Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2581 น่านฟ้าที่หนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2581 น่านฟ้าที่หนึ่ง

ตอนที่ 2581 น่านฟ้าที่หนึ่ง

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น

หลินสวินจัดการแผลทั่วร่างกายรอบหนึ่งแล้ว แม้ยังไม่ได้ฟื้นฟูและผสานกันอย่างแท้จริง แต่ก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการแล้ว

เวลาที่เหลือจากการฝึกปราณ เขาก็จะให้ซย่าจื้อกินโอสถเทพทุกวัน แม้ผลลัพธ์ไม่มาก แต่นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้

ซย่าจื้อต่างจากผู้ฝึกปราณบนโลก บาดแผลของนางต้องฟื้นฟูและสมานด้วยตัวเอง นี่เกี่ยวข้องกับพันธนาการโชคชะตาที่ประทับไว้ในร่างของนาง แม้แต่หลินสวินก็ทำอะไรไม่ได้

แต่ยังดีที่ในหมู่บ้านเงาเมฆาไม่มีความวุ่นวายใดๆ ทำให้หลินสวินสามารถใช้เวลาและพลังในการฝึกปราณและดูแลซย่าจื้อได้มากขึ้น

“พี่เต้ายวน”

เสี่ยวซีมาอีกแล้ว เด็กสาวจะมาส่งยาตรงเวลาในทุกวัน ความจริงยาเหล่านี้ไม่เข้าตาหลินสวินนานแล้ว แต่ความจริงใจนี้กลับได้ผลกับหลินสวินมาก

เมื่อดื่มยาหมดหลินสวินยิ้มพูดว่า “เสี่ยวซี มา ให้ข้าดูหน่อยว่าช่วงนี้พลังปราณของเจ้าพัฒนาขึ้นหรือไม่”

ดวงตาคู่โตที่สดใสแพรวพราวของเสี่ยวซีเป็นประกาย กล่าวว่า “อืม!”

นอกเรือนหิน

ลานหน้าเรือนที่กว้างใหญ่ ต้นไม้โบราณฝังราก พุ่มไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ในระยะที่ไม่ไกลนักเป็นแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ราวกับเข็มขัดหยกคดเคี้ยวเส้นหนึ่งอ้อมพันหมู่บ้านเงาเมฆา

หมู่บ้านเงาเมฆาน่าจะนับได้ว่าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก มีประชากรราวๆ พันคน ล้วนอยู่ที่นี่มาหลายชั่วคนอายุ ที่ผ่านมาดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเก็บโอสถเป็นหลัก

ทั้งชายหญิงแก่เด็กในหมู่บ้านนี้เริ่มฝึกปราณมาตั้งแต่เด็ก วิชาที่ฝึกก็สืบทอดมาช้านานเช่นเดียวกัน

ในช่วงที่ผ่านมานี้หลินสวินได้เข้าใจเรื่องมากมาย

อย่างเช่น ภูเขาใหญ่ที่หมู่บ้านเงาเมฆาตั้งอยู่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถูกเรียกว่า ‘เทือกเขาเทพตก’ พื้นที่ที่เทือกเขาปกคลุมยาวไกลหลายแสนลี้

เมืองที่ห่างจากหมู่บ้านเงาเมฆใกล้ที่สุดชื่อว่า ‘เมืองหลิวเขียว’ ว่ากันว่าเมืองแห่งนั้นสร้างขึ้นด้วยเปลือกของต้นหลิวเขียวที่ตื่นรู้และแจ้งมรรคระดับอมตะต้นหนึ่ง

ส่วนเมืองหลิวเขียว คือหนึ่งในสามร้อยหกสิบเมืองที่ตั้งอยู่ในอาณาเขต ‘แคว้นเมฆวารี’

แคว้นเมฆวารี ก็คือหนึ่งในแคว้นจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘แดนทุ่งบูรพา’

แดนทุ่งบูรพา แดนหมอกประจิม แดนลมอุดร แดนเพลิงทักษิณ รวมกันเป็นอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลของน่านฟ้าที่หนึ่งแห่งโลกยอดนิรันดร์!

และก็หมายความว่า หลินสวินในตอนนี้มาถึงโลกยอดนิรันดร์แล้วจริงๆ!

เพียงแต่หมู่บ้านเงาเมฆานี้อยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาเทพตกมาทุกรุ่น ความเข้าใจที่มีต่อน่านฟ้าที่หนึ่งจึงน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข่าวลือที่เล่ากันปากต่อปาก

ทำให้หลินสวินเองก็ไม่สามารถรู้ข้อมูลที่ละเอียดมากไปกว่านี้

แต่ไม่ว่าอย่างไร สามารถรอดชีวิตมาถึงโลกยอดนิรันดร์ได้ก็เป็นข่าวดีสำหรับหลินสวินแล้ว

วู้ม!

ในลานหน้าเรือน ไอวิญญาณระลอกหนึ่งผันผวน เงาร่างเล็กของเสี่ยวซีเปล่งกลิ่นอายแข็งแกร่งออกมา เริ่มสำแดงวิชาหมัด กระบวนท่ารวดเร็วดุดัน ลมหมัดเย็นเยียบ ทำให้แม้แต่อากาศยังส่งเสียงดังวู้มๆ ออกมา

หลินสวินยืนอยู่ข้างๆ มองดูเงียบๆ

เสี่ยวซีเพิ่งอายุสิบสองก็ครอบครองพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งฐานมรรคแข็งแกร่งหนักแน่นมาก

อายุน้อยเท่านี้ก็มีมรรควิถีที่ลึกล้ำน่าทึ่งขนาดนี้แล้ว หากอยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารา สามารถเรียกได้ว่าพรสวรรค์โดดเด่นอย่างแน่นอน

ทว่าอิงตามที่เสี่ยวซีพูด ทั้งหมู่บ้านเงาเมฆา คนรุ่นเดียวกันที่เก่งกาจกว่านางยังมีอีกมาก

นี่ทำให้หลินสวินลอบตกใจ

หลังจากสำรวจดูเขาถึงเข้าใจคร่าวๆ

จุดหลักอยู่ที่ว่า แม้หมู่บ้านเงาเมฆาจะเป็นเพียงแค่หมู่บ้านในป่าลึกที่ห่างไกล แต่อย่างไรก็ตั้งอยู่ในน่านฟ้าที่หนึ่ง เงื่อนไขโดยธรรมชาติก็ดีกว่าไปแล้ว

ความเข้มข้นของไอวิญญาณที่กรายจายกลางฟ้าดิน วัตถุดิบล้ำค่าและโอสถวิญญาณที่มีอยู่ในเทือกเขา ไม่ใช่สิ่งที่โลกอื่นจะเทียบได้ นี่ยิ่งมีส่วนช่วยอย่างเหลือเชื่อต่อการฝึกปราณ

อีกทั้งกลิ่นอายมหามรรคของที่นี่แข็งแกร่งและหนาแน่น เต็มไปด้วยท่วงทำนองมหัศจรรย์ที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ การฝึกปราณที่นี่จึงมีประโยชน์เกิดคาดคิด

ยามสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดที่นี่ ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจุดเริ่มต้นของเส้นทางการฝึกปราณจะเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตในโลกอื่นมาก!

นี่ก็คือโลกยอดนิรันดร์ ในสายตาผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนของโลกพันจักรวาล ที่แห่งนี้เหมือนเมืองแห่งนิรันดร์ ดั่งโลกแห่งเทพในตำนาน เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงในสายตาของผู้ฝึกปราณทุกคน

ต่อให้เป็นคนทั่วไปอยู่ที่นี่ ก็สามารถอายุยืนยาว มีอายุขัยที่เหนือกว่าคนทั่วไป!

ขณะเดียวกันเพราะกฎเกณฑ์แตกต่าง เมื่อเทียบกันแล้ว หากเปรียบโลกพันจักรวาลเป็นเรือนหินที่เรียบง่าย เช่นนั้นโลกยอดนิรันดร์ก็คือป้อมปราสาทที่สร้างจากทองเทพ

ในโลกพันจักรวาล เมื่อเกิดศึกจักรพรรดิขึ้นก็สามารถทำลายล้างฟ้าดินได้ทันที สร้างพิบัติที่ไม่สามารถจินตนาการได้

แต่ในโลกยอดนิรันดร์ ถูกจำกัดโดยพลังระเบียบโลกที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด การต่อสู้ระหว่างระดับจักรพรรดิ อย่างมากก็ทำได้เพียงแค่ผ่าแหวกแม่น้ำสายหนึ่งเท่านั้น

คนที่สามารถทำลายล้างฟ้าดิน เด็ดจันทราดวงดาราได้ คือระดับอมตะ!

อย่างเช่นตอนนี้ เสี่ยวซีครอบครองพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ พลังหมัดที่ปล่อยออกมาสามารถตีให้ห้วงอากาศปั่นป่วน ส่งเสียงกึกก้องได้เท่านั้น

หากอยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารา ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติยังถึงขั้นสามารถเปิดภูเขาแหวกแม่น้ำได้

ครู่ใหญ่เสี่ยวซีก็เก็บกระบวนท่า ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม บนใบหน้าเล็กมีเม็ดเหงื่อแวววาวชั้นหนึ่ง นางถามในทันที “พี่เต้ายวน ท่านคิดว่าอย่างไร”

หลินสวินเอ่ยชม “ไม่เลว อีกไม่เกินหนึ่งเดือนสามารถไปลองทะลวงระดับราชันได้ แต่วิชาหมัดที่เจ้าฝึกกลับต้องปรับแก้สักหน่อย เส้นทางแข็งกร้าวดุดันไม่เหมาะกับเจ้า…”

ว่าพลางหลินสวินก็หยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมา จิตรับรู้แทรกเข้าไป บันทึกข้อชี้แนะของตนลงไปอย่างละเอียด จากนั้นยื่นให้เสี่ยวซีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเอากลับไปดู ไม่แน่ว่าอาจสามารถช่วยเจ้าได้”

เสี่ยวซีรับม้วนหยกมาแล้วพูดอย่างดีใจ “ขอบคุณพี่เต้ายวน”

หลินสวินยีหัวนางพร้อมรอยยิ้ม

หลายวันมานี้เสี่ยวซีมาส่งยาทุกวัน หลินสวินเองก็มีใจอยากทดแทนบุญคุณ ช่วงที่ผ่านมานี้จึงให้คำชี้แนะด้านการฝึกปราณกับเสี่ยวซีไปบ้าง

“เสี่ยวซี เจ้ากลับไปฝึกปราณก่อน”

ไกลออกไปผู้ใหญ่บ้านอู่ชวนเดินเข้ามา เอ่ยสั่งพร้อมรอยยิ้ม เสี่ยวซีขานรับว่าอืม ก่อนที่เงาร่างเล็กจะพุ่งไปจากไปไกลๆ เหมือนผีเสื้อ

“สหายน้อย ฟื้นตัวเป็นอย่างไรบ้าง” อู่ชวนถาม

หลินสวินกล่าว “บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว ไม่ส่งผลต่อการเดินเหินแล้ว”

อู่ชวนเผยสีหน้าวางใจ พูดอย่างซาบซึ้ง “เช่นนี้ย่อมดีที่สุด สหายน้อยต้องใส่ใจซย่าจื้อให้มากๆ หน่อย ตั้งแต่นางเข้าหมู่บ้านเงาเมฆา ข้าก็สังเกตเห็นว่าบาดแผลของนางรุนแรงมาก แต่ยังคงฝืนเฝ้าอยู่ข้างกายเจ้าไม่ห่าง ข้าเกลี้ยกล่อมให้นางพักผ่อนครั้งแล้วครั้งเล่านางก็ไม่ฟัง ข้าดูออกว่าคนที่นางใส่ใจที่สุดก็คือเจ้า”

หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าต้องทำแน่นอน!”

อู่ชวนยิ้มพูด “ข้ารู้ คนระดับสหายน้อยต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ถึงขั้นความสำเร็จบนมรรคาคงจะแข็งแกร่งกว่าในความคิดของข้า สักวันเจ้ากับแม่นางซย่าจื้อจะต้องไปจากที่นี่ ทว่าก่อนจะถึงเวลานั้น รับปากข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “เชิญผู้อาวุโสพูด”

อู่ชวนดูเหมือนลังเลเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “สามปีหลังจากนี้ เมืองหลิวเขียวจะเปิดศึกคัดเลือก ถึงตอนนั้นคนรุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่าสิบแปดและครอบครองพลังปราณระดับราชันอมตะเคราะห์ล้วนสามารถเข้าร่วมได้ หากแสดงฝีมือได้โดดเด่น ก็จะถูกส่งไปฝึกปราณในสำนักศึกษาสองลักษณ์ของแดนทุ่งบูรพา…”

“พ่อแม่ของเสี่ยวซีจากไปนานแล้ว นางโตมากับข้าตั้งแต่เด็ก เด็กคนนี้ปีนี้เพิ่งอายุสิบสอง ภายในสามปีย่อมสามารถก้าวสู่ระดับราชันอมตะเคราะห์ได้…”

หลินสวินเข้าใจรางๆ แล้ว กล่าวว่า “ถึงตอนนั้นผู้อาวุโสอยากให้ข้าช่วยส่งเสี่ยวซีเข้าสำนักศึกษาสองลักษณ์ใช่หรือไม่”

อู่ชวนรีบส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้น ข้าเพียงอยากให้ตอนที่สหายน้อยจากไป พาเสี่ยวซีไปด้วย ส่งนางไปที่เมืองหลิวเขียว สามารถเข้าร่วมศึกคัดเลือกครั้งนี้ก็พอแล้ว”

หลินสวินยิ้มพูด “ผู้อาวุโสววางใจเถอะ ข้าจะช่วยเสี่ยวซี”

อู่ชวนเหมือนโล่งอกไปคราหนึ่ง พูดเยาะเย้ยตนเอง “คนของหมู่บ้านเงาเมฆา อาศัยอยู่ในป่าลึกเก่าแก่นี้มารุ่นสู่รุ่น ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีประสบการณ์อะไร ถึงขั้นไม่เคยออกจากเทือกเขาเทพตกแม้แต่ก้าวเดียว ไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกเลย ไม่กลัวว่าสหายน้อยจะมองเป็นเรื่องตลก อย่างข้าอยู่มาหลายร้อยปี เคยไปเมืองหลิวเขียวเพียงครั้งเดียว ที่แห่งนั้น…รุ่งเรืองมากจริงๆ”

พูดถึงสุดท้าย ในสายตาอดเผยสีหน้ามุ่งหวังไม่ได้ “ข้าแก่แล้ว ไม่มีอย่างอื่นที่ต้องการ แต่ไม่อยากให้เสี่ยวซีติดอยู่ในป่าแห่งนี้ทั้งชีวิต นางยังเด็ก ต่อไปยังมีหนทางให้เดินอีกมาก จะไม่ออกไปเพิ่มพูนประสบการณ์ได้อย่างไร”

หลินสวินอดสะเทือนใจไม่ได้ พ่อแม่ย่อมต้องการให้ลูกหลานได้ดี แม้อู่ชวนเป็นปู่ของเสี่ยวซี แต่การดูแลเอาใจใส่และความคาดหวังที่มีต่อเสี่ยวซี ก็ไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่เลย

ไม่นานอู่ชวนก็จากไปแล้ว

หลินสวินหมุนตัวกลับห้อง มาถึงหน้าเตียง มองซย่าจื้อที่ยังไม่ฟื้นมาเสียที แล้วอดกำสองมือแน่นเงียบๆ ไม่ได้

เขาไม่ลืมดาบกระดูกสีเขียว สมประสงค์สีดำ รวมถึงประทับเทพสีทอง ปิ่นสีเงินที่สังหารมาอย่างกะทันหันในฟ้าดาราที่ไม่คุ้นเคยนั่น…

ตอนนี้คิดดูแล้ว หลินสวินตัดสินได้คร่าวๆ ว่า เจ้าของสมบัติเหล่านี้ จะต้องมาจากขุมอำนาจหนึ่ง และขุมอำนาจนี้ครอบครองพลังที่สามารถใช้และควบคุมสัตว์ประหลาดฟ้าดาราได้!

เขายิ่งไม่ลืม ขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะที่เคยลงมือกับศิษย์พี่สี่และตน ทั้งตระกูลหวัง ตระกูลฝู ตระกูลชือ ตระกูลฉี ตระกูลจงหลี ตระกูลมู่…

“ไม่ว่าพวกเจ้าเป็นใคร ความแค้นครั้งนี้ ต้องชำระด้วยเลือด!”

ในดวงตาดำขลับของหลินสวินเผยเจตนาสังหารที่เย็นเยียบและเด็ดเดี่ยว

ในป่าไม่มีต้นฟ้ากิ่งดิน ไม่รู้วันคืน

เวลาสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หมู่บ้านเงาเมฆาราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ได้เกิดความวุ่นวายอะไรขึ้น ทำให้ชีวิตของหลินสวินสงบสุขและเต็มที่

นอกจากฝึกปราณ ก็คือดูแลซย่าจื้อ และเข้าป่าลึกไปล่าสัตว์และเก็บโอสถกับชาวบ้านเหล่านั้นเป็นครั้งคราว พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ชาวบ้านต่างคุ้นชินกับการดำรงอยู่ของหลินสวินและซย่าจื้อแล้ว และเห็นพวกเขาเป็นคนกันเอง

ชีวิตเช่นนี้เงียบสงบและเรียบง่าย สำหรับหลินสวินที่ได้รับการฝึกฝนผ่านเรื่องราวยากลำบากมาอย่างเต็มเปี่ยม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการตกตะกอนที่หายาก ทำให้เขาสามารถสงบจิตใจไตร่ตรองและครุ่นคิดมรรคาหลังจากนี้ สามารถทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมา ชดเชยสิ่งที่ตนบกพร่อง

สิ่งที่ทำให้หลินสวินปลาบปลื้มใจคือ สองปีผ่านไป แม้ซย่าจื้อยังคงไม่ฟื้น แต่รอยแผลที่แตกละเอียดราวกับใยแมงมุมบนร่างกาย ได้สมานกันเงียบๆ แล้ว

นี่พิสูจน์ได้ว่า บาดแผลที่รุนแรงของซย่าจื้อกำลังค่อยๆ ดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!

…………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท