Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2565 นัยเร้นลับของกฎเกณฑ์อมตะ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2565 นัยเร้นลับของกฎเกณฑ์อมตะ

ตอนที่ 2565 นัยเร้นลับของกฎเกณฑ์อมตะ

ปราณกระบี่นี้ฟันออกมา ความยิ่งใหญ่ของกลิ่นอายอมตะเต็มเปี่ยมทำให้เวิ้งฟ้าแถบนั้นเกิดรอยแยกสยดสยองเป็นสายๆ!

หลินสวินที่ยืนนิ่งมองดูกระบี่นี้ในตำหนักเซียนใจกลาง นัยน์ตาดำยังอดหดรัดลงทันควันไม่ได้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุกคามอันแรงกล้า

นี่จึงจะเป็นพลังแท้จริงของระดับอมตะ!

เมื่อเทียบกันแล้ว สมบัติที่ประทับกลิ่นอายอมตะเหล่านั้นยังขาดพลังวิญญาณเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง นั่นคือพลังวิญญาณที่หลอมรวมระหว่างสติปัญญา เจตจำนง และไอสังหารของระดับอมตะ

อานุภาพย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว

อย่างน้อยหลินสวินลองถามใจตนดู หากเปลี่ยนให้เขามาต้านกระบี่นี้ เกรงว่าต้องทุ่มสุดกำลังโคจรเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งจึงจะทำได้

และในการเผชิญหน้ากระบี่เช่นนี้ กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อดีดนิ้วคราหนึ่ง

ปึง!

ปราณกระบี่สีแดงยาวพันจั้งพลันขาดเป็นสองท่อน ร่วงกลางอากาศดุจร่างของงูตาย กลายเป็นละอองแสงสาดกระเซ็น

ท่าทางสบายสุดขีดนั่นทำเอาหลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้

แต่หลิงเสวียนจื่อกลับหัวเสียมากอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเหมือนถูกท้าทายนัก บนดวงหน้าหล่อเหลาทอแววทะมึน กล่าวหน้ายิ้มแต่ในใจไม่ยิ้ม

“แม้แต่แมวสามขาอะไรยังกล้าบังอาจลงมือกับข้า มันช่าง… มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!”

เสียงดุจลมหนาวเหน็บเจาะทะลุผืนนภา ปิดครอบฟ้าดิน ทำให้หนังตาของพวกหนานเฟยตู้ กู้หลิงเจินล้วนกระตุก

ก็เห็นบนตัวหลิงเสวียนจื่อพลันทะลักอานุภาพน่าสะพรึง จุดชีพจรไม่รู้จบรอบตัวพวยพุ่งกฎเกณฑ์มหามรรค แสงเขียวดุจสายน้ำ ดอกอมตะที่โปร่งแสงแวววาวราวกระจกแก้วควบรวมกันเป็นดอกๆ มีประกายศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตปิดครอบตัวเขาไว้ ทำให้ทุกท่วงท่าอิริยาบถของเขาล้วนเกรียงไกรไร้สิ้นสุด!

ทอดมองจากไกลๆ ประดุจเทพสูงส่งมาเยือนโลก อานุภาพสะเทือนทั่วหล้า

อมตะ!

ในใจพวกหนานเฟยตู้สั่นสะท้าน ตอนที่มุ่งหน้ามา พวกเขาไม่คิดว่าข้างกายหลินสวินถึงกับยังมีที่พึ่งเช่นนี้อยู่ด้วย

เรื่องนี้ชักจะรับมือยากแล้ว!

พวกเขาสบตากันปราดหนึ่ง หัวคิ้วล้วนขมวดมุ่น

หากฆ่าหลินสวินคนเดียว นั่นย่อมไม่เปลืองเรี่ยวแรงโดยเด็ดขาด แต่หากคิดสังหารระดับอมตะสักคนให้ตาย ต้องใช้ฝีมือสักหน่อยแล้ว

“จะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ รีบรบรีบจบ!”

อวิ๋นจิ่วเวยตัดสินใจทันที ฝักกระบี่เปื้อนเลือดใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงร้องอึงอล ร่างกายเขาพุ่งตรงทะยานขึ้นฟ้า

เมื่อเขายืนนิ่ง ไอสังหารคละคลุ้งกลายเป็นพลังอสนีสีดำ ควบรวมเป็นวงแหวนเทพปรากฏอยู่หลังท้ายทอยของเขา ภายในวงแหวนเทพมีกระแสมหามรรคที่ทำให้คนใจสะท้านพลิกตลบ แปลงมาจากกฎเกณฑ์อมตะ

ฟุ่บ!

อวิ๋นจิ่วเวยรวบนิ้วตวัดวาด สายฟ้าสีดำจับตัวกันกลายเป็นกระบี่เทพดังชิ้งๆ รายล้อมด้วยประกายแสงประดุจอมตะ ฟันไปทางหลิงเสวียนจื่อ

ดวงตาหลินสวินเจ็บแปลบระลอกหนึ่ง ร่างกายและจิตใจล้วนตกใจยิ่ง ขนลุกซู่

กระบี่นี้แข็งแกร่งกว่ากระบี่เมื่อครู่ไม่เพียงหนึ่งเท่า น่าพรั่นพรึงเกินกว่าจินตนาการ เหนือกว่าระดับที่หลินสวินสามารถรู้และเข้าใจได้!

เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่เช่นนี้ หลินสวินยังไม่มีความมั่นใจว่าจะรับไหวสักนิด เพราะพลังระดับนั้นสูงส่งเกินเอื้อมไป!

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเพิ่งบรรลุมกุฎบรรพจารย์ คงจะยังไม่เข้าใจพลังของระดับอมตะ ตอนนี้ศิษย์พี่จะใช้ชีวิตของเฒ่าสารเลวพวกนี้มาอธิบายให้เจ้าสักรอบ”

กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อยืนนิ่งไม่ไหวติง หัวเราะเย็นเฉยเมย มีเพียงมือขวาที่ยื่นออกมาคว้าคราหนึ่งแล้วชักกลับไป

ตูม!

ท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่น ปราณกระบี่สีดำสายนั้นเหมือนมังกรใหญ่ตัวหนึ่งถูกหลิงเสวียนจื่อกำไว้ในฝ่ามือกลางอากาศ จากนั้นระเบิดเป็นละอองแสงสายฟ้าสีดำดังเปรี้ยงๆ

“เจ้าเฒ่าสารเลวนี่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะที่หยั่งรู้ได้จากระเบียบอมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้า อานุภาพเหนือกว่าระเบียบระดับปฐพีลิบลับ นี่ก็หมายความว่า เมื่อเผชิญหน้าต่อสู้กัน คนระดับเดียวกันทั่วๆ ไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฒ่าสารเลวนี่สักนิด”

หลิงเสวียนจื่อเอ่ยปาก อธิบายให้หลินสวินประหนึ่งกำลังถ่ายทอดความรู้

ถึงตอนนี้หลินสวินถึงกระจ่างขึ้นมา นึกถึงข่าวลือบางอย่าง

มรรคาอมตะ ถึงแม้จะแบ่งเป็นสามขั้นใหญ่อย่างอายุขัยเทียมฟ้า ดับเทพ หลุดพ้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับอมตะในขั้นไหน พลังกลับต่างกันลิบลับ

หัวใจหลักก็อยู่ที่อานุภาพของกฎเกณฑ์อมตะที่พวกเขาครอบครองไม่เหมือนกัน!

และความมากน้อยของอานุภาพกฎเกณฑ์อมตะ ก็สอดคล้องกับระดับขั้นของพลังระเบียบ เนื่องจากกฎเกณฑ์อมตะเดิมก็หยั่งรู้มาจากพลังระเบียบ

อย่างเช่นกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นหนึ่ง ก็หยั่งรู้ออกมาจากพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นหนึ่ง

และในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า ระดับอมตะที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นหนึ่ง พลังต่อสู้ที่ปลดปล่อยออกมา สามารถกดกำราบคู่ต่อสู้ที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับปฐพีขั้นหนึ่งได้อย่างแน่นอน

และในโลกยอดนิรันดร์ การที่สามารถครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้าได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นพวกปลายยอดในหมู่คนระดับเดียวกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย!

อย่างอวิ๋นจิ่วเวยคนนี้ เห็นชัดว่าก็เป็นคนน่ากลัวเช่นนี้เหมือนกัน

ก็เป็นตอนนี้เองที่หลินสวินเข้าใจในที่สุด ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ยามตนเผชิญหน้ากับกระบี่นั่นถึงได้รู้สึกไร้แรงปานนั้น

สาเหตุก็เพราะกฎเกณฑ์อมตะที่อีกฝ่ายครอบครองบนมรรคาอมตะ เหนือกว่าระดับอมตะในความหมายทั่วไป!

ถึงอย่างไรอวิ๋นจิ่วเวยก็อยู่ในขุมอำนาจใหญ่ปลายยอดจากน่านฟ้าที่เจ็ด ตระกูลที่เขาอยู่ พลังระเบียบที่ครอบครองก็คือระดับสวรรค์ขั้นเก้า มีหรือที่คนทั่วไปจะเทียบได้

เมื่อเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว จู่ๆ สภาวะจิตของหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้น ความแตกต่างห่างกันเกินไป ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกขัดเคืองใจ

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ศิษย์พี่สี่กลับไม่กลัวสักนิด!

นี่อยู่เหนือความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนเขาทึกทักเอาเองว่าศิษย์พี่สี่จะเป็นเหมือนกับพวกศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง

แต่ตอนนี้ดูแล้ว ศิษย์พี่สี่เห็นชัดว่าเป็นพวกแปลกแยกในหมู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล!

“เฮอะ!”

ท่าทางเอื่อยเฉื่อยที่หลิงเสวียนจื่อเผยออกมาทำให้อวิ๋นจิ่วเวยขมวดคิ้ว เรียกศาสตรามรรคอมตะของตนออกมาโดยไม่ลังเลสักนิด

นั่นเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง แดงเพลิงโชติช่วงดุจไฟลุกโชน เปี่ยมกลิ่นอายอมตะ ทันทีที่ปรากฏฟ้าดินดุจถูกเผาไหม้ ถูกแสงเพลิงไร้สิ้นสุดท่วมมิด

แต่หลิงเสวียนจื่อกลับเหมือนมองไม่เห็น พูดเองเออเองว่า “เจ้าเฒ่าสารเลวนี่มีปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลาง ศาสตรามรรคอมตะก็นับว่าไม่ธรรมดา แต่กลับอยู่เพียงระดับปฐพีเท่านั้น หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าเฒ่านี่น่าจะเป็นพวกไส้แห้งที่ใช้ชีวิตไม่สมดั่งใจ ไม่มีปัญญารวบรวมวัตถุอมตะคุณภาพดีเยี่ยมได้สักนิด หาไม่มีหรือจะถือศาสตรามรรคอมตะระดับปฐพีให้อายสายตาคน”

คำว่า ‘ไส้แห้ง’ ราวกับมีดเล่มหนึ่งปักเข้ากลางใจอวิ๋นจิ่วเวย ทำให้เขาข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ตวัดกระบี่ฟันเข้ามา

ตูม!

ประกายเพลิงท่วมฟ้าฟันออกมาพร้อมกระบี่เล่มนี้ เวิ้งฟ้าพังทลายโดยสมบูรณ์ ห้วงอากาศถล่มโครมคราม กลิ่นอายพลังอมตะเป็นระลอกๆ ปลดปล่อยออกมาจากกระบี่เล่มนั้น คล้ายจะทำลายล้างฟ้าดินแถบนี้

หลิงเสวียนจื่อเรียกสามพันเคลื่อนคล้อยออกมา แส้หางม้าสีขาวหิมะกลายเป็นน้ำตกสีเงินระยับ สะบัดไหวอยู่กลางห้วงอากาศ

ปราณกระบี่ประกายเพลิงท่วมฟ้าล้วนสลายหายลับไปราวกับเงามายาฟองกาศ!

อวิ๋นจิ่วเวยนัยน์ตาหดรัด ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าเจ้าคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลลำดับสี่ตรงหน้าคนนี้ เป็นพวกร้ายกาจที่รับมือยากเหนือจินตนการคนหนึ่ง

“แม้สามพันเคลื่อนคล้อยเล่มนี้ของอาจารย์จะเสียหายร้ายแรง แต่ดีชั่วก็เป็นสมบัติที่อาจารย์หลอมเองกับมือ ใช่ของที่ศาสตรามรรคอมตะขายหน้าขายตานั่นจะเทียบได้ที่ไหน ศิษย์น้องเล็ก หลายปีมานี้สมบัตินี้อยู่ในมือเจ้า นับว่าเป็นมุกที่ฝุ่นปกคลุมแล้ว…”

พูดถึงตอนท้ายหลิงเสวียนจื่ออดถอนใจเฮือกยาวไม่ได้

ไกลออกไปแววตาหลินสวินดูแปลกไป นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง ถูกท่วงท่าเกรียงไกรสะท้านยุคที่หลิงเสวียนจื่อสำแดงออกมาทำให้ตกใจเข้าแล้วจริงๆ

อยู่ต่อหน้าศัตรูตัวฉกาจยังพูดพล่ามไม่หยุด ทำตัวตามสบายเช่นนี้ได้อีก นี่จะให้คนทั่วไปเทียบได้อย่างไร

โฮก!

ในเสียงคำรามสะเทือนฟ้า แรดเขียวพันธุ์ดีตัวนั้นที่บรรทุกลี่ซางจวินเหินทะยานขึ้นฟ้า ลี่ซางจวินซึ่งถือบรรทัดหยกสีม่วงกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“หากเจ้าแห่งคีรีดวงกมลแข็งแกร่งอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ ไฉนจนป่านนี้ยังเหมือนเต่าหัวหด ไม่กล้าโผล่หน้ามาที่โลกยอดนิรันดร์อีกเล่า”

ในเสียงปนแววเยาะหยัน

หลิงเสวียนจื่อสีหน้าขรึมลงทันควัน คล้ายถูกยั่วโทสะอย่างหาได้ยาก ประกายเย็นเยียบและไอสังหารน่าสะพรึงพวยพุ่งในดวงตา กล่าวว่า “ลำพังแค่ประโยคนี้ ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตออกไปได้แล้ว!”

ตูม!

อาภรณ์เขียวของเขาโบกสะบัด สามพันเคลื่อนคล้อยในมือตวัดม้วนออกไปทันควัน ธารยาวที่แปลงมาจากประกายเทพสีเงินครอบไปทางลี่ซางจวิน

ลี่ซางจวินฟาดบรรทัดหยกสีม่วงคราหนึ่ง ผืนฟ้าพลันพวยพุ่งประกายม่วง สัญลักษณ์อมตะอย่างมังกรพยัคฆ์ผสาน หยินหยางเชื่อมต่ออุบัติขึ้นมา

การโจมตีนี้วิเศษอัศจรรย์สุดหยั่ง พลังและกฎเกณฑ์อมตะที่โคจรไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินในตอนนี้สามารถเข้าใจได้

ทว่าแม้แต่การโจมตีระดับนี้ ยามเผชิญหน้ากับสามพันเคลื่อนคล้อยกลับถูกซัดกระจุย เปราะบางราวกระดาษเปื่อย

ภายใต้การถูกโจมตี ลี่ซางจวินไม่เป็นอะไร แต่แรดเขียวที่เขาขี่กลับมีภัย ถูกละอองแสงสีเงินฟาดใส่ เนื้อเปิดหนังปลิ้น กระดูกเนื้อฉีกแตก ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา เกือบสะบัดลี่ซางจวินปลิวออกไป

ลี่ซางจวินประหนึ่งร้อนรนขุ่นเคือง เหินทะยานขึ้นแล้วยื่นมือเก็บแรดเขียวไป ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “เจ้าถึงกับกล้าทำร้ายแรดน้อยของข้า รนหาที่ตาย!”

เขากระตุ้นบรรทัดหยกสีม่วงโจมตีพาดขวาง ทั่วร่างอาบชโลมกลางละอองแสงอมตะสีม่วงเจิดจ้า ดุจเทพบันดาลโทสะ ทำให้ฟ้าดินโหยไห้

พร้อมกันนั้นอวิ๋นจิ่วเวยก็ออกโจมตีเช่นกัน กวัดแกว่งกระบี่เทพแดงก่ำ ซัดปราณกระบี่ที่ปกฟ้าคลุมตะวัน ดุงดั่งประกายเพลิงแผดเผาเก้าชั้นฟ้า

“เฮอะ มดปลวกเขย่าต้นไม้ก็เท่านั้น”

ขณะพูดหลิงเสวียนจื่อกระโจนตัวขึ้นไป ทั่วร่างมีดอกมรรคอมตะสีเขียวประดุจกระจกแก้วดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบาน อานุภาพเจาะทะลวงภูผาธารา

เมื่อเขาโบกสามพันเคลื่อนคล้อย แสงเข้มสีเงินไร้สิ้นสุดปรากฏ ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านล้วนบดขยี้ปราณกระบี่ที่ราวกับเพลิงโหมนั่น ทำลายละอองแสงอมตะสีม่วงเจิดจ้าเป็นผุยผง อานุภาพดุจผ่าลำไผ่ ไม่มีสิ่งใดที่ทำลายไม่ได้

และก็เป็นยามนี้ที่หลิงเสวียนจื่อซึ่งถูกกำราบมาเนิ่นนาน อดทนอยู่ในความทรมานอันมืดมิดไร้สิ้นสุด ได้สำแดงอานุภาพในตัวให้โลกได้ประจักษ์โดยสมบูรณ์!

ชั่วพริบตาสองฝ่ายก็สู้กันดุเดือดไปหลายสิบกระบวน ทำเอาฟ้าดินแถบนี้พังถล่มโดยสิ้นเชิง ทุกสิ่งล้วนปรากฏร่องรอยเสียหายย่อยยับ

แม้แต่ตำหนักเซียนใจกลางที่อยู่บนยอดเขาก็ยังถูกลูกหลง สั่นสะเทือนรุนแรง ปรากฏรอยแตกมากมายคล้ายเจียนจะถล่ม

เห็นได้ชัดยิ่งว่าสถานที่สูงส่งซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนนี้ใกล้จะพังพินาศ รักษาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว

ตูม!

ในเสียงสนั่นสะเทือนฟ้าดิน เงาร่างสองสายลอยคว่ำออกมา เป็นอวิ๋นจิ่วเวยและลี่ซางจวิน พวกเขาถูกซัดจนร่างซวนเซ เสื้อผ้ายุ่งเหยิง เลือดลมพลิกตลบ

เมื่อหันมองดูหลิงเสวียนจื่อ อาภรณ์เขียวพลิ้วไหว มือถือแส้หางม้า ประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเหนือสุด!

แววตาอวิ๋นจิ่วเวยและลี่ซางจวินเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและตกใจ

คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาร่วมกันโจมตีขนาบ กลับถูกหลิงเสวียนจื่อคนเดียวกดข่มและซัดถอยออกมา สำนักคีรีดวงกมลมีผู้สืบทอดที่เย้ยฟ้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท