Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2591 เหลิ่งชิงเสวี่ย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2591 เหลิ่งชิงเสวี่ย

ตอนที่ 2591 เหลิ่งชิงเสวี่ย

เช่นนั้นก็ดีหรือ

เนี่ยชิงหรงอดอึ้งไปไม่ได้ ดวงตางามทอประกายซับซ้อน

หลินสวินมองปราดเดียวก็รู้ว่าเข้าใจผิดแล้ว จึงยิ้มกล่าว “บอกตามตรง ข้ามีความแค้นกับตระกูลจู้ หากเจ้าอยากรับช่วงต่อสำนักศึกษาสองลักษณ์ ข้าไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือเจ้าอีกแรง”

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง… เนี่ยชิงหรงเข้าใจแล้ว จากนั้นพลันตกใจ มีความแค้นกับตระกูลจู้!?

ตระกูลจู้เป็นถึงขุมอำนาจใหญ่ในน่านฟ้าที่หก น่านฟ้าที่หนึ่งแห่งนี้ ต่อให้คนทั่วไปอยากจะผูกแค้นกับตระกูลจู้ เกรงว่าคุณสมบัติยังไม่ถึงด้วยซ้ำ

สิ่งที่ทำให้เนี่ยชิงหรงตกใจยิ่งกว่าคือ หลินสวินถึงกับเป็นฝ่ายเสนอว่าจะช่วยนางชิงตำแหน่งเจ้าสำนักอีกด้วย นี่อยู่เหนือความคาดหมายของนางโดยสิ้นเชิง

ครู่ใหญ่กว่าเนี่ยชิงหรงจะเอ่ยเสียงเบา “สหายยุทธ์ บังอาจถามสักเรื่องได้หรือไม่ เจ้า… เป็นใครกันแน่”

“ในใจเจ้าน่าจะเดาอะไรออกบ้างแล้วกระมัง” หลินสวินแววตาเร้นลึก

ขณะนี้เนี่ยชิงหรงราวถูกสายฟ้าฟาด เงยหน้าขึ้นขวับ เนตรดาราจ้องมองหลินสวิน ก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก “สหายยุทธ์คงจะไม่ใช่… ไม่ใช่…”

หลินสวินพยักหน้า “ข้าแซ่หลิน”

เฮือก!

เนี่ยชิงหรงสูดหายใจสะท้าน หน้าอกอิ่มนูนตรงหน้าแทบจะหลุดร่วงจากเสื้อผ้าบางๆ นั่นออกมา เห็นชัดว่าตะลึงอย่างยิ่ง

“เรื่องนี้ข้าไม่มีทางแพร่งพรายแม้แต่คำเดียวเด็ดขาด!” เนิ่นนานกว่าเนี่ยชิงหรงจะค่อยๆ สงบอารมณ์ลงมา ก่อนให้สัญญาขึงขังดุจดั่งลั่นคำสาบาน

หลินสวินยกยิ้ม กล่าวอย่างมีนัยลึกล้ำ “ในเมื่อข้ากล้าให้เจ้ารู้ ย่อมไม่กลัวเจ้าเปิดเผย เรื่องที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้เจ้าสามารถพิจารณาดูก่อนได้ ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า”

เนี่ยชิงหรงร้องอืมคราหนึ่ง ชั่วขณะนี้จู่ๆ ในใจนางพลันมีความว้าวุ่นอยู่บ้างอย่างบอกไม่ถูก

ข้อเสนอของหลินสวินก็เหมือนสิ่งล่อใจที่ไม่อาจปฏิเสธ กระตุ้นจิตใจของนางที่อดทนมาเกือบพันปี

‘หากชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมาได้ ไม่เพียงจะได้รับทรัพยากรฝึกปราณที่มากขึ้น ยังจะถูกตระกูลเฮ่อให้ความสำคัญ ถึงตอนนั้นยังอาจสามารถเข้าไปแก่งแย่งตำแหน่งในสำนักศึกษาเก้าทมิฬของน่านฟ้าที่สองได้…’

เนี่ยชิงหรงเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิ ทั้งยังแจ้งมรรคนานแล้ว เพียงแต่ด้วยทรัพยากรฝึกปราณที่นางมีในครอบครอง ต่อให้โหมฝึกนับปีไม่ถ้วน ก็ไม่เพียงพอจะให้นางคว้าโอกาสแจ้งมรรคอมตะได้สักนิด

สาเหตุอยู่ที่ธรณีประตูมรรคาอมตะนี้สูงเกินไปจริงๆ สูงจนถึงขั้นทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิอย่างนางยังยากจะเอื้อมถึง

แต่หากสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาสองลักษณ์ได้…

ขอเพียงอุตสาหะทำงานไม่กี่พันปี ก็สามารถได้รับโอกาสที่ตระกูลเฮ่อมอบให้ มีแนวโน้มสูงว่าอาจถูกส่งตัวไปยังน่านฟ้าที่สอง!

ถึงขั้นที่หากแสดงฝีมือโดดเด่น อาจได้รับความสำคัญจากตระกูลเฮ่อ ดีไม่ดีจะสามารถเข้าฝึกปราณที่น่านฟ้าที่หกได้โดยตรง!

ถึงตอนนั้นต่อให้ไปแสวงหามรรคาอมตะก็จะมีหวังค่อนข้างสูง!

ใช่แล้ว มีหวัง!

สำหรับบรรพจารย์จักรพรรดิในน่านฟ้าที่หนึ่ง ต่อให้มีความหวังแม้เพียงเสี้ยว ก็สามารถทำให้พวกเขาไปแก่งแย่งสุดชีวิต

เนี่ยชิงหรงย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นเดียวกัน

แต่นางเองก็รู้ดีเช่นกัน ว่าหากตกลงให้หลินสวินช่วย ก็มีแนวโน้มสูงว่าต้องรับความเสี่ยงซึ่งไม่อาจคาดเดาได้

เพราะเขาคือหลินสวิน!

เป็นบุคคลเย้ยฟ้าที่มีชื่อเสียงชั่วร้ายกึกก้องไปทั้งโลกยอดนิรันดร์ในตอนนี้!

คนทั่วหล้าในตอนนี้ ถึงขั้นคิดว่าหลินสวินซึ่งมาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา สามารถถูกขุมอำนาจน่าสะพรึงสามน่านฟ้าใหญ่อย่างน่านฟ้าที่หก เจ็ด และแปดมองเป็นศัตรูร่วมกันได้ นี่ต้องเรียกว่าเป็น ‘นักโทษประกาศจับอันดับหนึ่งในโลกยอดนิรันดร์’ แล้ว!

เกี่ยวข้องกับคนเช่นนี้ มีหรือจะไม่ต้องรับความเสี่ยง

เนี่ยชิงหรงสีหน้าเปลี่ยนไปมา เวลานี้ในใจนางว้าวุ่นอย่างที่สุด ทั้งใจเต้นกับข้อเสนอของหลินสวิน และหวาดกลัวความเสี่ยงไร้รูปที่จะประดังเข้ามา

ครึ่งเดือนต่อมาหลังออกจากเมืองหลิวเขียว

ในที่สุดพวกหลินสวินก็มาถึงสำนักศึกษาสองลักษณ์

หมู่เขาเรียงราย เมฆมงคลลอยเอื่อย ละอองแสงแรกกำเนิดหนาแน่นไหลวนร่ายระบำกลางเวิ้งฟ้า ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง เจือประกายแสงวิเศษศักดิ์สิทธิ์ที่งดงามพร่าเลือน

อาคารโบราณเป็นทิวแถวดุจดั่งดาวกระจายเต็มฟ้า ประดับประดากลางหมู่เขาวิจิตรเขียวขจี ทอดมองจากไกลๆ ประหนึ่งเขตแดนเซียนนอกโลก

นี่ก็คือสถานที่ตั้งของสำนักศึกษาสองลักษณ์ ขุมอำนาจอันดับหนึ่งแห่งแดนทุ่งบูรพา…

เทือกเขาเสินถู

เขามงคลแห่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเลิศในน่านฟ้าที่หนึ่ง!

เพียงแค่มองจากไกลๆ หลินสวินก็ระบุได้ว่าที่แห่งนี้เหมาะแก่การฝึกปราณอย่างยิ่ง หากสามปีก่อนเขาฝึกปราณอยู่ที่นี่ เกรงว่าอาการบาดเจ็บคงหายเร็วกว่านี้

ควรรู้ว่าด้วยพลังในตอนนี้ของเขา เขาแดนมงคลในความหมายทั่วไปไม่สามารถเติมเต็มความต้องการในการฝึกปราณของเขาได้สักนิด

นี่ก็คือปัญหาของพลังปราณที่สูงเกินไป

อิงจากบันทึกในศาสตร์ปกครองทั่วหล้า หากไม่จำเป็นไม่มีคนใหญ่คนโตระดับอมตะคนไหนยินดีรั้งอยู่ในน่านฟ้าที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ

สาเหตุเป็นเพราะกฎระเบียบฟ้าดินรวมถึงเขาวิญญาณแดนมงคลของน่าฟ้านี้ รองรับความต้องการในการฝึกปราณของระดับอมตะไม่ไหวสักนิด

เหมือนอย่างเทือกเขาเสินถูนี้ บางทีอาจสามารถเติมเต็มมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างหลินสวินได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นระดับอมตะมาฝึกปราณที่นี่ ไม่พ้นสามปีห้าปี ไอวิญญาณแรกกำเนิดที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเทือกเขานี้ต้องถูกดูดกลืนไปจนเกลี้ยง!

เหมือนตอนที่อยู่หมู่บ้านเงาเมฆา หลินสวินฝึกปราณประจำวัน แทบจะอาศัยพลังจากผลึกต้นกำเนิดจักรวาลทั้งหมด แต่ละวันล้วนต้องสิ้นเปลืองผลึกต้นกำเนิดจักรวาลเป็นแสนก้อน

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับโลกพันจักรวาล ระดับความหนาแน่นของไอวิญญาณในบริเวณที่หมู่บ้านเงาเมฆาตั้งอยู่ ถึงขั้นเปรียบได้กับโลกใหญ่หงเหมิงในทางเดินโบราณฟ้าดารา

และเทือกเขาเสินถูนี้ มีแต่จะเหนือว่าสถานที่ตั้งของหกเรือนมรรคใหญ่!

“สหายยุทธ์ น้องเสี่ยวซี โปรดตามข้ามา”

เนี่ยชิงหรงนำทางอยู่หน้าสุด เดินไปทางเทือกเขาเสินถู

ระหว่างทางเห็นภูเขาเขียวชอุ่ม น้ำตกไหลเชี่ยว น้ำแร่แผ่พุ่ง ต้นไม้โบราณซ้อนสลับ สมุนไพรวิเศษเต็มพรืด ยิ่งมีสัตว์มงคลนกหายากเดินกันขวักไขว่ เสียงท่องคัมภีร์เป็นระลอกๆ ดังลอยมาจากอาคารโบราณเก่าแก่แห่งแล้วแห่งเล่าเป็นพักๆ เพิ่มพูนจิตฌานที่ทำให้จิตใจสงบ

เทือกเขาเสินถูใหญ่มาก ยอดเขาเหมือนง้าว พุ่งสูงเสียดฟ้า ทุกยอดเขามีความพิเศษแตกต่างกันไป

จากคำแนะนำของเนี่ยชิงหรง สำนักศึกษาสองลักษณ์มีทั้งหมดสามสิบหกยอดเขา อาคารโบราณหนึ่งร้อยแปดแห่ง บริเวณใกล้เคียงยอดเขาแต่ละลูกล้วนมีถ้ำสวรรค์และแดนลับเกิดใหม่ นี่เป็นแหล่งสมบัติที่มีไว้รองรับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเร้นตัวฝึกปราณโดยเฉพาะ

ผู้สืบทอดสำนักศึกษาสองลักษณ์แบ่งออกเป็นสี่ประเภทได้แก่ สายนอก สายใน ศิษย์สืบทอดแท้จริง และศิษย์เบื้องท้าย

ภายในนั้นจำนวนศิษย์สายนอกมีมากสุด ศิษย์เบื้องท้ายมีน้อยสุด แต่เมื่อรวมจำนวนศิษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันก็มีมากกว่าหมื่นคน

ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ นอกจากเจ้าสำนักแล้วยังมีรองเจ้าสำนักอีกสี่คน ผู้นำยอดเขาสามสิบหกคน รวมถึงผู้อาวุโส ผู้ดูแลอีกนับร้อย

พูดถึงความใหญ่โตของระบบ ล้วนแข็งแกร่งกว่าหกเรือนมรรคใหญ่เรือนไหนๆ ในโลกหงเหมิงช่วงหนึ่ง!

ระหว่างทางหลินสวินยังอดลอบทอดถอนใจไม่ได้ นี่เป็นแค่ขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งในน่านฟ้าที่หนึ่งเท่านั้น หากเป็นน่านฟ้าที่หกจะเป็นภาพแบบไหนกัน

น่านฟ้าที่เจ็ด น่านฟ้าที่แปดเล่า เกรงว่าจะต่างกันไปอีกกระมัง

นี่ก็คือโลกยอดนิรันดร์

ก็ไม่แปลกที่จะเป็น ‘แดนศักดิ์สิทธิ์สูงสุด’ ในสายตาผู้ฝึกปราณจากจักรวาลนับไม่ถ้วนในโลกพันจักรวาล

ตลอดทางพวกหลินสวินพบเจอผู้สืบทอดของสำนักศึกษาสองลักษณ์มากมาย ไม่ว่าใครเห็นเนี่ยชิงหรงล้วนโค้งคำนับเคารพอ่อนน้อม ดุจเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์

ยอดเขาเตี่ยนชาง

ลักษณะภูเขาดุจงูมังกรขดพัน สูงตระหง่านค้ำฟ้า บนยอดเขาทะเลเมฆอบอวล มีอาคารเก่าแก่แห่งแล้วแห่งเล่าตั้งเรียงกันเป็นรูปพัด

นี่ก็คือสถานที่ฝึกปราณที่เนี่ยชิงหรงอาศัยอยู่

“ใต้เท้า ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที รองเจ้าสำนักเหลิ่งชิงเสวี่ยรออยู่ที่นี่หลายวันแล้ว”

เพิ่งมาถึงยอดเขาเตี่ยนชาง เด็กรับใช้ที่ริมฝีปากแดงฟันขาวคนหนึ่งก็เดินมาต้อนรับอย่างเบิกบาน เอ่ยพูดขณะมองสำรวจหลินสวินและเสี่ยวซีอย่างสงสัยใคร่รู้

เนี่ยชิงหรงอดแปลกใจไม่ได้ และลังเลอยู่บ้าง

“หากเจ้ามีธุระ ให้เด็กรับใช้คนนี้มารับรองพวกเราก่อนก็ได้” หลินสวินเอ่ยสบายๆ

“สหายยุทธ์ ต้องขออภัยจริงๆ”

เนี่ยชิงหรงเอ่ยขอโทษ ก่อนกล่าวกำชับ “ชิงอวิ๋น เจ้ามารับรองแขกสองท่านนี้ อย่าลืมปฏิบัติด้วยมาตรฐานสูงสุด อย่าละเลยแม้แต่น้อย หากมีอะไรผิดพลาดข้าจะเอาโทษเจ้า”

เด็กรับใช้ที่ถูกเรียกว่าชิงอวิ๋นรีบพยักหน้าหงึกๆ ก่อนเดินมาข้างหน้า เดินนำทางหลินสวินและเสี่ยวซีไปยังอาคารแห่งหนึ่งตรงไหล่เขา

ส่วนเนี่ยชิงหรงมุ่งหน้าไปยังยอดเขา

“พี่สาว ท่านกลับมาเสียที”

ในทะเลเมฆบนยอดเขา เมื่อมองเห็นเนี่ยชิงหรง เงาร่างอรชรสายหนึ่งก็หยัดตัวลุกขึ้นจากใต้ต้นไม้โบราณต้นหนึ่งแล้วเดินมาต้อนรับในทันที

นี่คือหญิงสาวในชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ บุคลิกเย็นชาดุจน้ำแข็ง หน้าตาราวเด็กสาวอายุสิบหก งดงามโดดเด่นสุดขีด เรือนผมดำขลับมัดรวบด้วยไหมสีทอง คิ้วดำสนิทดุจหมึก ริมฝีปากระเรื่ออมชมพู นัยน์ตาเป็นประกายดุจดารา เปล่งปลั่งวาววาม

นางเปรียบเหมือนเซียนนอกโลกมาเยือนแดนมนุษย์ ทั่วร่างแผ่รังประกายเงียบสงบเย็นเยือก

นี่ก็คือเหลิ่งชิงเสวี่ย

หนึ่งในสี่รองเจ้าสำนักของสำนักศึกษาสองลักษณ์ อย่ามองว่านางงดงามบริสุทธิ์ดุจเด็กสาว อันที่จริงก็เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิที่รากฐานและพรสวรรค์น่าตกใจยิ่งยวดคนหนึ่ง!

“ชิงเสวี่ย เจ้ามารออยู่ที่นี่ หรือว่าช่วงที่ข้าจากไปเกิดอะไรขึ้นหรือ” เนี่ยชิงหรงเอ่ย

เนตรดาราของเหลิ่งชิงเสวี่ยทอประกายกังวล กล่าวว่า “ไม่ผิด เจ็ดวันก่อนจู่ๆ เจ้าสำนักก็ลงมือกำราบรองเจ้าสำนักเหนียนอวิ๋นจิ่งด้วยตัวเอง ภายหลังข้าสืบทราบข่าว ว่าที่แท้ในวันนั้นเจ้าสำนักเคยได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากสำนักศึกษาเยือกแข็ง ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาเยือกแข็ง สิ่งที่ทำให้คนกังวลใจที่สุดคือ จนถึงตอนนี้รองเจ้าสำนักเหนียนอวิ๋นจิ่งอยู่หรือตาย… ล้วนไม่มีใครรู้”

ดวงตางามของเนี่ยชิงหรงแข็งค้าง กล่าวว่า “หย่งเฟยตู้ล่ะ เขามีท่าทีอย่างไร”

หย่งเฟยตู้ก็คือรองเจ้าสำนักอีกคน

“เขาหรือ”

เนตรดาราของเหลิ่งชิงเสวี่ยวาบประกายชิงชัง “แค่คนชั่วที่ไม่สำนึกบุญคุณ ตีชิงตามไฟเท่านั้น ตอนนี้พึ่งไม้ใหญ่อย่างเจ้าสำนักอยู่ มีหรือจะสนใจความเป็นความตายของเหนียนอวิ๋นจิ่ง”

“จะว่าไปเขาเป็นถึงศิษย์เบื้องท้ายของใต้เท้าเหนียนอวิ๋นจิ่ง ตอนนี้อาจารย์ตนถูกกำราบ เขากลับไม่เป็นห่วงสักนิดเลยหรือ”

หว่างคิ้วเนี่ยชิงหรงทอแววอึมครึม

เหลิ่งชิงเสวี่ยกล่าว “พี่สาว ท่านว่าพวกเราควรทำอย่างไร เจ้าสำนักกล้าลงมือกับใต้เท้าเหนียนอวิ๋นจิ่ง ย่อมไม่มีทางปล่อยพวกเราไปเหมือนกัน อีกอย่าง ตอนนี้ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ก็มีคนไม่น้อยจ้องตำแหน่งของพวกเราตาเป็นมัน หากเจ้าสำนักแสดงเจตนาว่าจะจัดการพวกเรา ย่อมมีคนไม่น้อยแห่ออกมาปาหินซ้ำเติมเป็นแน่”

หัวคิ้วเนี่ยชิงหรงขมวดแน่น ในใจนึกถึงประโยคนั้นที่หลินสวินเคยพูดระหว่างทางขากลับขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่

‘หากเจ้าอยากรับช่วงต่อสำนักศึกษาสองลักษณ์ ข้าไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือเจ้าอีกแรง’

ชั่วขณะหนึ่งจิตมรรคของนางเปลี่ยนเป็นปั่นป่วนอีกครั้ง

สภาพของเหนียนอวิ๋นจิ่งทำให้นางตระหนักได้ว่า หากยังไม่ตัดสินใจอีก เช่นนั้นคนที่จะประสบเคราะห์ก่อนใครเกรงว่าอาจจะเป็นตน!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท