Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2570 เป็นหนึ่งในประวัติการณ์ มีเพียงหนึ่งเดียว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2570 เป็นหนึ่งในประวัติการณ์ มีเพียงหนึ่งเดียว

ตอนที่ 2570 เป็นหนึ่งในประวัติการณ์ มีเพียงหนึ่งเดียว

มู่เจียงซานได้รับบาดเจ็บสาหัสกะทันหัน ทำให้ระดับอมตะชั้นยอดคนอื่นต่างระแวดระวังยิ่ง ไอสังหารในใจก็ยิ่งโชติช่วง

“ฆ่า!”

ฉีเทียนหลิน จงหลีเจวี๋ย ชื่อชางหุนออกโจมตีพร้อมกัน ต่างสำแดงไพ่ตายชั้นยอด ทำให้หลิงเสวียนจื่อตกอยู่ในการล้อมโจมตีอีกครั้ง

ไม่นานนักรอยเลือดมากมายก็ปรากฏขึ้นบนร่างหลิงเสวียนจื่อ ร่างกายถูกซัดจนเกิดรอยแตกเล็กละเอียด น้ำเลือดแดงฉานหลั่งริน

ดวงตาเขามีไอสังหารเหี้ยมเกรียมคล้ายคลุ้มคลั่งถาโถม แสงมรรคแน่นขนัดไปทั้งร่าง แสงเทพประหนึ่งกระจกสีเขียวปะทุออกลูกแล้วลูกเล่า

ต่อให้ถูกล้อมโจมตี แต่พลานุภาพเช่นนั้นดันน่ากลัวขึ้นไปอีก

นี่ทำให้พวกฉีเทียนหลินต่างตกตะลึงไม่ว่างเว้น

ควรรู้ว่าด้วยความสามารถของพวกเขาทั้งห้า ถ้าร่วมมือกัน ต่อให้อยู่ในน่านฟ้าที่แปดยังเคลื่อนกวาดไปทั้งแถบได้ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม

แต่ภายใต้การโจมตีระดับนี้ของพวกเขา หลิงเสวียนจื่อกลับยังต้านมาได้ถึงตอนนี้ เรื่องนี้น่าตกใจ เกินความคาดหมายของพวกเขาไปแล้ว

“ฆ่าเขาซะ วันนี้เป็นโอกาสงามที่สุดแล้ว!”

ฉีเทียนหลินตะโกน ในที่นั้นไม่มีผู้อ่อนแอ ผู้กร้าวแกร่งระดับอมตะขั้นดับเทพต่อสู้ ล้อมจู่โจมหลิงเสวียนจื่อ เขาไม่มีทางรอดได้

“ต่อให้ตาย ข้าก็ต้องลากสารเลวเฒ่าอย่างพวกเจ้าให้ตายตกไปด้วยกัน!”

หลิงเสวียนจื่อหัวเราะเหี้ยม แววตาไร้ความหวาดกลัว เหยียบอยู่บนแท่นบัวสีเขียวสามสิบหกชั้น กระโจนออกไปโจมตีบ้าคลั่งอย่างไม่คิดชีวิตราวกับเทพมารผู้หนึ่ง

ตูม!

ฟ้าดินสั่นคลอน จักรวาลแห่งนี้ปั่นป่วนรุนแรง กฎเกณฑ์อมตะประหนึ่งภูเขาไฟระเบิด หอบม้วนออกมาสี่ทิศแปดด้าน ดวงดาราพังทลาย ห้วงอากาศยุ่งเหยิง ยามกระแสพลังพวยพุ่ง เผยภาพวันโลกาวินาศราวกับสรรพสิ่งดับสลายออกมา

แหงนหน้ามองจากเมืองจรดฟ้า จักรวาลที่อยู่นอกท้องฟ้านั้นประหนึ่งศึกแห่งปวงเทพกำลังดำเนินอยู่ กำลังจะจมที่นั่นลงไป!

ตูม!

ท่ามกลางการต่อสู้ดุเดือด ตงหวงคงบังคับเหล็กหมาดสีเลือดเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในห้วงอากาศ พุ่งไปยังทรวงอกของหลิงเสวียนจื่อ แทบจะแทงทะลุอยู่แล้ว

“ฆ่า!”

หลิงเสวียนจื่อตะคอกเสียงเหี้ยมเกรียม พลันกระแทกเจดีย์ไร้สิ้นสุดออกไป ทุบเหล็กหมาดสีเลือดนั้นให้แตกกระจุยทั้งอย่างนั้น ในเสียงดังสนั่นน่าครั่นคร้าม เงาร่างตงหวงคงกำลังจะหลบหนี แต่กลับถูกแส้สีเงินเจิดจ้าตวัดเงาร่างไว้

ปัง!

เมื่อแส้รวบแน่น ร่างตงหวงคงก็ได้รับบาดเจ็บ เลือดสดๆ สาดกระเซ็นทันที ใบหน้าเขาซีดเผือด เต็มไปด้วยความตระหนก การโจมตีนี้แทบจะเอาชีวิตเขาแล้ว!

แต่ในระหว่างนี้การจู่โจมของระดับอมตะอีกส่วนก็เล่นงานหลิงเสวียนจื่อ

โครม!

แท่นบัวสีเขียวสามสิบหกชั้นที่คุ้มครองอยู่รอบตัวหลิงเสวียนจื่อถูกถล่มทำลายลง กลายเป็นละอองแสงม้วนตลบเต็มฟ้าในยามนี้

และเงาร่างหลิงเสวียนจื่อพลันแหลกสลายเป็นก้อนเลือดนับไม่ถ้วน แต่ยังไม่ทันให้ระดับอมตะเหล่านั้นดีใจ ก้อนเลือดนับไม่ถ้วนนี้ก็รวมตัวกันทำให้หลิงเสวียนจื่อฟื้นคืนดังเดิม!

“หืม? กายหมื่นเคราะห์ไม่ทลาย!” มีคนร้องอุทาน

“มิน่าเขาถึงกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ ถึงกับฝึกวิชาลับเช่นนี้สำเร็จ!” มีระดับอมตะสีหน้าไม่น่ามอง ขณะเดียวกันก็ตาลุกวาวหมายตามรดกลึกลับเช่นนั้น

กายหมื่นเคราะห์ไม่ทลายถูกมองว่าเป็นหนึ่งในมรดกชั้นสูงทั้งเก้าของคีรีดวงกมลเช่นเดียวกับวิชาอริยะยุทธ์ เป็นยอดวิชาที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลรังสรรค์ขึ้น ร่ำลือกันว่าหากฝึกถึงขั้นสูงสุดจะปกป้องไม่ให้ตกอยู่ในพิบัติเคราะห์ หมื่นเคราะห์ไม่ทลาย

อย่างเมื่อครู่นี้ ถ้าเป็นคนอื่นถูกระดับอมตะร่วมกันโจมตีคงกายสิ้นมรรคสลายตายคาที่ แต่แม้หลิงเสวียนจื่อจะได้รับบาดเจ็บ แต่ยังไม่ถึงตาย และฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

ตูม!

การต่อสู้ยิ่งดุเดือด แม้หลิงเสวียนจื่อจะตัวโชกเลือด แต่ยังพุ่งทะยานกลางกลุ่มคน ไม่ได้ล้มลงไป

“หลิงเสวียนจื่อ เจ้าจะทนดื้อดึงต้านทานได้ถึงเมื่อไร ทุกคนอย่าเอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่เลย รีบจัดการเขา!” มีคนตะคอกลั่น

“วันนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะกำเริบไปได้ถึงเมื่อไหร่ อาศัยเจ้าคนเดียวไม่ว่าอย่างไรก็หนีจากความตายไม่พ้น!”

ตอนนี้เองเหล่าระดับอมตะต่างเร่งโจมตี ใช้วิธีต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ไอสังหารพลุ่งพล่าน ดูออกว่าหลิงเสวียนจื่อบาดแผลเต็มตัว ต้านรับไว้ได้อีกไม่นานแล้ว

ความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะมีเจดีย์ไร้สิ้นสุดกับสามพันเคลื่อนคล้อย หลิงเสวียนจื่อคงต้านไม่อยู่ไปนานแล้ว แม้ว่ามรรควิถีเขาจะเย้ยฟ้า แต่ยังไม่แข็งแกร่งขนาดกำราบระดับอมตะขั้นดับเทพห้าคนได้

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็ยังอาละวาดปั่นป่วนไปหมด ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนคราบเลือด ดวงตาเปี่ยมไอสังหารอันคลุ้มคลั่ง

‘ศิษย์น้องเล็ก อีกเดี๋ยวเจ้าใช้พลังที่เกี่ยวกับกาลเวลานั่น ข้าจะเปิดทางรอดให้เจ้าพาจารย์อาไปเมืองจรดฟ้า!’

หลิงเสวียนจื่อสื่อจิต เผยการตัดสินใจ

หลินสวินจิตใจบีบคั้น ศิษย์พี่สี่ที่อวดดีเหิมเกริมมาโดยตลอดกลับพูดเช่นนี้ในตอนนี้ เห็นชัดว่าคิดจะเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว

‘ข้า…’

หลินสวินกำลังจะเอ่ยปากก็ถูกหลิงเสวียนจื่อตัดบท ‘อย่ามาทำยึกยัก ทำตามที่ข้าบอก แม้ศิษย์พี่สี่ไม่ได้มีพลังไร้ศัตรูใดเทียบอย่างศิษย์พี่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้โง่เง่า ถ้าให้เจ้ากับอาจารย์อามาตายกับข้า ภายหน้าถูกอาจารย์กับศิษย์พี่ศิษย์น้องรู้เข้าจะต้องดูถูกข้าแน่’

‘แต่ขอเพียงเจ้ากับอาจารย์อารอด อย่างน้อยก็ยังพิสูจน์ได้ว่าข้าหลิงเสวียนจื่อไม่ได้ทำให้คีรีดวงกมลขายหน้า!!’

พูดถึงตอนท้ายตัวเขาก็เหมือนเพลิงลุกโหม กลิ่นอายโหดเหี้ยม ประหนึ่งหมายจะเอาชีวิตเข้าแลกโดยสิ้นเชิง แสงมรรคทั้งร่างฉายส่องจักรวาล

เห็นหลิงเสวียนจื่อในตอนนี้ หลินสวินเพียงรู้สึกว่าส่วนลึกของจิตใจถูกแทงให้เจ็บปวดรุนแรง ความละอายใจอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นมา

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าแต่ก่อนตนปฏิบัติตัวกับศิษย์พี่สี่อย่างใจร้ายและไร้มารยาทเกินไป มองเขาเป็นภัยร้ายต่อคีรีดวงกมล ไม่เคยเคารพหรือยอมรับเขาจริงๆ…

แต่ศิษย์พี่สี่ กลับเหมือนไม่เคยเอาความกับตน…

หลินสวินกำหมัดทั้งสองแน่นอย่างห้ามไม่อยู่

‘รีบเคลื่อนไหว! เร็วเข้า!’ หลิงเสวียนจื่อสื่อจิตตะคอก

หลินสวินกัดฟันเอ่ยว่า ‘ศิษย์พี่สี่ ถ้าตายก็ตายด้วยกัน ข้าหลินสวินเป็นพวกรักตัวกลัวตายหรือไง!’

‘เลอะเทอะ!’

หลิงเสวียนจื่อโมโหจนหลุดด่าคำโต แต่สังเกตได้ถึงความแน่วแน่บนสีหน้าหลินสวิน รวมถึงความละอายที่เจืออยู่ในแววตา เขาเหมือนเข้าใจในทันที อดถอนใจยาวๆ อย่างห้ามไม่ได้

แต่มุมปากเขากลับมีรอยยิ้มจากใจจริงผุดพราย

ในที่สุดศิษย์น้องเล็กที่ไม่ค่อยชอบหน้าตัวเองมาตลอดผู้นี้ก็เริ่มมีมโนธรรมในใจแล้วหรือ

ความรู้สึกนี้ ต่อให้ตายไปก็ไม่เป็นไรแล้ว…

จู่ๆ บนใบหน้าที่เปื้อนคราบเลือดของหลิงเสวียนจื่อก็เผยรอยยิ้มสดใสจริงใจ

‘ศิษย์น้องเล็ก ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า จะให้เจ้ามาตายกับข้าได้อย่างไร’

ขณะพูดพลังขับเคลื่อนทั้งตัวเขาพลิกโหม พลันปลดปล่อยอานุภาพน่าครั่นคร้ามอย่างไม่เคยมีมาก่อน มรรควิถีทั้งร่างของเขาก็เหมือนจะลุกโชนโดยสมบูรณ์

ฟ้าดินแห่งนี้ต่างถูกกดอัดจนระเบิดกระจุยสนั่นหวั่นไหว อานุภาพหาใดเทียบกระตุ้นให้ระดับอมตะเหล่านั้นนัยน์ตาหดรัดทันที

“รีบไปกำราบเขา!” ชื่อชางหุนตะคอกลั่น ปีกสีเงินทั้งสองกลบฟ้าบังตะวัน พลานุภาพน่าหวาดหวั่น

“เอาชีวิตเข้าแลกแล้วอย่างไร เหนือฟ้าใต้หล้านี้ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนจุดจบได้!” ฉีเทียนหลินสีหน้าเหี้ยมเกรียม เรียกไหดินเผาที่ปกคลุมด้วยลวดลายแปลกประหลาดไหหนึ่งออกมา ไอขุ่นมัวพวยพุ่ง ภายในราวกับบรรจุโลกจักรวาลแห่งหนึ่งไว้ ปลดปล่อยกลิ่นอายไพศาลออกมา

บัดนี้คนอื่นต่างก็กระตุ้นพลังสูงสุดของตนออกมา ไม่คิดจะให้โอกาสหลิงเสวียนจื่อได้เอาชีวิตเข้าแลกสักนิด หมายจะกำราบให้สิ้นซาก!

กลับพบว่าหลิงเสวียนจื่อแสยะยิ้ม แววตาไม่ทุกข์ไม่สุข มองความเป็นความตายเหมือนไร้ตัวตน เอ่ยว่า “การโจมตีที่ข้าเอาชีวิตเข้าแลก ถ้ายังเปิดทางรอดไม่ได้ ก็คงผิดต่อฉายา ‘เป็นเลิศในหมื่นกาล’ ที่อาจารย์ให้ไว้ในตอนนั้น…”

ท่ามกลางเสียงราบเรียบ ตัวเขาเหมือนเพลิงผลาญ กระแสมหามรรคเดือดดาลเป็นลูกๆ กระจายออกมาราวภูเขาถล่มสมุทรคำราม ต้านทานและสลายการจู่โจมจากสี่ทิศแปดทางเหล่านั้นทั้งหมด

นี่ทำให้ระดับอมตะเหล่านั้นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย สำแดงวิชาก้นกรุออกมาอย่างไม่ลังเลสักนิด

ชั่วขณะหนึ่งวิชามรรคและสมบัติชั้นยอดทั้งปวงก็ชักนำประกายอมตะที่สามารถสะท้านหมื่นกาลออกมา พลุ่งพล่านและแผ่กระจายไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้!

“ศิษย์น้องเล็ก…” หลิงเสวียนจื่อประคองเจดีย์ไร้สิ้นสุดไว้ในมือ เปล่งประกายหมื่นจั้ง สีหน้ามีแต่ความสุขุมเยือกเย็น “ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ คราวนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

จู่ๆ หลินสวินก็พบว่าตัวเขาถูกพลังอันน่ากลัวม้วนตลบเอาไว้ ไม่อาจขยับตัวได้สักนิด

เขากระวนกระวายอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยกราดเกรี้ยวว่า “หลิงเสวียนจื่อ! ท่านอยากให้ข้ารู้สึกละอายใจไปชั่วชีวิตหรือ!”

หลิงเสวียนจื่อหัวเราะร่า “ถ้าเจ้าระลึกถึงความดีของข้า วันหน้าก็ฆ่าเฒ่าสารเลวพวกนี้แล้วเอาหัวพวกเขามาเซ่นข้าก็พอ! จริงด้วย ตอนนั้นอย่าลืมเตรียมเหล้าดีๆ ให้ข้าด้วยล่ะ!”

ขณะพูดเขาก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จะเรียกเอามรรควิถีของตนทั้งหมดที่สะสมอยู่ในเจดีย์ไร้สิ้นสุดออกมา

การโจมตีนี้หลอมสารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณของเขาไว้ทั้งสิ้น!

ไม่แน่ว่าหลังจากการโจมตีนี้เขาก็จะกายสิ้นมรรคสลาย แต่ขอเพียงให้ศิษย์น้องหลินสวินกับอาจารย์อาคงเจวี๋ยมีชีวิตรอดต่อไป ก็คุ้มแล้ว!

สิ่งเดียวที่เสียดาย…

อาจจะเป็นเรื่องที่เพิ่งได้มีชื่อระบือนามในใต้หล้าหลังจากถูกกำราบมาหมื่นกาล ก็ต้องหายไปจากโลกนี้แล้วกระมัง

“ตอนนั้นข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ”

แต่ก็ในตอนนี้เองเสียงถอนใจหนึ่งดังขึ้น เจือแววทอดถอนใจ เสียงไม่สูงแต่กลับสะเทือนรอบทิศ มีปราณกระบี่ปลิวว่อนเป็นสายๆ โคจรอยู่กลางฟ้า

เมื่อเสียงดังขึ้น หลิงเสวียนจื่อที่กำลังจะโจมตีโดยทุ่มสุดชีวิตก็เหมือนถูกผนึกเอาไว้ ขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

ขณะเดียวกันเงาร่างสายหนึ่งก็เข้ามาขวางหน้าเขาไว้

“ถึอโอกาสที่ข้าตื่น เจ้ากับเจ้าหนูนี่ก็ดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ ไปเถอะ”

คนผู้นี้เสียงติดขัดไม่ชัดเจนเหมือนไม่ได้พูดมานาน แต่เมื่อพูดจบ แต่ละคำนั้นเหมือนกระบี่สวรรค์กังวานก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน เผยแววดุดันอหังการพุ่งสู่ก้นบึ้งจิตใจคน

หลิงเสวียนจื่อที่เดิมจะไปสู้ตายกับหลินสวินที่ในใจกระวนกระวายโกรธเคืองต่างปากอ้าตาค้างอย่างอดไม่อยู่

เงาร่างที่มาขวางหน้าอยู่นี้ถึงกับเป็นอาจารย์อาคงเจวี๋ย!

เขาที่ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ตาเมาสะลึมสะลือ โกโรโกโสอย่างกับขอทานข้างถนน ยามนี้ประหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แผ่นหลังตรงแน่ว ปราณกระบี่ทั้งตัวดุจกระแสน้ำซัดสาดไปในจักรวาลฟ้าดารา ยืนตามสบายเช่นนั้นก็เหมือนยอดจอมกระบี่โอหังเหนือสี่สมุทร หยิ่งผยองเหนือเก้าชั้นฟ้า

ตูม!

การล้อมโจมตีของระดับอมตะเหล่านั้นน่ากลัวและแข็งแกร่งปานไหน

แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นวิชามรรคหรือสมบัติอะไร ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกอานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของคงเจวี๋ยซัดทำลายไปหมด!

นี่ทำให้พวกฉีเทียนหลิน ชื่อชางหุนหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงสักนิดว่าตัวตนที่เหมือนกับคนไร้ค่าเสียสติที่ถูกพวกเขาเมินมาตลอดคนหนึ่ง จะถึงกับเปลี่ยนเป็นคนละคนในตอนนี้

“เอวห้อยน้ำเต้ากลืนกิน ก้าวเดินบนมหามรรค ชีวิตก่อนหน้าข้ามด่านเคราะห์สิบแปดครั้ง ชีวิตภายหลังแจ้งอมตะ ข้าบอกไว้นานแล้วว่าอาจารย์อาคงเจวี๋ยของพวกเราแสร้งทำเป็นเสียสติมาโดยตลอด!”

หลิงเสวียนจื่อร้องลั่น ดูตื่นเต้นนัก

“เป็นหนึ่งในประวัติการณ์ มีเพียงหนึ่งเดียว…”

หลินสวินก็อารมณ์พลุ่งพล่าน คิดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่าคงเจวี๋ยที่สภาวะจิตมีปัญหา พลังปราณสูญสิ้นไปแล้วชัดๆ กลับยืนขึ้นมาในตอนนี้!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท