Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2569 ศิษย์น้องเล็ก เจ้าสุดยอดไปเลย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2569 ศิษย์น้องเล็ก เจ้าสุดยอดไปเลย

ตอนที่ 2569 ศิษย์น้องเล็ก เจ้าสุดยอดไปเลย

กลางจักรวาลสั่นสะเทือนไม่สงบ อานุภาพน่าพรั่นพรึงดุจลมกระโชกหอบม้วน เคลื่อนขวางฟ้าดารา

การมาของชื่อชางหุน กลายเป็นผู้มีปราณขั้นดับเทพจากขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะคนที่สาม!

เมื่อเห็นภาพนี้ในที่สุดพวกระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่ยังไม่ได้ล่าถอยก็รับไม่ไหวแล้ว ผินหน้าลาจาก ไม่กล้าเอ้อระเหยอยู่ต่อสักนิด

นี่น่าตกใจเกินไปแล้ว!

พวกหนานเฟยตู้ก่อนหน้านี้ก็เหมือนดั่งตำนาน ทำให้คนหวั่นเกรงแล้ว ตอนนี้เมื่อเหล่ายักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าที่แปดมาเยือน ทำให้สถานการณ์พลันเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงขึ้นมาทันที

เซี่ยงเสี่ยวหยวนและหลิ่วเซียงเชวียก็จากไปแล้วเช่นกัน เพราะถูกหลินสวินสื่อจิตเตือนให้ถอย บอกให้พวกเขากลับเมืองจรดฟ้า

ทั้งคู่ล้วนจากไปด้วยสภาพจิตใจที่ทั้งหนักอึ้งและขมขื่น พวกเขาอยู่ต่อก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะกลายเป็นภาระ ถึงขั้นที่เมื่อการต่อสู้ระดับนั้นปะทุขึ้น พวกเขาอาจจะถูกหาว่าสอดมือ และเป็นไปได้ว่าอาจต้านผลพวงการต่อสู้ระดับนั้นไม่ไหว!

มีเพียงจากไปจึงจะเป็นทางเลือกที่เข้าท่าที่สุด

เป็นเช่นนี้ทั้งไม่เป็นตัวถ่วงหลินสวินและศิษย์พี่ของเขา และไม่ประสบอันตรายด้วย เพียงแต่การหนีไปเช่นนี้อย่างไรก็ยังทำให้ภายในใจของทั้งคู่อัดอั้นยิ่ง

ความแข็งแกร่งห่างกันเกินไป สู้ไปก็เปล่าประโยชน์!

“ลำพังแค่พวกเจ้า เกรงว่ายังไม่พอ”

กลางจักรวาล หลิงเสวียนจื่อสีหน้าเฉยเมย แส้หางม้าโปร่งแสงแวววาวกลางนิ้วมือพุ่งสะบัด ก่อนพันเกี่ยวหลินสวินและคงเจวี๋ยที่อยู่ข้างหลังเขา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามต่อสู้หลินสวินและคงเจวี๋ยก็จะเคลื่อนไหวพร้อมกับเขา ได้รับการคุ้มกันจากเขา

“ไม่พอหรือ แล้วถ้ารวมพวกเราด้วยล่ะ”

ทันใดนั้นเสียงเยียบเย็นระลอกหนึ่งดังขึ้น ในห้วงอากาศไกลลิบ รถศึกสำริดคันหนึ่งควบตะบึงเข้ามา ไอแรกกำเนิดพวยพุ่ง บนรถศึกมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ ผมดำแผ่สยาย นัยน์ตาวาบประกายสีเงินเสียดแทงจิตวิญญาณผู้คน

มู่เจียงซาน!

ผู้ยิ่งใหญ่ตระกูลมู่ ยักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าที่แปด!

และในห้วงอากาศอีกด้านหนึ่ง เสียงผีครวญเทพร่ำไห้ระลอกหนึ่งดังขึ้น เวิ้งนภาแตกเป็นเสี่ยงโดยไร้เสียง ละอองเลือดสาดพรม นี่คือภาพฟ้าดินแปรปรวนที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง

ก็เห็นชายผอมแห้งที่ทั่วร่างปกคลุมอยู่กลางเงาตะคุ่มคนหนึ่ง เท้าเหยียบภูเขาศพทะเลเลือดก้าวเข้ามา ผมแดงทั่วศีรษะดูเด่นชัดเตะตาเป็นที่สุด

ตงหวงคง!

ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่มาจากยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลตงหวง

จักรวาลฟ้าดาราที่ปั่นป่วนแถบนี้เปลี่ยนเป็นกดดันจนเกือบทำให้คนแหลกทลาย เพราะอานุภาพอมตะที่มีอยู่ทุกที่อัดแน่นในห้วงอากาศ พลังระดับนั้นสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิคนใดก็ตามทรุดทลาย

ในสนามรบขณะนี้ พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของจงหลีเจวี๋ย ชื่อชางหุน มู่เจียงซาน ตงหวงคง กอปรกับฉีเทียนหลินก่อนหน้านี้ มีระดับอมตะทั้งสิ้นห้าคน

อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวพวกเขาปกคลุมฟ้าดาราแถบนี้มิด น่าประหวั่นจนถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้

และหลิงเสวียนจื่อกับหลินสวินที่ถูกกักขังไว้ตรงกลาง สภาวะจิตล้วนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

พวกเขาเดาได้แต่แรกแล้วว่าสถานการณ์ต้องมีจุดพลิกผัน แต่ไม่นึกว่าทั้งหมดจะมาเร็วขนาดนี้

“ช่างให้ความสำคัญกับพวกเราคีรีดวงกมลจริงๆ ไม่เลว ไม่เลวยิ่ง เช่นนี้จึงจะเร้าใจ”

หลิงเสวียนจื่อพลันหัวเราะ ส่วนลึกของนัยน์ตาวาบแววบ้าคลั่งขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “วันนี้ข้าหลิงเสวียนจื่ออยากเห็นนัก ว่าพวกเราใครจะอยู่รอดถึงตอนสุดท้าย!”

“คุยโวไม่อายปาก เจ้าแห่งคีรีดวงกมลอยู่ที่นี่ เกรงว่ายังไม่กล้ากำเริบเฉกเช่นเจ้า” ตงหวงคงที่เท้าเหยียบภูเขาศพทะเลืเลือดเอ่ยเสียงเย็นเยียบกึกก้อง

“เดรัจฉานดวงกมลสองคนนี้เกรงว่าคงไม่รู้สักนิดว่าปีนั้นอาจารย์ของพวกเขาทำความผิดร้ายแรงแค่ไหน ถึงได้ชักนำภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้น จนป่านนี้เป็นตายยังไม่รู้ ไม่กล้าโผล่มาที่โลกยอดนิรันดร์อีก”

ชื่อชางหุนเสียงดุจฟ้าคำราม ปีกสีเงินโบกกระพือ ดุจเมฆห้อยจากฟ้า ปิดครอบฟ้าดารา ซัดพายุอมตะโหมคลั่ง

เมื่อได้ยินหลิงเสวียนจื่อและหลินสวินสบตากันปราดหนึ่ง ต่างเผยแววแปลกใจสงสัยเสี้ยวหนึ่ง อาจารย์ทำความผิดร้ายแรง ชักนำภัยครั้งใหญ่หรือ

บนโลกใบนี้ใครสามารถกำหนดความผิดของอาจารย์ได้!?

ในนี้ต้องมีลับลมคมในที่พวกเขาไม่รู้แน่!

และเห็นได้ชัดยิ่ง ว่าคนจากขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะในน่านฟ้าที่แปดนี่รู้เรื่องนี้

“ดูเดรัจฉานคีรีดวงกมลสองคนนี้สิ แม้แต่อาจารย์ตัวเองประสบหายนะร้ายแรงอะไรมายังไม่รู้ ยังกล้าอาละวาดประเจิดประเจ้ออยู่ที่นี่อีก ช่างรนหาที่ตายแท้ๆ!” มู่เจียงซานยิ้มเย็น เต็มไปด้วยแววดูแคลน

“ทำไมต้องพูดพล่าม ฆ่าไปก็จบ ข้าต้องการเพียงเจดีย์ไร้สิ้นสุดและสามพันเคลื่อนคล้อยที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลนั่นเหลือทิ้งไว้” จงหลีเจวี๋ยในชุดทองทั้งตัว ผมขาวราวขนกระเรียนผิวแก้มแดงก่ำเหมือนทารก หน้าตาใจดี แต่คำพูดกลับแข็งกร้าวและเผด็จการเป็นที่สุด

“ไม่ต้องรีบ ยังต้องหารือกันก่อนว่าควรแบ่งศุภโชคครานี้อย่างไรจึงจะดีที่สุด” ตงหวงคงเสียงเยียบเย็น “เอาอย่างนี้ ข้าขอแค่พลังระเบียบสายหนึ่งบนตัวเจ้านี่”

เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาหมายตาคือระเบียบนิพพานของหลินสวิน

“เฮอะ!”

ชื่อชางหุนเผยแววไม่สบอารมณ์ “จากที่ข้าดู ไม่ว่าศุภโชคอะไร อาศัยฝีมือแต่ละคนดีที่สุด ป้องกันเผื่อมีคนไม่ยอมแพ้ด้วย”

“ได้”

มู่เจียงซานพยักหน้า

พวกเขามาเพื่อชำระแค้น ขณะเดียวกันก็มาเพื่อช่วงชิงศุภโชคบนตัวหลินสวิน

ไม่ว่าจะเป็นต้นหงเหมิงหมื่นมรรค เจดีย์ไร้สิ้นสุด สามพันเคลื่อนคล้อย แม้กระทั่งระเบียบนิพพานที่ถูกฟูมฟักในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ล้วนสามารถทำให้คนระดับพวกเขาใจเต้น

และเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ หลิงเสวียนจื่อก็เดือดจัดจนหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ยังไม่ทันเริ่มสู้ แต่เฒ่าสารเลวพวกนี้ถึงกับมองพวกเขาเป็นเนื้อปลาบนเขียง เริ่มแบ่งสัดส่วนกันแล้ว!

ท่าทีเมินเฉยไม่แยแสนั่น เห็นชัดว่าไม่เห็นพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องอยู่ในสายตาสักนิด!

“พูดมากความไปไย ลงมือฆ่าไปตรงๆ เลย” มู่เจียงซานเอ่ยปากแล้วกระตุ้นรถศึก สำแดงอภินิหารยิ่งใหญ่ หมอกเลือดพวยพุ่งหอบม้วนฟ้าดาราปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ เริ่มเปิดศึกใหญ่

ตูม!

รถศึกคันนั้นพุ่งเข้ามา ประหนึ่งเตาเพลิงใหญ่ที่ลุกไหม้กลางจักรวาล แผดเผาฟ้าดารา หลอมระเหยห้วงอากาศ

นัยน์ตาหลิงเสวียนจื่อมีไอสังหารไหลทะลัก แส้หางม้าโบกสะบัด ลำแสงประกายเทพสีเงินดุจปราณกระบี่ไพศาล ฟันเข้าไปทั้งหมด

ท่ามกลางเสียงปะทะน่าสะพรึง รถศึกสำริดนั่นเรืองแสง ไอแรกกำเนิดรอบตัวระเหย แต่กลับถูกประกายเทพสีเงินพลุ่งพล่านควบคุม ไม่อาจรุดหน้า

“เฮอะ!”

ลำแสงเทพกลางนัยน์ตามู่เจียงซานพวยพุ่ง เสียงชิ้งดังคราหนึ่ง ดาบศึกสีดำขยับโบก ฟันเก้าฟ้าขาดสะบั้น ท้องฟ้าแถบหนึ่งทลายร่วง

ภาพน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ แค่โบกดาบเดียวเท่านั้นกลับเหมือนฟันเก้าชั้นฟ้าร่วง ทำให้เวิ้งฟ้าทรุดทลาย กลายเป็นโลกใบหนึ่งกดกำราบหลิงเสวียนจื่อ

“ข้าจะเชือดเจ้าเฒ่าอย่างเจ้าก่อน!”

กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อคำรามยาว ใต้เท้าปรากฏแท่นบัวสีเขียวสามสิบหกชั้น ปกคลุมเขาและหลินสวินที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเคลื่อนขวางฟ้าดารา มุ่งหน้าโจมตี

และในมือเขา สามพันเคลื่อนคล้อยแวววาวส่องประกาย โบกสะบัดไม่หยุด สำแดงภาพเสี้ยวจันทร์สามดาราที่กินพื้นที่หมื่นจั้งและหอบม้วนออกไป

ทันใดนั้นทั้งคู่เริ่มสู้กันดุเดือด คลื่นน่าพรั่นพรึงสะเทือนทั่วจักรวาล!

ยามนี้หลินสวินถึงเพิ่งเข้าใจความน่ากลัวของขั้นดับเทพ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลิงเสวียนจื่อโจมตีสังหารพวกหนานเฟยตู้ แข็งแกร่งและเอ้อระเหยปานใด

แต่ตอนนี้ แค่มู่เจียงซานเพียงคนเดียวก็สามารถต้านหลิงเสวียนจื่อได้!

“ทุกท่านยังรออะไรอยู่ ลงมือเร็ว รีบตัดสินศึกต่อสู้โดยเร็ว!”

ตงหวงคงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ ร่างกายเปล่งแสง ปรากฏภาพน่าสะพรึงอย่างภูเขาศพทะเลโลหิต เลือดไหลเจิ่งนอง เงาร่างเขาถูกแสงคลุมเครือปิดครอบ ยกมือกระตุ้นกระบี่โลหิตเล่มหนึ่งฟันไปทางหลิงเสวียนจื่อ

เคร้ง!

หลิงเสวียนจื่อใช้เจดีย์ไร้สิ้นสุดเข้าต้าน ซัดกระบี่โลหิตของอีกฝ่ายปลิวกระเด็น มองเห็นว่าภายใต้การโจมตีขนาบของตงหวงคงและมู่เจียงซาน ทำให้เงาร่างเขายังซวนเซไปคราหนึ่ง

และนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

“ฆ่า!”

ในห้วงอากาศลำแสงสีทองส่องวาบ จงหลีเจวี๋ยในชุดคลุมทองทั้งตัวใบหน้าเมตตาชูมือขึ้น กฎเกณฑ์อมตะสีทองดุจมหาสมุทรสายฟ้าคลั่งม้วนแผ่ม่านนภาพุ่งไปทางหลิงเสวียนจื่อ

ตูม!

ชื่อชางหุนก็ลงมือเช่นกัน ปีกสีเงินคู่กระพือ แสงประกายส่องสะท้อน ดุจดาบฟันฟ้าคู่หนึ่ง ห่อหุ้มด้วยแสงกร้าวแกร่งอหังการพุ่งปะทะเข้ามาอย่างหนักหน่วง

จากนั้นฉีเทียนหลินที่ก็ลงมือตามมาติดๆ เช่นกัน แววตามีประกายแสงสีม่วงพวยพุ่ง แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด เผยคทาหยกสมปรารถนาเล่มหนึ่งออกมา แล้วกระแทกไปทางหลิงเสวียนจื่อ

ขณะนี้กลิ่นอายเข่นฆ่าเจาะทะลวงจักรวาล สะท้านอดีตปัจจุบัน

ระดับอมตะชั้นยอดจากน่านฟ้าที่แปดห้าคนลงมือพร้อมกัน ปลดปล่อยอานุภาพของตัวเอง ทำให้ฟ้าดาราแถบนี้ล้วนเผยร่องรอยพังทลาย

น่ากลัวเกินไปแล้ว

ยืนมองอยู่ในเมืองจรดฟ้าก็ยังเห็น ดวงดาวในจักรวาลนั่นทรุดทลาย จักรวาลแตกหัก ประกายเทพน่าพรั่นพรึงราวกระแสน้ำป่วนโลกาหอบม้วน สำแดงภาพน่าสะพรึงประหนึ่งวันสิ้นโลก

ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่ถูกเขย่าขวัญ หวาดผวาพูดไม่ออก

การต่อสู้ระดับนี้ ในแดนใหญ่พันศึกก่อนหน้านี้แทบไม่เคยเกิดขึ้น น่ากลัวเกินไปแล้ว!

และในเวลานี้ คนแข็งแกร่งอย่างหลิงเสวียนจื่อก็ยังจำเป็นต้องหลบประกายคม ไม่ยอมถูกล้อมกรอบ ไม่อย่างนั้นคงต้องสิ้นชีพอย่างคับแค้นอยู่ในนี้แน่

“เจ้าถอยจนถอยไม่ได้ หนีจนไม่มีที่ให้หนีแล้ว!” มีคนหัวเราะลั่น

ยักษ์ใหญ่แต่ละคนล้วนลงมือ รวมพลังปิดผนึกพื้นที่ฟ้าดาราแถบนี้

“อย่างนั้นหรือ!”

แววบ้าคลั่งวาบขึ้นมากลางนัยน์ตาหลิงเสวียนจื่อ เขาราวกับทุ่มสุดแรง จ้องมู่เจียงซานที่โจมตีเข้ามาเขม็ง ก่อนชูมือที่รองเจดีย์ไร้สิ้นสุดเอาไว้

ตูม!

เจดีย์ไร้สิ้นสุดแหวกอากาศไปปรากฏเหนือศีรษะมู่เจียงซาน แสงมรรคไร้สิ้นสุดไหลหลั่ง

มู่เจียงซานเคยรู้จักความน่ากลัวเย้ยฟ้าของสมบัติชิ้นนี้มานานแล้ว มีหรือจะนิ่งรอความตาย ตบฝ่ามือออกไปแรงๆ ห้วงอากาศใกล้เคียงที่ถูกเจดีย์ไร้สิ้นสุดปกคลุมก็ถูกแหวกออกเป็นรอยแยกสายหนึ่ง

เห็นว่าเขาใกล้จะหลบการโจมตีนี้พ้นแล้ว แต่ที่เหนือความคาดหมายของผู้คนคือ เงาร่างของเขากลับชะงักอย่างประหลาดในพริบตานี้ หยุดนิ่งค้างเติ่ง

และในพริบตานี้ เจดีย์ไร้สิ้นสุดก็กดสังหารลงมาดังกึกก้อง

ปัง!

รถศึกสำริดเกิดรอยแตก ถูกซัดกระเด็นรุนแรง ส่วนมู่เจียงซานที่ยืนอยู่บนนั้นร่างกายถูกกระแทกระเบิดตรงๆ จิตดั้งเดิมของเขาเกือบจะถูกสังหารไปด้วย

ในช่วงคับขันนี้พลังระเบียบน่าสะพรึงสายหนึ่งควบรวมออกมาจากจิตดั้งเดิมของมู่เจียงซาน ต้านเจดีย์ไร้สิ้นสุดที่กำราบลงมา

ตูม โครม!

ในเสียงสนั่นรุนแรง จิตดั้งเดิมของมู่เจียงซานปรากฏตัวห่างออกไปหลายหมื่นจั้ง และพร้อมกับแรงสะเทือนระลอกหนึ่งถึงกับก่อร่างมรรคขึ้นใหม่ ฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง

เพียงแต่ใบหน้าชราของเขาซีดราวไร้สีเลือด ดูลำบากเป็นที่สุด นัยน์ตายิ่งปนแววตกใจสงสัยและกริ่งเกรง

“พลังแห่งเวลา!” เขาคำรามเดือดดาลก้องสะท้อน

ระดับอมตะคนอื่นๆ ที่กำลังลงมือก็เห็นสิ่งที่มู่เจียงซานเผชิญเช่นกัน เดิมยังค่อนข้างสงสัยอยู่ในใจ คิดว่าด้วยมรรควิถีของมู่เจียงซานไม่มีทางเกือบประสบเคราะห์ในการโจมตีนี้เป็นอันขาด

ตอนนี้ได้ยินเสียงคำรามของมู่เจียงซาน ทำให้พวกเขาเหมือนเข้าใจในทันที สีหน้าล้วนแปรเปลี่ยนไป กฎเกณฑ์เวลา!?

สายตาที่พวกเขามองหลิงเสวียนจื่อล้วนเปลี่ยนไป มีทั้งกริ่งเกรง และมีทั้งความริษยาที่ปกปิดเอาไว้ลึก

กาลเวลา!

สำหรับระดับอมตะชั้นยอดอย่างพวกเขา ก็ยังเป็นหนึ่งในมหามรรคที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะเดียวกันในใจหลิงเสวียนจื่อก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน แต่จากนั้นก็คล้ายกระจ่างขึ้นมา สื่อจิตกล่าวว่า

‘ศิษย์น้องเล็ก สุดยอดไปเลย!’

……………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท