ใต้ต้นหงเหมิงหมื่นมรรค
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ มรรควิถีในตัวมั่นคงถึงขีดสุด
ระดับมกุฎบรรพจารย์ไม่ธรรมดาดังคาด ความแข็งแกร่งของพลังที่ได้ครอบครอง ห่างไกลเกินกว่าเมื่อก่อนจะเทียบชั้นได้
หลินสวินใคร่ครวญ ด้วยพลังต่อสู้ในตอนนี้ของเขา ในระดับขั้นพลังเดียวกัน เกรงว่าจะหาคนที่พอจะวัดฝีมือกันไม่ได้สักเท่าไหร่
ถึงอย่างไรตั้งแต่ตอนที่มีปราณมกุฎจักรพรรดิขั้นแปด เขาก็สามารถกำราบบรรพจารย์จักรพรรดิซึ่งหน้าได้แล้ว
และตอนนี้เมื่อเขาบรรลุมกุฎบรรพจารย์ บรรพจารย์จักรพรรดิทั่วไปย่อมไม่อยู่ในสายตาเขาสักนิด แม้แต่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิยังยากจะต้านทานพลังสังหารของเขา
การพ่ายแพ้ย่อยยับของพวกมู่อี้ จงหลีเซียว ลิ่นเฟิงก็คือบทพิสูจน์อย่างดีที่สุด
‘ก็ไม่รู้ว่าตอนที่เจอกับผู้แข็งแกร่งขั้นอายุขัยเทียมฟ้า จะมีพลังต้านทานหรือไม่…’
หลินสวินใคร่ครวญ
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ฉีหลิงอวิ๋นเคยสำแดงไพ่ตายหลายหน ล้วนประทับพลังเจตจำนงระดับอมตะ แต่กลับถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งลบล้างและสลายไปทั้งหมด
แม้นั่นจะเป็นเพียงพลังพลังอมตะสายหนึ่ง ไม่ใช่ระดับอมตะตัวจริงลงมือ แต่นี่กลับสร้างความเชื่อมั่นยิ่งใหญ่ให้หลินสวิน
ระดับบรรพจารย์ถูกเรียกว่าเป็นปราการสวรรค์แห่งเส้นทางจักรพรรดิ หมื่นกาลไม่เคยมีใครข้ามพ้น แต่สุดท้ายไม่ใช่ว่าถูกเขาก้าวข้ามและทำลายได้แล้วหรือ
มรรคาอมตะอาจจะน่ากลัวยิ่งกว่า สูงส่งยิ่งกว่ามรรคจักรพรรดิ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถถูกโจมตีสังหารข้ามระดับได้!
แต่ถึงอย่างไรหลินสวินก็ไม่เคยประมือกับระดับอมตะจริงๆ จึงเข้าใจพลังของคนระดับนี้น้อยมาก เขาจึงไม่กล้ามั่นใจว่าในการต่อสู้จะสามารถต้านไหวหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้ปราณในตอนนี้ของเขาจะเย้ยฟ้า แต่อย่างไรก็เป็นเพียงปราณขั้นต้นในระดับบรรพจารย์เท่านั้น
‘ด้านนอกแดนลับทวยเทพ เกรงว่าคงจะวางตาข่ายฟ้าไว้รอข้าออกไปนานแล้วกระมัง…’
หลินสวินหยัดตัวลุกขึ้นจากการนั่งสมาธิ นัยน์ตาดำสุขุมเรียบเฉย
หลังไตร่ตรองครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจ
วู้ม…
เจดีย์ไร้สิ้นสุดปรากฏออกมา จากนั้นเงาร่างของศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อและอาจารย์อาคงเจวี๋ยก็ปรากฏขึ้นในที่นี้ตามมาติดๆ
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดจะเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากข้าแล้ว” หลิงเสวียนจื่อสีหน้าพิกล ท่าทางแปลกใจอย่างมาก
คงเจวี๋ยผมเครารุงรัง นั่งยองๆ กับพื้นไม่สนใคร กอด ‘จอกล่องธารไหล’ ไหหนึ่งพลางจิบอึกแล้วอึกเล่า สภาพเมามายนัก
หลินสวินมองหลิงเสวียนจื่อแล้วกล่าวว่า “ด้วยความสามารถของท่าน คงไม่มีทางไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโบราณสถานทวยเทพแห่งนี้หรอกกระมัง”
หลิงเสวียนจื่อร้องเอ้อคราหนึ่ง ก่อนกล่าวเก้อๆ “ศิษย์น้องเล็กยอกันไปแล้ว ข้าก็แค่สอดส่องความเป็นไปคร่าวๆ เท่านั้น จุ๊ๆ นี่ก็คือต้นหงเหมิงหมื่นมรรครากแห่งมรรคเซียนใช่ไหม วิเศษอัศจรรย์ไร้สิ้นสุดดังคาด เรียกได้ว่าเป็นสมบัติแห่งยุคสมัย!”
กล่าวพลางเข้าเริ่มสำรวจต้นหงเหมิง แววตาวาวโรจน์เจือประกายเร่าร้อน “ศิษย์น้องเล็ก ไม่สู้เจ้ายกต้นไม้นี้ให้ข้า บางทีข้าอาจสามารถอาศัยต้นไม้นี้อนุมานเรื่องราวในยุคก่อนได้บ้าง”
“ไม่มีทางซะหรอก”
หลินสวินปฏิเสธโดยไม่หยุดคิด และโบกแขนเสื้อหนึ่งครา ต้นหงเหมิงหมื่นมรรคสูงเก้าจั้งพลันแปลงเป็นประกายแสงเขียวมรกตสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในตัวเขา หยั่งรากลึกในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ และตอบสนองกับต้นแรกกำเนิดที่ฝังรากไว้ในที่นี้อยู่ก่อนแล้ว
“เฮ้อ ศิษย์น้องเล็กระวังข้าเหมือนระวังโจรจริงๆ” หลิงเสวียนจื่อถอนหายใจ ท่าทางเหมือนถูกกระทบกระเทือนใจ
หลินสวินกล่าว “ศิษย์พี่สี่ ข้ามีเรื่องจะไหว้วาน”
หลิงเสวียนจื่อเลิกคิ้ว คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ไม่ได้ล้อเล่นอีก เอ่ยว่า “เรื่องอะไร”
“ท่านน่าจะรู้สถานการณ์ในตอนนี้ดีแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะพาอาจารย์อาออกไป” หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง
หลิงเสวียนจื่ออึ้งไปโดยพลัน “เจ้าคงไม่คิดจะไปต้านศัตรูระดับอมตะตัวคนเดียวหรอกกระมัง”
หลินสวินกล่าว “ท่านคิดว่าข้ายังมีทางเลือกอีกหรือ”
หลิงเสวียนจื่อคล้ายจะโกรธมาก กลอกตาคราหนึ่งแล้วชี้ปลายจมูกตัวเองกล่าวว่า “ข้าเล่า! เจ้าทำเหมือนศิษย์พี่สี่ไม่มีตัวตนหรือ ข้าข้องใจจะแย่ เหตุใดในใจเจ้า ตำแหน่งศิษย์พี่สี่อย่างข้าถึงย่ำแย่ขนาดนี้”
หลินสวินสนเท่ห์ “ท่านไม่ใช่มีปราณระดับจักรพรรดิหรือ”
ใบหน้าหล่อเหลาของหลิงเสวียนจื่อดำมืด “เจ้าคิดว่าคนที่ช่วยเจ้าเหยียบย่ำมารเทพตี้สือ ทำให้เขายอมเปิดใจ เล่าแม้กระทั่งเรื่องอัปยศครั้งใหญ่อย่างการถูกสวมหมวกเขียวออกมาได้ จะมีปราณแค่… ระดับจักรพรรดิหรือ”
หลินสวินจ้องหลิงเสวียนจื่อครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แต่ดูแล้วท่านก็มีปราณแค่ระดับจักรพรรดิจริงๆ”
“สิ่งอัศจรรย์ย่อมถ่อมตน คนก็เช่นกัน ปีนั้นตอนที่อยู่ในซากดวงกมล ศิษย์พี่สี่ไม่ได้คิดจะรังแกเจ้า จึงไม่ได้อาศัยระดับพลังที่เหนือกว่าไปโจมตีเจ้า และระงับพลังปราณไว้ สู้กับเจ้าอย่างยุติธรรม หาไม่ ตอนนั้นแค่นิ้วเดียวข้าก็พลิกเจ้าคะมำได้แล้ว”
หลิงเสวียนจื่อกระดิกปลายนิ้วเบาๆ สีหน้าภูมิอกภูมิใจ
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “พูดเช่นนี้ ท่านสามารถต้านทานระดับอมตะได้หรือ”
“อะไรเรียกว่าต้านทาน ฆ่าปานเชือดไก่เลยต่างหาก!”
หลิงเสวียนจื่อพูดโดยไม่ต้องคิด
สุดท้ายหลินสวินก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าที่ท่านพูดแบบนี้เป็นเพราะไม่อยากออกไป ข้าเข้าใจความรู้สึกในฐานะคนเป็นศิษย์พี่ของท่าน แต่เรื่องร้ายแรงมาถึงขั้นนี้ หรือท่านอยากให้อาจารย์อาประสบเคราะห์อยู่ในนี้เหมือนกับท่าน”
หลิงเสวียนจื่อกลับโกรธจนหัวเราะแล้ว ยื่นมือมาชี้หลินสวิน “เสียแรงที่เป็นหนึ่งบัวดอกนั้นในสายตาของอาจารย์ ไม่นึกเลยว่าจะโง่ซื่อขนาดนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงข้า เจ้าคิดว่าอาจารย์อาคงเจวี๋ยของพวกเรา… กลายเป็นคนบ้าไร้ประโยชน์ที่ปราณหายเกลี้ยงไปแล้วจริงๆ หรือ”
หลินสวินขมวดคิ้ว หันมองคงเจวี๋ยที่นั่งเมามายอยู่บนพื้นปราดหนึ่งก่อนกล่าว “ไม่ได้ ยังอันตรายเกินไปอยู่ดี อาจารย์เคยบอกว่าสภาวะจิตของอาจารย์อาเกิดปัญหา จะให้เอาความหวังในการสลายเคราะห์สังหารครั้งนี้ไปไว้ที่ตัวอาจารย์อาทั้งหมดได้อย่างไร”
มองดูความยึดมั่นในความคิดตัวเอง หัวรั้นไม่เข้าเรื่องของหลินสวิน หลิงเสวียนจื่อโกรธจนปวดฟันแล้ว กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ระหว่างคนกับคนมีความเชื่อใจกันหน่อยได้ไหม ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ เจ้าก็ใจกว้างมีเมตตาให้ข้ากับอาจารย์อาคงเจวี๋ยอยู่ต่อได้หรือไม่”
กลับเห็นหลินสวินถอนหายใจยาว กล่าวอย่างจนใจ “ท่านเป็นคนขอร้องเองนะ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านอย่ามานึกเสียใจภายหลัง”
“ฮ่า เจ้าคิดว่าศิษย์พี่สี่เป็นคนที่นั่งนึกเสียใจภายหลังหรือ ถูกอาจารย์กำราบในกาลเวลาไร้สิ้นสุด เจ้าเคยเห็นข้าเสียใจภายหลังสักครั้งไหม”
หลิงเสวียนจื่อหัวเราะขึ้นมา เพียงแต่ครู่ถัดมารอยยิ้มของเขาพลันค้างเติ่ง ฉุกคิดอะไรขึ้นมา ก่อนชี้หลินสวินแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าวางอุบายข้า!”
หลินสวินงุนงง “ศิษย์พี่พูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลิงเสวียนจื่อสีหน้าวูบไหวไปมา เขารู้ตัวแล้วว่าตนติดกับเข้าให้แล้ว เขาเคยพูดเมื่อนานมาแล้วว่าเว้นแต่หลินสวินจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขา หาไม่ เขาจะไม่มีทางปรากฏตัว
แต่ตอนนี้…
กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนขอลงมือกับหลินสวิน!
“เจ้านี่มัน ได้ประโยชน์แล้วยังตีหน้าซื่อ นิสัยเสียจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นมาหลอกลวงข้าเช่นนี้ ป่านนี้คงตายไปพันแปดร้อยหนแล้ว!” หลิงเสวียนจื่อเผยสีหน้าเหมือนโชคร้าย ทั้งอัดอั้น โกรธ และจนปัญญายิ่ง
จะเสียใจภายหลังก็ไม่สามารถ เมื่อครู่เขาเพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าถูกอาจารย์กำราบในกาลเวลาไร้สิ้นสุดยังไม่เคยนึกเสียใจภายหลัง หากเปลี่ยนความคิดตอนนี้นั่นจะไม่เท่ากับตบหน้าตัวเองหรือ
ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือหลินสวินยังทำเหมือนไม่รู้อะไร นี่ทำให้หลิงเสวียนจื่อแค้นจนเข็ดฟัน มีความรู้สึกเหมือนล่าห่านมาทั้งวันสุดท้ายดันถูกห่านจิกตา
“ศิษย์น้องเล็ก จะช่วยเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องให้ข้ายืมเจดีย์ไร้สิ้นสุดกับสามพันเคลื่อนคล้อย” หลิงเสวียนจื่อเอ่ย
หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ จนป่านนี้แล้ว พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องย่อมต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ถึงท่านไม่พูด ข้าก็จะให้ท่านยืมสมบัติสองชิ้นนี้อยู่แล้ว”
ว่าพลางยื่นเจดีย์ไร้สิ้นสุดและสามพันเคลื่อนคล้อยให้หลิงเสวียนจื่อ
มองเห็นท่าทางจริงจังมากคุณธรรมของหลินสวินแล้ว มุมปากหลิงเสวียนจื่อกระตุกเบาๆ กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ถือว่าเจ้าร้าย!”
สุดท้ายหลินสวินก็กลั้นไม่อยู่ ยกยิ้มขึ้นมา
เป็นอย่างที่หลิงเสวียนจื่อคาดเดา ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีหรือเขาจะปล่อยผู้ช่วยมือดีอย่างหลิงเสวียนจื่อไป แน่นอน ในเมื่อขอร้องไม่ได้ เช่นนั้นมีแต่ต้องใช้กลเม็ดเล็กๆ บางอย่างเท่านั้นแล้ว
เห็นเช่นนี้หลิงเสวียนจื่อก็อดส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้ สุดท้ายเรื่องเหล่านั้นก็เป็นเรื่องตลกเล็กๆ ที่ไม่มีพิษภัย ตรงข้ามเป็นเพราะหลินสวินจงใจทำเช่นนี้ กลับทำให้ในใจเขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยในใจศิษย์น้องเล็กคนนี้ที่ต่อต้านตนมาตลอดก็เริ่มมีสัญญาณว่ายอมรับตนขึ้นมารำไรแล้ว
สำหรับเขาหลิงเสวียนจื่อ นี่ย่อมดีเลิศอยู่แล้ว!
ไม่มีใครรู้ว่าสำหรับเขาที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์มองเป็นคนที่ต้องรักษา ตำแหน่งของคีรีดวงกมลในใจเขาก็เปรียบเสมือนบ้าน
นี่ก็คือสาเหตุที่ต่อให้เขาถูกอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกำราบมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ก็ยังไม่เคยปริปากว่ากล่าวสักคำ
สำหรับเขา คีรีดวงกมลเป็นสถานที่อ่อนโยนที่ต้องปกป้องไว้กลางใจ
“ข้าได้ยินว่ามารเทพตี้สือหลุดพันธนาการแล้ว ตอนที่เพิ่งหลุดพ้นยิ่งสังหารระดับอมตะไปไม่น้อย หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เจ้าเฒ่ากระจอกนี่ต้องซุ่มซ่อนอยู่ด้านนอกด้วยเป็นแน่”
หลิงเสวียนจื่อพูดฉะฉาน “สำหรับพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้อง ระดับอมตะทั่วไปไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไรสักนิด แต่การรับมือมารเทพตี้สือกลับต้องระวังตัวอยู่บ้าง ตอนนั้นที่ข้าจัดการเขาหน้าบ่อน้ำโบราณนั่น ก็สัมผัสได้แล้วว่าเจ้านี่เป็นพวกของแข็ง ในยุคก่อนยังถูกกำราบนานนับล้านปี หลังยุคสมัยแตกดับยิ่งโชคช่วยอยู่รอดมาได้ คนเช่นนี้… น่ากลัวมาก!”
ในใจหลินสวินเย็นวาบ หากไม่ได้หลิงเสวียนจื่อเอ่ยเตือน เขาก็เกือบลืมภัยคุกคามที่แฝงเร้นของตี้สือนี่ไปแล้ว
นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงจนไม่อาจจินตนาการจริงๆ
เพิ่งหลุดออกมาไม่นาน แม้จะพบเจอการล้อมโจมตีจากระดับอมตะมากมาย กลับยังคงสามารถสังหารคู่ต่อสู้ตายไปได้บางส่วน ทำลายด่านนภาอมตะด่านที่เก้า นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ในข่าวลือ ตี้สือร่วงหล่นในการล้อมโจมตี และมีคนบอกว่าเขาหนีไปได้ในสภาพเจ็บหนัก แต่ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือหลิงเสวียนจื่อ ล้วนมั่นใจว่าว่าเจ้าเฒ่านี่ต้องยังมีชีวิตอยู่แน่นอน
และไม่มีทางพลาดศุภโชคในโบราณสถานทวยเทพเช่นนี้ไปได้เช่นกัน
ถึงอย่างไรในฐานะคนน่าสะพรึงในยุคก่อน ตี้สือน่าจะรู้ดีกว่าใครว่าศุภโชคในตำหนักเซียนใจกลางไม่ธรรมดาแค่ไหน
นอกจากนี้หลินสวินยังสงสัยมากว่าแค่เพียงตำราหยกศุภโชคในมือตน ก็สามารถเรียกตี้สือนั่นเข้ามาหาได้แล้ว!
“เคราะห์สังหารแน่นหนาจริงๆ…” หลินสวินทอดถอนใจ
สี่ตระกูลตงหวง ยักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าที่แปด และยังมีตี้สืออีก เคราะห์สังหารทั้งหมดนี้สามารถทำให้ใครก็ตามสั่นสะท้านและสิ้นหวังได้
“นี่จึงจะถึงใจ”
หลิงเสวียนจื่อเลียริมฝีปากเบาๆ บนใบหน้าหล่อเหลาเจือแววบ้าคลั่ง “ถูกอาจารย์ของพวกเรากำราบมานานหมื่นกาล บนโลกนี้ถึงกับไม่รู้ถึงการมีอยู่ของข้าหลิงเสวียนจื่อ คราวนี้ก็ถึงตาข้าออกโรงแล้ว!”
——