ตอนที่ 2577 อานุภาพต้องห้าม
กาลเวลาไหลหลั่ง โชคชะตาดั่งสายธาร เมื่อถักทอเข้าด้วยกัน ฟ้าดาราแห่งนี้ก็เหมือนตกอยู่ในวัฏจักรอันพิสดารอย่างหนึ่ง ทุกสิ่งล้วนสำแดงภาพโรยรา จ่อมจม และดับสูญ
ตี้สือเพียงรู้สึกว่าตรงหน้าขาวโพลน แต่ทั้งกายใจกลับครั่นคร้ามอย่างบอกไม่ถูก
พลังของกาลเวลากับโชคชะตาประหนึ่งกระแสเชี่ยว ตวัดตัวเขาเข้าไปในหุบเหวกาลเวลาอันไม่อาจล่วงรู้
ตรงหน้าเขามีแสงเงาไหลเวียน ภาพต่างๆ ปรากฏขึ้น ล้วนเป็นทุกสิ่งที่ได้ประสบมาในอดีต ความตื่นเต้นและปรีดาตอนได้เหยียบย่างลงบนเส้นทางฝึกปราณ ความสุขสันต์และภาคภูมิตอนบรรลุระดับแต่ละครั้ง ความยากลำบากและอันตรายตอนแจ้งมรรค…
ความสุขความทุก การพานพบและแยกจากในอดีต ความเคืองแค้นพยาบาทในวันวาน สหายเก่าและศัตรูที่จากไปเหล่านั้น…
แต่ละภาพเคลื่อนผ่านหน้าไป โรยราและแหลกสลาย หายลับไร้ร่องรอย
จนกระทั่งได้เห็นใบหน้างดงามดั่งภาพวาดหนึ่งเคลื่อนออกมา ตี้สือหายใจติดขัด ดิ้นรนสุดชีวิต พยายามไปจับใบหน้านั้นไว้
แต่ภาพนี้กลับมลายหายไปอย่างไร้ปรานี
“ไม่!”
ตี้สือกุมหัวร้องตะโกน สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
นั่นคือผู้หญิงที่เขารักที่สุด แต่ในตอนนี้เขากลับพบว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นถึงกับถูกลบไปจากความทรงจำ ชื่อ ความชอบ นิสัย แม้กระทั่งน้ำเสียงรอยยิ้ม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของนาง ถึงกับไม่อาจจำได้โดยสิ้นเชิง!
จนท้ายที่สุดสีหน้าเขามีแต่ความงุนงง ความเจ็บปวดในใจมลายหายไป คล้ายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่เคยมีอยู่
ภาพแต่ละภาพนั้นยังปรากฏ ผันผ่าน โรยรา ดับสลาย…
ความกลัวในใจตี้สือกลับหนักหน่วงยิ่งขึ้น เขาสัมผัสได้แล้วว่าภาพที่ผ่านไปเหล่านั้นล้วนเป็น ‘ประสบการณ์’ กับ ‘ความทรงจำ’ ที่เขามีอยู่แต่เดิม!
แต่ตอนนี้กลับถูกพลังอันน่ากลัวช่วงชิงและทำลายไป!
“ทำไม ทำไม…” ตี้สือดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ส่งเสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่า
นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เปรียบดั่งตกลงไปในหุบเหวกาลเวลา ทุกสิ่งที่ได้ครอบครองในอดีตและปัจจุบันหายไปจากตัวเขาหมด กระทั่งพลังปราณ อายุขัย ความทรงจำ สติปัญญา ความนึกคิด รวมถึงมหามรรคที่เพียรไขว่คว้ามาชั่วชีวิต…
ต่างหายไปไม่หยุด!
คล้ายย้อนกลับไปในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ทั้งยังเหมือนเพิ่งผ่านไปแค่พริบตาเดียว
ทุกสิ่งตรงหน้าหายไปหมดแล้ว
ที่นี่ยังเป็นฟ้าดาราอันวังเวงและกว้างใหญ่แห่งนั้น
ตี้สืออึ้งอยู่ตรงนั้น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความงุนงง
จากนั้นเขาก็เห็นหนึ่งหญิงหนึ่งชาย
ผู้หญิงแต่งกายชุดดำทั้งตัว เงาร่างอรชร แม้หมวกคลุมจะบดบังใบหน้า แต่ยังเผยความงามอันลึกลับสะท้านวิญญาณเช่นเคย
นางกำลังกระอักเลือด
ชายหนุ่มหอบหายใจกระชั้น หน้าซีดถอดสี กลิ่นอายทั้งร่างอ่อนแอ แววตาหม่นแสง
ในตอนนี้สายตาของทั้งสองจับจ้องที่ตัวเขา ทำให้เขาอึดอัดไปหมด เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน”
เสียงอ่อนเยาว์
“ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
ซย่าจื้อจ้องมองมารเทพตี้สือที่กลายเป็นเด็กคนหนึ่งไปแล้ว พักหนึ่งถึงเอ่ยอย่างกังขา
“แบบนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือ”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เสียงแหบแห้งเผยความยินดี “สวะเฒ่าคนหนึ่งเสียความทรงจำ มรรควิถีและอายุขัย ถูกย้อนกลับไปช่วงวัยเด็ก เกรงว่าเขาในตอนนี้ไม่รู้สึกนิดว่าพวกเราเป็นใคร”
เขาเผยแววประหลาด เจือความสะท้านใจ
ถ้าเขาสันนิษฐานไม่ผิด นี่ก็คือพลังน่าเหลือเชื่อที่เกิดจากนัยเร้นลับกาลเวลาและนัยเร้นลับโชคชะตาหลอมรวมกัน!
ราวกับกระแสโชคชะตาหมุนย้อนกลับ ชิงเอามรรควิถีและความทรงจำ เล่นงานคนผู้หนึ่งให้อยู่ในสภาวะก่อนฝึกปราณ!
นี่ไม่ต่างอะไรกับพลังต้องห้ามแล้ว
นี่ยังทำให้หลินสวินนึกถึงอภินิหารพรสวรรค์ขั้นที่สาม ‘ดาบกาลเวลา’ ที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ครอบครอง!
เมื่อนานมาแล้วลั่วทงเทียนเคยอาศัยอภินิหารเช่นนี้เล่นงานเว่ยหมิงจื่อให้กลับไปเป็นเด็กหนุ่ม มรรควิถีทั้งตัวก็ลดลงไปยังช่วงวัยเด็กหนุ่มตามไปด้วย
อภินิหารเช่นนั้นสามารถย้อนเวลากลับ ตัดมรรควิถี น่าเหลือเชื่อถึงขีดสุด!
แต่พลังที่หลินสวินกับซย่าจื้อร่วมกันสำแดงเมื่อครู่ไม่เหมือนกับดาบกาลเวลา ไม่เพียงย้อนเวลา ตัดมรรควิถี ชิงเอาความทรงจำ ประสบการณ์ สติปัญญาของมารเทพตี้สือไปด้วย ทำให้เขาย้อนกลับไปสู่วัยเด็กจริงๆ ไม่มีความทรงจำและประสบการณ์ในอดีต ก็เหมือนกับภาพวาดทิวทัศน์ที่โดนกำจัดรอยหมึกดำไปจนหมด เปลี่ยนเป็นกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งอีกครั้ง!
นี่เกี่ยวข้องกับพลังโชคชะตาอย่างไม่ต้องสงสัย!
แล้วจะไม่ให้หลินสวินสั่นสะท้านได้อย่างไร
กาลเวลา โชคชะตา นี่เป็นถึงมหามรรคที่ล้วนถูกมองว่าเป็นยอดพลังต้องห้าม!
ตามคำร่ำลือ เพียงมองทะลุแก่นอัศจรรย์แห่งอมตะ หยั่งรู้กฎเกณฑ์โชคชะตาได้ ก็สามารถยืนอยู่เหนือหมื่นมรรค มองทะลุความอัศจรรย์ของกาลเวลาผันผ่าน สัมผัสกับนัยเร้นลับแห่งการรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของยุคสมัย!
และตอนนี้ อภินิหารพรสวรรค์ของเขาเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์กาลเวลา ส่วนภายในตัวซย่าจื้อก็มีพันธนาการประหนึ่งกฎเกณฑ์โชคชะตาประทับอยู่ หนึ่งกาลเวลา หนึ่งโชคชะตา ถึงกับช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากอันตราย เอาชนะมารเทพตี้สือในช่วงเวลาคับขันนี้!
ทั้งหมดนี้ดูน่าเหลือเชื่อนัก
ควรรู้ว่าคนน่ากลัวอย่างตี้สือเคยสังหารระดับอมตะไม่น้อย แต่กระทั่งคนแข็งแกร่งอย่างเขายังรับพลังต้องห้ามจากการประสานของกาลเวลาและโชคชะตาไม่ไหว!
“พวกเจ้า… ส่งข้ากลับบ้านได้ไหม”
ตี้สือที่เป็นเหมือนเด็กบัดนี้รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เขาไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยงุนงงอ่อนต่อโลกคนหนึ่งจริงๆ
“กลับบ้านหรือ”
หลินสวินเดินไปข้างหน้า ลูบศีรษะน้อยๆ ของตี้สือ เอ่ยด้วยแววตาประหลาดว่า “เจ้าหนู ข้าถามเจ้าก่อน เจ้าชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน”
“ข้าชื่อโก่วต้าน บ้านอยู่ในหมู่บ้านต้นไหวใหญ่โคกเจ็ดลี้” เด็กน้อยตี้สือเอ่ยอย่างขลาดกลัว
โก่วต้าน (ไข่หมา) หรือ
หลินสวินมุมปากกระตุกครู่หนึ่ง เกือบขำออกมาอย่างอดไม่ได้ บุคคลน่ากลัวยิ่งอย่างมารเทพตี้สือ ที่แท้ตอนเด็กชื่อว่าโก่วต้านหรือ
“เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” หลินสวินถาม
เด็กน้อยตี้สือส่ายหัว เอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “ไม่รู้”
จิตรับรู้หลินสวินสืบเข้าไปในร่างเขา พบว่าเป็นร่างเด็กน้อยแท้ๆ ไม่มีมรรควิถีสักนิดจริงๆ ถ้าตนต้องการ แค่ขยับความคิดก็ฆ่าเขาได้แล้ว
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับตี้สือที่เป็นเช่นนี้ สุดท้ายหลินสวินก็ใจร้ายไม่ลง ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ถูกชิงทุกอย่างที่เคยครอบครองไปนานแล้ว
“โก่วต้าน รอตอนพวกเราจากไปจะพาเจ้าไปด้วยกันดีไหม” หลินสวินเอ่ย
เด็กน้อยตี้สือจะร้องไห้แล้ว “ข้าแค่อยากกลับบ้าน พี่ชาย ขอร้องท่านล่ะ พาข้ากลับบ้านเถอะ”
หลินสวินทอดถอนใจในใจ สะบัดแขนเสื้อรับเด็กน้อยตี้สือมาเก็บไว้ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง จมสู่ห้วงนิทรา
“รอภายหน้าไปถึงโลกยอดนิรันดร์ก็หาบ้านให้เขาแล้วกัน…”
หลินสวินตัดสินใจ
ก็ในตอนนี้เองเงาร่างซย่าจื้อโคลงเคลงไปครู่หนึ่งเหมือนจะยืนหยัดไม่ไหวอยู่รอมร่อ หลินสวินจิตใจรัดเกร็ง เดินเข้าไปและโอบนางมาในทันที
แต่ที่โดนมือกลับมีแต่คราบเลือด
หลินสวินถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าบนผิวที่ถูกชุดดำบดบังไว้ของซย่าจื้อนั้น มีรอยแตกละเอียดยิบเหมือนใยแมงมุมนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ซึมไปด้วยเลือดสดๆ มานานแล้ว
เมื่อเลิกหมวกคลุมของนางขึ้น บนใบหน้างามล้ำดั่งภาพวาดนั้นยังซีดเผือดไร้สีเลือด เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปาก
“ซย่าจื้อ!”
หลินสวินใจสั่นสะท้าน รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างที่สุด หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
“ข้าไม่เป็นไร แค่ฝืนทำลายพันธนาการที่อยู่ในร่างสายหนึ่งเลยได้รับบาดเจ็บไปบ้าง” ซย่าจื้อเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เอ่ยอย่างสงบนิ่ง เสียงยังคงกระจ่างชัดยากจับต้องราวกับเสียงสวรรค์เช่นเคย เพียงแต่เนตรกระจ่างนั้นหม่นลงนานแล้ว
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีสุดตัวเหมือนเผาตัวเองของนางนั้น ความจริงแล้วทำให้นางบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก!
“นี่ยังเรียกว่าไม่เป็นไรหรือ!”
ความรู้สึกผิดและสงสารอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจหลินสวิน เขากอดซย่าจื้อไว้ในอ้อมแขนแน่น “เพราะข้าไร้สามารถเอง ต่อให้ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจปกป้องเจ้าที่อยู่ข้างกายดีๆ ได้…”
เขาพูดเสียงต่ำลึก เผยการตำหนิตัวเองอย่างลึกซึ้ง
ตั้งแต่เยาว์วัยจนตอนนี้ ซย่าจื้อต้านเคราะห์สังหารให้ตนไม่รู้กี่ครั้ง แต่ตนเล่า ต่อให้ตอนนี้มีมรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องขนาดนี้ ยังต้องให้ซย่าจื้อเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อตน ได้รับบาดเจ็บเพื่อตน…
ทั้งหมดนี้ก็เหมือนคมดาบทิ่มแทงใจหลินสวิน ทำให้เขาตาแดงไปหมด
“หลินสวิน นี่เป็นสิ่งที่ข้ายินดีทำ”
ซย่าจื้อเอ่ยจริงจัง “สำหรับข้าแล้ว เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมือนหลักการฟ้าดิน เจ้า… อย่าเป็นแบบนี้อีกเลย”
นางสังเกตได้ว่าสภาวะจิตของหลินสวินแปลกไป นี่ทำให้ในใจนางก็รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก นางไม่อยากให้หลินสวินโทษตัวเอง
ไม่อยากจริงๆ
“หลักการฟ้าดินอะไร ตัวเจ้าเองยินดีอะไร ใช้ไม่ได้กับข้าทั้งนั้น!”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กัดฟันเอ่ยว่า “ยังจำคำที่ข้าพูดตอนนั้นที่แดนปรินิพพานได้ไหม จะสู้ก็สู้ด้วยกัน จะตายก็ตายด้วยกัน! เจ้าจะฝืนอย่างวันนี้ไม่ได้อีกเด็ดขาด เข้าใจไหม”
ซย่าจื้อจ้องหลินสวินครู่หนึ่งแล้วก้มหัวลง ส่งเสียงอืมตอบรับ
หลินสวินเอาโอสถเทพหายากอันล้ำค่ามากมายออกมาจนหมด ส่งให้ซย่าจื้อแล้วเอ่ยว่า “รักษาแผลก่อน ข้าจะช่วยคุ้มกันให้เจ้า”
“ไม่ต้อง บาดแผลของข้าเกี่ยวข้องกับพลังพันธนาการพวกนั้นในร่างข้า ทำได้แค่ให้ข้ามาสลายและฟื้นตัวเอง” ซย่าจื้อเอ่ยเบาๆ
“ให้เจ้ากินก็กินไป ต่อให้รักษาแผลเจ้าให้หายไม่ได้ก็ไม่เสียหายอะไร” หลินสวินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ซย่าจื้อจึงรับโอสถเทพเหล่านั้นไว้ กลืนและหลอมไปทั้งหมด
คำพูดของหลินสวิน นางเชื่อฟังมาโดยตลอด
หลินสวินเห็นดังนี้จึงลอบถอนใจโล่งอก เอาโอสถบางอย่างออกมาเริ่มกลืนกินและหลอมเช่นกัน
หนีจากจักรวาลนอกเมืองจรดฟ้ามาจนตอนนี้ เขาใช้อภินิหารหยุดเวลาไปสามครั้งติด มรรควิถีในตัวแทบแห้งเหือด อ่อนแอถึงขีดสุดนานแล้ว
ตอนนี้เมื่อผ่อนคลายลง ทำให้เขารู้สึกกินแรงอยู่บ้างเช่นกัน
เงาร่างทั้งสองของพวกเขาคลอเคลียกันในฟ้าดารา ราวกับปลาที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามอ่อนแอ ในใจรู้สึกสงบและมั่นคงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ผ่านความทุกข์ยาก ลิ้มรสอันตราย ถึงสัมผัสได้ว่าความสงบในตอนนี้หายากเพียงไหน
ครู่ใหญ่
พลังปราณหลินสวินฟื้นคืนมาเกินครึ่ง แต่ที่ทำให้เขากังวลก็คือแม้แผลบนร่างซย่าจื้อจะสมานแล้ว แต่กลิ่นอายกลับยังอ่อนแอถึงขีดสุด แววตาหม่นหมอง ราวกับสูญเสียสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณไป บนใบหน้างดงามซีดขาวนั้นมีแววเซื่องซึมที่สลัดไม่หลุดพันพัวอยู่กลายๆ
“ซย่าจื้อ ให้ข้าดูอาการบาดเจ็บภายในร่างเจ้าหน่อย”
หลินสวินตัดสินใจเด็ดขาด เขาไม่เชื่อว่าบาดแผลมรรคเกิดจากพันธนาการโชคชะตาที่ว่าจะไม่มีทางรักษาได้!
ขณะที่พูด จิตรับรู้เขาก็เคลื่อนออกไป ผุดเข้าสู่ร่างอ้อนแอ้นอรชรนั้นของซย่าจื้อ
——