซียว หากมีโอกาสข้าอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเจ้าสักหน่อย แน่นอนว่าไม่มีเจตนาร้าย แค่ถกมรรคกันเท่านั้น หากเจ้าตกปากรับคำ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะข้าล้วนยินดีเป็นผู้นำทางเจ้า พาเจ้ามุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่แปด”
จงหลีเซียว!
ต่อให้ไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่แค่ได้ยินแซ่นี้ก็ทำให้หลายคนใจสั่นรุนแรง ด้วยนี่คือตระกูลหนึ่งในยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปด!
“มีโอกาสค่อยว่ากันเถอะ” หลินสวินกล่าวง่ายๆ พอเป็นพิธี
เด็กหนุ่มชุดขนนกจงหลีเซียวยิ้มรับ ไม่พูดมากอีก หลับตางีบอย่างผ่อนคลาย
แต่กลับมีคนปรบมือหัวเราะขึ้นมา “น่าสนใจ เจ้าจงหลีเซียวก็มีช่วงที่ถูกปฏิเสธ พบเห็นได้น้อยนัก”
คนที่เอ่ยวาจาสวมเกี้ยวประดับสูงคาดเข็มขัด ที่หลังพาดกระบี่ ท่วงท่าสง่างาม ดูองอาจห้าวหาญ ยามลืมตามีสัญลักษณ์อักษร ‘อี้’ (乂) สีเงินส่องประกายในดวงตา เฉียบคมน่าพรั่นพรึง
ผู้คนแตกตื่นกันอีกครั้ง
เด็กหนุ่มชุดขนนกแสงเพลิงจงหลีเซียวมาจากยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดโดยไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้กลับมีคนกล้าหยอกล้อเช่นนี้ ฐานะของเขามีหรือจะธรรมดา
ไม่นานฐานะของคนผู้นี้ก็ถูกเปิดเผย เขามีนามว่ามู่อี้ มาจากตระกูลมู่ ขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปด!
“สิ่งที่เจ้าพบเห็นน้อยครั้งยังมีอีกมาก กระต่ายตื่นตูม”
จงหลีเซียวเบ้ปาก ทำหน้าหยามเหยียด
นัยน์ตามู่อี้ส่องประกายวาววามน่าพรั่นพรึงพลางกล่าว “เจ้ากับข้าไม่สู้หาโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเป็นอย่างไร”
จงหลีเซียวกล่าว “ได้สิ ขอเพียงเจ้ากล้านำ ‘หนามแดงชาด’ มาพนัน ข้าก็จะเล่นสนุกกับเจ้า”
หนามแดงชาด!
ศาสตรามรรคชั้นยอดชิ้นหนึ่งของตระกูลมู่ ได้รับการกล่าวขานว่า ‘ภายใต้สีแดงชาด คงอยู่ชั่วกาล’! มีชื่อเสียงมากในน่านฟ้าที่แปด
คราวนี้ใครก็มองออกว่าระหว่างจงหลีเซียวกับมู่อี้นั้นไม่ลงรอยกัน
“หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าก็ขอแทรกแซงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้ด้วย”
ทันใดนั้นชายผมเผ้าหนวดเครากระเซิง นัยน์ตาเยียบเย็นดุจกระบี่ ทั่วร่างอบอวลด้วยเงาแสงสลัวรางคนหนึ่งเอ่ยปาก ตัวเขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับเทพกระบี่ในรัตติกาลองค์หนึ่ง ต่อให้พลังปราณถูกกำราบก็พาให้คนใจสั่นสะท้าน
จงหลีเซียวกับมู่อี้ล้วนยิ้มเย็นชาขึ้นมา ไม่เอ่ยวาจาแล้ว แต่สามารถมองออกว่าพวกเขาหวาดกลัวชายผมเผ้าหนวดเครากระเซิงนี้อยู่รางๆ
ทุกคนในที่นั้นเห็นเหตุการณ์นี้แล้วมองหน้ากันไปมา ล้วนไม่มีใครกล้าพูดมาก เกรงแต่จะถูกม้วนกลืนเข้าไปในการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดนี้
ความจริงแล้วในสายตาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นจงหลีเซียว มู่อี้ หรือชายผมเผ้าหนวดเครากระเซิง ล้วนเป็นบุคคลที่ไม่อาจล่วงเกินทั้งสิ้น
ต่อให้เป็นขุมอำนาจชั้นยอดแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดอย่างตระกูลกู้กับตระกูลอวิ๋น ยามเผชิญหน้ากับตระกูลชั้นสูงเช่นนี้ก็ต้องก้มหัวให้!
“พอแล้ว ในสถานที่นี้มีหรือจะลงมืออย่างแท้จริงได้ อย่าให้ผู้ร่วมวิถีในที่นี้มองเป็นตัวตลกอีกเลย ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะคิดว่าพวกเราคนของน่านฟ้าที่แปดแต่ละคนล้วนเป็นพวกโอ้อวดไร้ยางอาย”
ฉีหลิงอวิ๋นที่อยู่ห่างไปกล่าวเสียงนุ่มนวล สง่างามดั่งดอกกล้วยไม้
ส่วนนัยน์ตาของนางก็มองไปทางชายผมเผ้าหนวดเครากระเซิงคนนั้นพลางยิ้มกล่าว “ชือพั่วจวิน หากเจ้าอยากแทรกแซง ไม่สู้พวกเรามาพนันกันว่าใครจะก้าวสู่ ‘หนทางฟ้าเลือกสรร’ นี้ ทั้งไปถึงตำหนักเซียนใจกลางนั้นได้เป็นอย่างไร”
ชือพั่วจวิน!
เมื่อได้ยินแซ่เฉพาะตัวนี้ ทุกคนเหมือนตระหนักได้ถึงฐานะของชายผมเผ้าหนวดเครากระเซิงนั้นในที่สุด สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได้
น่านฟ้าที่แปดครอบครองโดยสิบขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะ ทุกขุมอำนาจล้วนมีอานุภาพล้นฟ้า สามารถทำให้สรรพชีวิตในโลกยอดนิรันดร์หวั่นหวาด
และภายในนั้น ขุมอำนาจของตระกูลฉีกับตระกูลชือล้วนก้าวขึ้นไปอยู่ในสี่อันดับแรกได้อย่างมั่นคง แต่ใครอยู่ในอันดับสามหรืออันดับสี่นั้น กลับยื้อแย่งช่วงชิงกันไม่หยุดมาตลอด
กล่าวสรุปโดยง่ายคือ ในน่านฟ้าที่แปดมีคนมองตระกูลฉีเป็นยักษ์ใหญ่อันดับสาม แต่ก็มีคนมองตระกูลชือเป็นยักษ์ใหญ่อันดับสามเช่นกัน การแก่งแย่งช่วงชิงนี้มีมานานแล้ว ถึงตอนนี้ก็ไม่มีคำตอบที่ตัดสินได้ชัดเจน
เมื่อรู้เรื่องภายในพวกนี้แล้ว ทุกคนก็เข้าใจทันที หากกล่าวว่าตระกูลจงหลีไม่ถูกกับตระกูลมู่ เช่นนั้นตระกูลฉีกับตระกูลชือก็เป็นคู่แข่งที่งัดข้อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“พนันอะไร” ชือพั่วจวินกล่าวโดยไม่ลังเล แววตาเยียบเย็น
ฉีหลิงอวิ๋นในชุดกระโปรง มือถือม้วนตำรายิ้มน้อยๆ สายตามองไปยังหลินสวินที่วางตัวอยู่เหนือปัญหามาตลอดพลางกล่าว
“หากข้าชนะก็ขอเจ้าออกหน้า โน้มน้าวสหายยุทธ์หลินสวินคนนี้ ให้เขาก้มหัวศิโรราบต่อข้าโดยดี”
ทุกคนอดตกตะลึงไม่ได้ สีหน้าแปลกไป คล้ายคิดไม่ถึงว่าฉีหลิงอวิ๋นจะนำหลินสวินมาพนัน!
ส่วนลึกในดวงตาดำของหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบ ไม่พูดอะไรมาก ในใจเผยความรังเกียจและไอสังหารวูบหนึ่ง ตัดสินโทษตายหญิงสาวที่ดูเหมือนสง่างามอ่อนโยน ไม่คิดแก่งแย่งกับผู้ใด แต่ความจริงเหี้ยมโหดไร้ปรานีคนนี้แล้ว
ก้มหัวศิโรราบ?
วันหน้าหากมีโอกาส ข้าอยากดูนักว่าใครจะก้มหัวคำนับใคร!
ชือพั่วจวินมองหลินสวินเล็กน้อย แม้ไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ยังกล่าวฉับพลัน “หากเจ้าแพ้เล่า”
“เช่นนั้นข้าก็จะมอบทองพิสุทธิ์อมตะในมือแก่เจ้า เป็นอย่างไร” ฉีหลิงอวิ๋นกล่าว
ทันใดนั้นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิไม่น้อยล้วนใจสั่นสะท้าน
ทองพิสุทธิ์อมตะ!
นั่นเป็นถึงสมบัติล้ำค่าระดับอมตะในตำนาน ก้อนขนาดเท่านิ้วโป้งก็ล้วนทำให้ระดับอมตะตาลุกวาวแก่งแย่งกันได้!
ชือพั่วจวินเลิกคิ้วกล่าว “ได้!”
“เฮ้ย นี่พวกเจ้าคิดว่าสุดท้าย ‘คนที่ฟ้าเลือกสรร’ เพียงหนึ่งเดียวซึ่งเข้าสู่ตำหนักเซียนใจกลางนั้นได้ มีแค่หนึ่งในพวกเจ้าสองคนหรือ” จงหลีเซียวเอ่ยปาก เผยสีหน้าไม่ชอบใจ
“เจ้าก็มาพนันได้” ฉีหลิงอวิ๋นยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้อเรียกร้องของข้าเหมือนเมื่อครู่ หากเจ้าแพ้ก็ช่วยข้าโน้มน้าวสหายยุทธ์หลินสวินคนนั้น หากชนะข้าก็มอบทองพิสุทธิ์อมตะให้เจ้า”
จนถึงตอนนี้ หากทุกคนยังไม่รู้ว่าการกระทำนี้ของฉีหลิงอวิ๋นมุ่งเป้าไปที่หลินสวิน เช่นนั้นก็อยู่มาหลายปีอย่างเสียเปล่าแล้ว
สายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินล้วนเจือแววเวทนาทันที คนร้ายกาจหลินสวินที่สังหารไปทั่วแดนเซียนว่างเปล่านี้ ไปล่วงเกินชนชั้นสูงของน่านฟ้าที่แปดได้อย่างไร
“ได้”
จงหลีเซียวไม่ได้สนใจความรู้สึกของหลินสวิน
ความจริงไม่ว่าจะเป็นเขาหรือชือพั่วจวินนั่น ยามตัดสินใจร่วมพนันล้วนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
พวกเขาซึ่งมาจากน่านฟ้าที่แปด สภาพแวดล้อมที่เติบโตมาตั้งแต่เด็ก รวมทั้งสิ่งที่เห็นและได้ยินตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ทำให้ยามพวกเขาเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าน่านฟ้าที่แปดล้วนมีท่าทางเหยียดหยันอย่างหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ความหยิ่งผยอง หากแต่เป็นนิสัยที่ฝังอยู่ในกระดูก
ในสายตาพวกเขา ผู้ที่ไม่ใช่คนของน่านฟ้าที่แปด ไม่ใช่คนโลกเดียวกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ต้องปิดบังอย่างเสแสร้ง การถ่อมตัวและเก็บงำตนเองนั้นต้องดูว่าปฏิบัติกับใคร
หากพูดแทงใจหน่อย ต่อให้ผลงานการต่อสู้ของหลินสวินก่อนหน้านี้เจิดจรัสแค่ไหน เย้ยฟ้าและไม่ธรรมดาเพียงใด แต่ในสายตาของพวกเขาก็เป็นแค่คนที่ทำให้พวกเขาสนใจได้ เป็นคนที่สามารถชวนมารับใช้อยู่ข้างกาย
ก็เหมือนลิ่นเฟิงที่อยู่ข้างกายฉีหลิงอวิ๋น มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งเจิดจรัสและแข็งแกร่งระดับใด
แต่ตอนนี้กลับเป็นแค่ผู้ติดตามคนหนึ่งในตระกูลฉี ปัจจุบันก็เป็นแค่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่ติดตามข้างกายฉีหลิงอวิ๋น
จริงอยู่ว่าในโลกยอดนิรันดร์ลิ่นเฟิงเป็นบุคคลเยี่ยมยอดคนหนึ่ง แต่ในสายตาของสิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดนั่น ก็เป็นแค่ผู้ติดตามที่ควรเลี้ยงดูคนหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อเทียบกันแล้ว น้ำหนักของหลินสวินในใจเหล่าชนชั้นสูงแห่งน่านฟ้าที่แปดก็ไม่ต่างกัน
แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมทำให้คนไม่ชอบใจ
แต่ทุกคนในที่นั้น โดยเฉพาะในสายตาของผู้ฝึกปราณที่มาจากขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลกู้กับตระกูลอวิ๋น กลับเหมือนว่าเดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องปกติ
เรื่องปกติคืออานุภาพของสิบยักษ์ใหญ่ในโลกยอดนิรันดร์นั้นล้นฟ้าระดับใด ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาอิทธิพลเช่นนี้ได้หยั่งรากลงในใจผู้คนนานแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ยินดีร่วมด้วย” มู่อี้ก็เอ่ยปาก ถูกทองพิสุทธิ์อมตะที่ฉีหลิงอวิ๋นรับปากดึงดูด
ฉีหลิงอวิ๋นยิ้มอย่างเฉยชาเยียบเย็น พยักหน้ากล่าว “ได้”
จากนั้นนางจึงมองหลินสวินพลางกล่าว “หลินสวิน ตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าข้าให้ความสำคัญกับเจ้าเพียงใด เงื่อนไขของข้ายังไม่เปลี่ยน ก่อนที่โบราณสถานทวยเทพจะปิดฉาก ขอแค่เจ้าพยักหน้า รับปากว่ามอบชีวิตให้ข้า ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมอบทรัพยากรในการฝึกปราณใดก็ตามที่เจ้าต้องการให้แก่เจ้า”
ทั้งที่นั้นโกลาหล
ในสายตาของผู้คนมากมาย นี่เป็นเรื่องดีที่พาให้คนอิจฉาริษยาเรื่องหนึ่ง ขอเพียงตกปากรับคำ จากนี้ก็เข้าไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่แปด ชะตาชีวิตล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
แต่ในใจหลินสวินกลับไม่ชอบใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว เขาเหลือบมองฉีหลิงอวิ๋นเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไม่สู้ข้าก็พนันด้วย หากข้าแพ้แล้ว ย่อมมอบชีวิตให้เจ้าได้ หากเจ้าพ่ายแพ้ ข้าไม่ต้องการชีวิตของเจ้า ขอเพียงเจ้าตบหน้าตัวเองสักฉาด ด่าตัวเองว่า ‘ฝันไปเถอะ’ เป็นอย่างไร”
ในที่นั้นพลันเงียบสงัด ทุกคนล้วนสูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่ได้
เจ้าหลินสวินนี่… บ้าไปแล้วหรือ!?
แม้แต่พวกจงหลีเซียว มู่อี้ ชือพั่วจวินก็อึ้งไปครู่หนึ่ง คล้ายแปลกใจยิ่งว่าหลินสวินเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าท้าทายและเหยียดหยามฉีหลิงอวิ๋นซึ่งหน้า
นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรือ
พวกกู้ปั้นจวงกับอวิ๋นลั่วหงสีหน้าแปลกไปอย่างอดไม่ได้ ดูท่าว่าเจ้าหมอนี่ไม่เพียงไม่กลัวพวกเขา แม้แต่ตระกูลฉีแห่งน่านฟ้าที่แปดยังไม่อยู่ในสายตาเขาเลย!
ในที่นั้นเงียบสงัด
ทุกสายตาล้วนมองไปทางฉีหลิงอวิ๋นกันพรึ่บพรั่บ
กลับเห็นหญิงสาวงามสง่าที่มือถือม้วนตำรา สวมชุดกระโปรงคนนี้ไม่เผยความรู้สึกอะไรออกมา ยังคงนิ่งสงบเหมือนก่อนหน้านี้
แต่เมื่อสายตาของนางมองมาทางหลินสวิน หลินสวินกลับสังเกตเห็นอย่างชัดเจน ในใจผู้หญิงคนนี้ปรากฏไอสังหารวูบหนึ่งแล้ว!
แต่หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ กล่าวออกไปลอยๆ “ทำไม ไม่กล้าเดิมพันแล้วหรือ”
น้ำเสียงเจือแววถากถางโดยไม่อำพรางแม้แต่น้อย
ฉีหลิงอวิ๋นพลันยิ้มขึ้นมา จ้องมองหลินสวินพลางเอ่ยเสียงเบา “หลินสวิน เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์เข้าร่วมการพนันครั้งนี้หรือ เรียกสติหน่อย เจ้าน่ะเป็นแค่ของเดิมพันเท่านั้น”
…………………….