Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2549 หนทางฟ้าเลือกสรร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2549 หนทางฟ้าเลือกสรร

น้ำเสียงราบเรียบยิ่ง ราวกับบรรยายความเป็นจริง

แต่แววหยามเหยียดภายในนั้นเปิดเผยชัดเจนแล้ว ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการบอกว่าเจ้าหลินสวินนับเป็นตัวอะไร คู่ควรที่จะเข้าร่วมการเดิมพันครั้งนี้หรือ

จงหลีเซียว มู่อี้ ชือพั่วจวินหัวเราะขึ้นมา

ท่าทีที่ฉีหลิงอวิ๋นเผยออกมาเป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยและเข้าใจที่สุด ด้วยคนอย่างพวกเขาไม่ยอมเดิมพันกับคนที่ไม่มีคุณสมบัติพอจริงๆ

หลินสวินไม่บันดาลโทสะ เพียงแต่ยิ้มแล้วไม่พูดมากความอีก

ด้วยพูดอะไรไปล้วนถูกอีกฝ่ายมองว่าไม่มีคุณสมบัติพอ ส่วนน้ำหนักของคำพูดก็มักจะไม่มีประโยชน์ในเวลานี้

ในเมื่อพูดมากแล้วไร้ประโยชน์ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระอีก!

น่านฟ้าที่แปดหรือยักษ์ใหญ่อมตะอะไร สักวันหนึ่งยามอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ค่อยถามพวกเขาว่าอะไรที่เรียกว่าคุณสมบัติ เชื่อว่าคงมีคำตอบที่ต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

เสียงเซียนเลือนรางดุจเสียงธรรมชาติพลันดังขึ้นในเวลานี้ จากนั้นเส้นทางทองอร่ามแผ่ลงมาจากตำหนักเซียนใจกลางตรงยอดเขานั่น โน้มลงมาบนหน้าผาตรงไหล่เขานี้

แสงเซียนอบอวล ประกายทองพวยพุ่ง เส้นทางนี้เชื่อมต่อไปยังตำหนักเซียนใจกลางตรงยอดเขา!

นี่ก็คือหนทางชิงบัลลังก์

หรือเรียกว่าหนทางฟ้าเลือกสรร

มีเพียงผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่สามารถเหยียบย่างไปบนนั้น และเข้าสู่ตำหนักเซียนใจกลางได้!

ผู้ฝึกปราณสามร้อยกว่าคนบนหน้าผาเรียบล้วนฮือฮาขึ้นมา แววตาส่องประกาย กระเหี้ยนกระหือรือ

ในยุคก่อน ศึกชิงบัลลังก์ด่านสามก็คือการบุกฝ่าหนทางฟ้าเลือกสรรเส้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครล้วนมีโอกาสแค่ครั้งเดียว

เมื่อไม่อาจไปถึงตำหนักเซียนใจกลางที่อยู่สูงสุดนั่นผ่านเส้นทางนี้ ก็ย่อมถูกคัดออก!

เล่าลือว่าบนหนทางฟ้าเลือกสรรนี้ มีประทับยุทธ์ของผู้แข็งแกร่งที่สุดในศึกฟ้าเลือกสรรแต่ละครั้งเหลืออยู่ เมื่อก้าวไปบนนั้น สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือพลังต่อสู้ที่ยอดผู้แข็งแกร่งมรรคเซียนแต่ละคนนั่นเหลือไว้!

ทั้งต้องรู้ว่าศึกฟ้าเลือกสรรในยุคก่อนจัดขึ้นทุกแสนปี สุดท้ายแต่ละครั้งจะมียอดผู้แข็งแกร่งแค่คนเดียวที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น กลายเป็น ‘บุตรฟ้าเลือกสรร’ ประทับยุทธ์ที่บุคคลชั้นยอดนี้เหลือไว้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่าหวาดกลัวระดับใด

“ข้าขอไปก่อน!”

ทันใดนั้นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งพุ่งออกมา ชั่วพริบตาที่เหยียบหนทางฟ้าเลือกสรร พลังปราณที่ถูกกำราบนั่นพลันฟื้นคืนกลับมา เผยอานุภาพชวนประหวั่นของมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปด

แต่เขาเพิ่งเดินห่างไปสักร้อยจั้ง ร่างกายก็เหมือนถูกน้ำป่าพุ่งปะทะ ลอยคว้างกลับมาดังตึง ร่วงคะมำลงมาบนหน้าผา

สีหน้าเขาเจือความไม่ยินยอมและตื่นตระหนกอย่างเด่นชัด

คล้ายว่าตรงระยะห่างร้อยจั้งเมื่อครู่นั้นทำให้เขาผ่านเรื่องน่ากลัวอะไรบางอย่าง

“บนหนทางฟ้าเลือกสรรเต็มไปด้วยกลิ่นอายกาลเวลาน่าอัศจรรย์ ยามก้าวเดินบนนั้นคล้ายอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลาของยุคก่อน ย่อมเจอคู่ต่อสู้ในร่างยอดผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่า”

มีคนเอ่ยเสียงเบา “ดูเหมือนว่าเมื่อครู่คนผู้นั้นเพิ่งเดินห่างไปสักร้อยจั้ง แต่สำหรับเขา เกรงว่าคงผ่านวัฏจักรกาลเวลารอบหนึ่ง ชั่วพริบตาดั่งชั่วนิรันดร์เป็นอย่างนี้นี่เอง”

สีหน้าของหลายคนในที่นั้นล้วนเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดคนหนึ่งที่บุกฝ่าออกมาจากการคัดเลือกสองด่านใหญ่อย่างการครองสังเวียนและล่าสัตว์ พลังต่อสู้แข็งแกร่งระดับใด

แต่ตอนนี้เพิ่งเดินห่างไปร้อยจั้งก็ถูกคัดออกแล้ว แต่หากจะไปถึงหน้าตำหนักเซียนใจกลางตรงยอดเขานั่น ต้องเดินไปประมาณสามพันจั้ง!

“คนที่ฟ้าเลือกสรรมีเพียงหนึ่งเดียว ทุกท่านอย่าประเมินตัวเองสูงเกินไปเลย”

จงหลีเซียวยิ้มบางๆ

“ให้ข้าลองดูหน่อย”

บรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งก้าวออกมา เมื่อเหยียบหนทางฟ้าเลือกสรรนั้น เขาระเบิดอานุภาพชวนประหวั่นที่ทำให้ทุกคนทั้งที่นั้นหันมามอง แข็งแกร่งหาใดเปรียบ

แต่สุดท้ายเขาเดินไปถึงพันจั้งก็ซวนเซถลาออกมา ร่วงตกลงบนหน้าผา ปากกระอักเลือดไม่หยุด แววตามืดสลัว

ถึงกับบาดเจ็บแล้ว!

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ฝึกปราณบางคนในที่นั้นอดประหม่าขึ้นมาไม่ได้ ต่อให้เป็นพวกอวดดีแค่ไหนก็รู้สึกกดดันขึ้นมาบ้าง

บรรพจารย์จักรพรรดิยังเดินไปได้แค่พันจั้ง! หนทางฟ้าเลือกสรรในยุคก่อนนี้วิปริตโดยไม่ต้องสงสัย!

ในเวลาต่อมาผู้ฝึกปราณคนแล้วคนเล่ามุ่งหน้าไป แต่แทบไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น ล้วนหยุดเท้าและถูกคัดออกในบริเวณพันจั้งของหนทางฟ้าเลือกสรรนั่น

ราวกับบริเวณพันจั้งนั้นเป็นหลุมแห่งหนึ่ง ยากจะก้าวล่วง

บรรยากาศในที่นั้นก็เปลี่ยนเป็นกดดันยิ่งกว่าเดิม สภาวะจิตของผู้ฝึกปราณบางคนล้วนสั่นคลอนอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

จริงอยู่ว่าด่านชิงบัลลังก์นี้ไม่มีอันตรายอะไร ทั้งไม่ต้องห่วงว่าจะมีเรื่องถึงชีวิตเกิดขึ้น

แต่อัตราการคัดออกที่เหี้ยมโหดหาใดเปรียบนี้ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำให้ในใจเหล่าบุคคลแข็งแกร่งที่ผ่านการสังหารมากมายจนอุตส่าห์มาถึงมีเงามืดชั้นหนึ่งปกคลุม

ต้องรู้ว่าบุคคลอย่างพวกเขา แทบเป็นตัวแทนของผู้มีฝีมือชั้นยอดในระดับจักรพรรดิทั้งสิ้น แต่กลับไม่อาจพิชิตประทับยุทธ์แต่ละอันที่เหลือไว้บนหนทางฟ้าเลือกสรรได้!

หลินสวินเฝ้าดูมาตลอด สีหน้านิ่งสงบ

แต่ในใจก็อดตะลึงไม่ได้ ความโหดในการคัดเลือกของหนทางฟ้าเลือกสรรนี้เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน

ตามเวลาที่ล่วงเลย

ในที่สุดก็มีคนทะลวงผ่านรัศมีพันจั้ง เป็นอวิ๋นลั่วหงที่มาจากตระกูลอวิ๋น บรรพจารย์จักรพรรดิที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งคนหนึ่ง

นี่ทำให้ผู้คนไม่น้อยฮึกเหิม ในที่สุดก็เห็นความหวังบ้างแล้ว

แต่ไม่นานอวิ๋นลั่วหงก็พ่ายแพ้ ยามอยู่ในรัศมีหนึ่งพันหกร้อยจั้ง เขาถูกแสงทองแถบหนึ่งซัดสาด ร่วงคะมำอย่างหนักหน่วง สีหน้าซีดเผือดไม่น่าดู นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ไม่มีใครรู้ว่าบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเขาผ่านการต่อสู้อย่างไรมา แต่เมื่อเห็นว่าบุคคลอย่างเขายังพ่ายลงกลางทาง ทุกคนต่างบีบรัดในใจอย่างอดไม่ได้

หลังจากสังเกตการณ์อยู่นาน หลินสวินตัดสินใจว่าจะไม่รออีกต่อไป

สำเร็จหรือล้มเหลว ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องลอง

พวกที่คิดเหมือนเขาก็มีจำนวนไม่น้อย อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเลือกยอมแพ้

ทว่ายามหลินสวินเพิ่งก้าวเท้า ก็เห็นเงาร่างหนึ่งชิงตัดหน้าไปก่อน ชุดโบราณสวมเกี้ยวประดับสูง ท่วงท่าสง่างามยิ่งนัก นัยน์ตาปรากฏสัญลักษณ์อักษร ‘อี้’ (乂) น่าอกสั่นขวัญแขวน เป็นมู่อี้นั่นเอง

“ในเมื่อไม่มีคุณสมบัติจะพนัน ไยต้องรีบไปพิสูจน์ความอ่อนหัดของตนเช่นนี้ด้วย” เขายิ้มพลางเหลือบมองหลินสวิน มุ่งตรงไปเหยียบหนทางฟ้าเลือกสรรนั่น

หลินสวินเลิกคิ้ว ยืนอยู่จุดเดิม เขากลับอยากดูว่ามู่อี้นี่จะเดินไปได้ถึงไหน

เวลานี้ทุกสายตาต่างเหลือบมองมู่อี้กันพรึ่บพรั่บ ล้วนอยากเห็นว่าคนชั้นสูงซึ่งมาจากน่านฟ้าที่แปดผู้นี้จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในคราเดียวได้หรือไม่

ความสามารถของมู่อี้ไม่เหมือนคนอื่นก่อนหน้านี้จริงๆ เหนือธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ไปถึงรัศมีพันจั้งนั้นในชั่วพริบตา ก่อให้เกิดเสียงร้องอุทานในที่นั้นไม่น้อย

แต่หลังจากมาถึงที่นี่ ความเร็วในการมุ่งหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นช้าลง แต่ยังดูนิ่งสงบเหมือนเดิม ภายใต้การจับจ้องของทุกสายตา เขามาถึงรัศมีสองพันจั้งทีละก้าว เข้าสู่ระยะห่างหนึ่งพันจั้งสุดท้าย!

นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายตกตะลึง แววตาซับซ้อน จำต้องยอมรับว่ามู่อี้ซึ่งมาจากน่านฟ้าที่แปดแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนต้องยอมจริงๆ

เวลานี้จงหลีเซียวอดเอ่ยถามไม่ได้ “ฉีหลิงอวิ๋น หากข้ากับมู่อี้และชือพั่วจวินล้วนขึ้นไปถึงจุดสูงสุด เกรงว่าทองพิสุทธิ์อมตะในมือเจ้าคงไม่พอแบ่งกระมัง”

ฉีหลิงอวิ๋นกล่าวราบเรียบ “วางใจเถอะ ต่อให้พวกเจ้าทุกคนล้วนขึ้นไปถึงจุดสูงสุด สุดท้ายก็มีแค่คนเดียวที่กลายเป็นบุตรฟ้าเลือกสรร ถึงตอนนั้นก็ดูว่ายามขึ้นไปถึงจุดสูงสุดใครใช้เวลาสั้นกว่า”

จงหลีเซียวคิดพลางยิ้มกล่าว “ดูท่าว่าหากต้องการชนะเจ้า คงได้แต่กลายเป็นบุตรฟ้าเลือกสรรเพียงหนึ่งเดียวนี้แล้ว”

ฉีหลิงอวิ๋นกล่าว “เจ้าคิดว่าทองพิสุทธิ์อมตะเป็นสิ่งที่ได้มาง่ายเช่นนั้นหรือ”

ทว่าการขึ้นไปถึงจุดสูงสุดตามการคาดเดากลับไม่เกิดขึ้น เมื่อมู่อี้ไปถึงตำแหน่งสองพันเก้าร้อยจั้ง เงาร่างที่ดูก้าวเดินลำบากมานานแล้วพลันสั่นคลอน จากนั้นก็ถูกซัดลอยออกมาเป็นเส้นโค้ง ร่วงลงบนหน้าผา

ตึง!

เงาร่างเขาซวนเซ ไม่ง่ายเลยกว่าจะยืนมั่น แต่ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าคล้ำเขียว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลและไม่ยินยอม ดูเสียอาการเป็นอย่างยิ่ง

เหตุการณ์นี้ทำให้ทั่วลานเงียบกริบ

มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่แข็งแกร่งอย่างมู่อี้ ถึงกับถูกคัดออกแล้ว!?

จงหลีเซียวที่เดิมยังลำพองใจ สีหน้าอดเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของมู่อี้เขารู้อยู่แก่ใจ แต่กลับถูกโจมตีให้ถอยร่นอย่างไร้ปรานีในช่วงร้อยจั้งสุดท้าย นี่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่เช่นกัน

พวกฉีหลิงอวิ๋นกับชือพั่วจวินก็เหมือนกัน

ความพ่ายแพ้ของมู่อี้ ทำให้พวกเขาที่เดิมทีมีความมั่นใจอย่างที่สุดสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของด่านชิงบัลลังก์นี้!

“ในเมื่อเข้าร่วมการเดิมพันแล้ว ไยต้องรีบไปพิสูจน์ความอ่อนหัดของตนเช่นนี้ด้วย”

ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้ หลินสวินพลันยิ้มพลางเอ่ยปาก คืนคำพูดที่มู่อี้กล่าวเมื่อครู่กลับไป การเหน็บแนมนั้นไม่อำพรางแม้แต่น้อย

ใบหน้างามสง่าของมู่อี้อึมครึมลงในชั่วครู่เดียว นัยน์ตาเต็มไปด้วยไอสังหารเดือดดาลพลางกล่าว “ถ้ากล้าเจ้าก็พูดอีกครั้งสิ”

ทุกคนใจสั่นสะท้าน รู้สึกว่ายากเข้าใจ มู่อี้พ่ายแพ้ เดิมทีก็เกรี้ยวกราดอยู่แล้ว แต่หลินสวินกลับไปถากถางและเย้ยหยันเวลานี้ นี่คือการสาดเกลือลงบนแผล ฉวยโอกาสซ้ำเติมชัดๆ!

แต่เวลานี้ยามเผชิญหน้ากับมู่อี้ที่เดือดดาลหาใดเปรียบ หลินสวินกลับดูเชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง กล่าวเน้นทีละคำอย่างจริงจัง “ในเมื่อเข้าร่วมการเดิมพันแล้ว ไยต้องรีบไปพิสูจน์ความอ่อนหัดของตนเช่นนี้ด้วย”

“เจ้า…” มู่อี้โกรธจนปากสั่น แต่พลังปราณเขาถูกกำราบใหม่อีกครั้ง ไม่อาจลงมือได้อย่างสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นเขาคงลงมือตั้งแต่แรกแล้ว

หลินสวินยิ้มละไมกล่าว “ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เจ้าล้มเหลวในสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าการพนันแล้ว ส่วนข้าหลินสวินก็ไม่ต้องการให้ผู้แพ้อย่างเจ้ามาพูดโน้มน้าว ด้วยเจ้า… ไม่มีคุณสมบัติพอ”

ในลานเงียบสงัด

ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง ถูกคำพูดนี้ของหลินสวินทำให้ตกใจ เจ้าหมอนี่… กล้าถึงขั้นนี้เลยหรือ

ไม่กลัวตายจริงๆ หรือไม่สนใจสิ่งใดอย่างที่สุดกันแน่

มู่อี้โกรธจนแทบกระอักเลือด มือสั่นชี้หลินสวินพลางกล่าว “หลินสวิน ข้าจะจำเจ้าไว้! เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา คร้านจะใส่ใจอีกฝ่าย

แต่เมื่อเขาคิดเคลื่อนไหว กลับพบว่าจงหลีเซียวก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

“ทำไม เจ้าก็อยากซ้ำรอยเขาด้วย รีบนำหน้าไปพิสูจน์ความอ่อนหัดของตนก่อนก้าวหนึ่งหรือ” หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว

เงาร่างจงหลีเซียวพลันชะงัก หันกลับมาถลึงตาใส่หลินสวิน “หลินสวิน ข้าประทับใจในตัวเจ้ามาก อย่าทำให้ข้ารู้สึกรังเกียจเจ้าเลย”

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่งพลางกล่าว “นำข้ามาเป็นของเดิมพันก็เรียกได้ว่ารู้สึกประทับใจ? ขออภัย ข้ารับความประทับใจนี้ไม่ไหว เจ้าโปรดยั้งมือด้วย เก็บสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความประทับใจนี้กลับไปเถอะ”

“เจ้า!”

จงหลีเซียวขัดเคือง นัยน์ตาเต็มไปด้วยคมประกายและไอสังหาร “หากเจ้าอยากตายจริง รอเมื่อออกจากโบราณสถานทวยเทพแล้วข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา!”

…………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท