ตอนที่ 2614 ฝันหวานจริงๆ
จัดการด้วยวิธีอื่นหรือ
หลินสวินยิ้มแล้ว เจือแววเย้ยหยัน “เจ้าว่าเป็นไปได้หรือ”
เขาได้พบกับมารดาลั่วชิงสวินแล้ว ทั้งยังได้รู้บุญคุณความแค้นต่างๆ ในอดีตนี้แล้ว เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าความแค้นระหว่างเขากับตระกูลลั่วจะยังมีวิธีอื่นให้จัดการได้อีก
ลั่วอวิ๋นซานถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร ถ้ามีความหวังสักนิด ข้าก็จะพยายามช่วงชิงมาให้ถึงที่สุด”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ความจริงเจ้าก็คงรู้อยู่ ถ้าตระกูลลั่วของข้าจะฆ่าปิดปากเจ้า ไม่ต้องรอถึงตอนนี้สักนิด คงนำผู้แข็งแกร่งจากเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไปหาเจ้าจนพบตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว แต่พวกเราไม่ได้ทำเช่นนี้ เพราะว่า… ถึงอย่างไรในกายของเจ้าก็มีสายเลือดตระกูลลั่วไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง”
หลินสวินเอ่ย “พูดแบบนี้ ข้ายังต้องขอบคุณพวกเจ้าตระกูลลั่วที่เมตตาไม่ฆ่าข้าหรือ”
ลั่วอวิ๋นซานคล้ายจนใจอยู่บ้าง ถอนใจยาวพูดว่า “ข้าพูดเรื่องพวกนี้เพียงต้องการบอกเจ้าว่าข้ามาด้วยความจริงใจ”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย “อย่าพูดพล่าม ว่ามาตามตรงเถอะ”
ลั่วอวิ๋นซานพยักหน้าเอ่ย “ก่อนข้ามาได้รับคำมั่นจากผู้นำตระกูลแล้วว่าขอเพียงเจ้าเปลี่ยนแซ่เป็นลั่ว และทำงานให้ตระกูลลั่วอย่างเต็มใจ ภายหน้าตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วนี้ก็จะให้เจ้าครอบครอง นี่ก็ถือเป็นการชดใช้ให้มารดาและลุงของเจ้า”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าคงรู้ว่าคำสัญญานี้สำคัญแค่ไหน สามารถทำให้เจ้าถือครองอำนาจของเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนึ่ง กลายเป็นคนใหญ่คนโตที่เลื่องชื่อระบือนามในโลกยอดนิรันดร์อย่างก้าวกระโดด!”
แววตาเขาจริงใจ เจือประกายกระตือรือร้น “โอกาสเช่นนี้หมื่นปียังหาได้ยาก ข้าหวังว่าเจ้าจะตรองดูดีๆ ขอเพียงรับปาก ไม่เพียงสามารถหลุดพ้นจากน่านฟ้าที่ห้าแห่งนี้ วันหน้ายังสามารถครองอำนาจของตระกูลหนึ่งได้ด้วย ถึงตอนนั้นต่อให้ไปล้างแค้นศัตรูของเจ้าพวกนั้น เบื้องหลังก็มีทั้งตระกูลลั่วหนุนหลังเจ้าอยู่!”
กลับพบว่าหลินสวินคล้ายเห็นขัน หัวเราะหยันออกมา เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าความแค้นในอดีต แค่ตำแหน่งผู้นำตระกูลที่ว่าก็จะสะสางได้หรือ พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าคิดว่าข้าหลินสวินหมายปองตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วหรือ”
ไม่รอให้ลั่วอวิ๋นซานเอ่ยปาก หลินสวินก็พูดต่อว่า “ให้ข้าเดา คงเพราะตระกูลลั่วสังเกตเห็นแล้วว่าถ้าไม่คิดวิธีมาจัดการข้าหลินสวินอีก ภายหน้าตระกูลลั่วก็จะถูกคุกคามอย่างหนัก ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนสาหัสถึงที่สุด ดังนั้นพวกเจ้าตระกูลลั่วจึงทำได้เพียงใช้แผนพักรบแบบนี้ใช่ไหม”
ลั่วอวิ๋นซานสีหน้าอักอ่วนเล็กน้อย พูดว่า “ไม่ถึงกับเป็นแผนพักรบ แต่ตระกูลลั่วในตอนนี้รับรู้แล้วว่าการต่อสู้เช่นต่อไป มีแต่จะเสียหายอย่างไม่อาจคาดได้กันทั้งสองฝ่าย แทนที่จะพ่ายแพ้เจ็บตัวทั้งคู่ ไยจึงไม่เปลี่ยนสงครามเป็นสันติภาพเล่า”
หลินสวินไม่รับหรือปฏิเสธ เอ่ยว่า “ถ้าอิงตามที่เจ้าพูด ขอเพียงข้าหลินสวินก้มหัวให้ เปลี่ยนแซ่เปลี่ยนสกุลเข้าไปรับใช้ตระกูลลั่ว ก็จะได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลลั่วหรือ”
ลั่วอวิ๋นซานพยักหน้า “นี่เป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลรับปาก”
หลินสวินเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถึงเรื่องว่าข้าจะได้เป็นผู้นำตระกูลลั่วจริงหรือไม่ พวกเจ้าไม่กังวลหรือว่าหลังจากข้าได้เป็นผู้นำตระกูลแล้ว จะกักขังกำราบพวกเจ้าทั้งหมด เช่นเดียวกับที่พวกเจ้าเคยกระทำต่อคนตระกูลลั่วสายหลักพวกนั้นในตอนนั้น”
ลั่วอวิ๋นซานดวงตานิ่งขึง เอ่ยถอนใจเบาๆ ทันทีว่า “ข้าเชื่อว่าขอเพียงตระกูลลั่วของข้าแสดงความจริงใจมากพอ ถึงตอนนั้นสหายน้อยย่อมไม่อาจตัดใจทำเช่นนี้ได้”
หลินสวินเอ่ย “แล้วถ้าข้าตัดใจได้เล่า”
ลั่วอวิ๋นซานสีหน้าปนเปด้วยความรู้สึกต่างๆ ไปครู่หนึ่ง พักใหญ่จึงยิ้มเจื่อนพูดว่า “เรื่องในภายหน้าข้าคาดเดาส่งๆ ไม่ได้”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ถ้านี่เป็นเรื่องที่เจ้าอยากคุยด้วย เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ ไม่ว่าพวกเจ้าตระกูลลั่วจะยกเงื่อนไขนี้ขึ้นมาโดยมีเจตนาร้ายแอบแฝงหรือไม่กันแน่ ข้าพูดได้เพียงว่า พวกเจ้า… ฝันหวานจริงๆ”
คดีนองเลือดตระกูลหลินยังเห็นอยู่ในสายตา หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นดินแดนรกร้างโบราณ ทางเดินโบราณฟ้าดารา โลกมืด หรือแดนหงส์เซียน แดนเจินหลง…
การไล่ฆ่าจากตระกูลลั่วก็เป็นเหมือนผีร้าย ไม่เคยเลิกรา ไม่เคยว่างเว้น!
ต่อให้มาถึงแดนใหญ่พันศึก ต่อให้เข้าสู่โลกยอดนิรันดร์ การไล่ฆ่าเช่นนี้ก็ยังดำเนินต่อไปเช่นเดิม!
การเล่นงานให้ร้ายที่ได้รับ การนองเลือดและความแค้นที่ได้สัมผัสตลอดทางนี้ จะใช้ข้อเสนอที่เหลวไหลเช่นนี้มาคลี่คลายได้หรือ
ตระกูลลั่ว… ฝันหวานมากจริงๆ!
ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกตลกที่สุดก็คือ ในความคิดของตระกูลลั่ว แค่ตำแหน่งผู้นำตระกูลก็สะสางความแค้นในอดีตทั้งหมดได้แล้วหรือ
ในใจพวกเขาเห็นตนเป็นอะไร
คำพูดของหลินสวินทำให้สีหน้าลั่วอวิ๋นซานค้างแข็งเล็กน้อย อึดอัดอยู่บ้าง เขามีฐานะเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับอมตะคนหนึ่งของตระกูลลั่ว การเคลื่อนไหวด้วยตัวเองคราวนี้เป็นการลดตัวลงมากแล้ว ต่อให้ถูกหลินสวินเย้ยหยันด้วยวาจาเย็นชา เขาก็อดกลั้นความโมโห ไม่มีปากเสียง เป้าหมายก็เพื่อแสดงความจริงใจของตัวเอง
แต่สุดท้ายกลับยังถูกปฏิเสธเช่นนี้!
นี่ทำให้หว่างคิ้วลั่วอวิ๋นซานปรากฏแววอึมครึมอย่างเลี่ยงไม่ได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เอ่ยว่า “หลินสวิน ข้าต้องยอมรับว่าด้วยมรรควิถีของเจ้าตอนนี้ คนธรรมดาทำอะไรเจ้าไม่ได้ กระทั่งต่อให้เผชิญหน้าระดับอมตะ เจ้าก็มีไพ่ตายมาต้านทาน แต่ว่า…”
พูดถึงตรงนี้แววดูถูกที่ข่มไม่ลงก็เผยออกมาจากดวงตาลั่วอวิ๋นซาน “เจ้าอย่าประเมินตัวเองสูงไป ต่อให้ตระกูลลั่วตกต่ำกว่านี้ ถ้าใช้ทุกวิถีทางมาต่อกรเจ้า เกรงว่าเจ้าคงรับไม่ไหว”
“และไม่ต้องพูดถึงสำนักที่อยู่เบื้องหลังเจ้า ตั้งแต่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลประสบเคราะห์ที่น่านฟ้าที่เก้า ในโลกยอดนิรันดร์แห่งนี้ใครไม่รู้บ้างว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลต่างเหมือนผีเร่ร่อนไปหมดแล้ว”
“พูดตามตรง ในแดนลับทวยเทพ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อาคงเจวี๋ยของเจ้า หรือหลิงเสวียนจื่อศิษย์พี่ของเจ้า ต่างก็สำแดงฝีมือเยี่ยมยอดออกมา แต่สุดท้ายเล่า คงเจวี๋ยได้รับบาดเจ็บสาหัสจาก ‘กระบี่ตัดมรรค’ ของตระกูลหวัง ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งน่านฟ้าที่แปด หลิงเสวียนจื่อยิ่งถูกฆ่าตาย!”
หลินสวินใจสะท้าน ศิษย์พี่สี่ตายไปแล้วจริงๆ หรือ!
หลายปีมานี้เขาสืบเรื่องที่เกิดขึ้นนอกโบราณสถานทวยเทพ แต่ข่าวที่ได้กลับคลุมเครือนัก
มีคนบอกว่าศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อตายไปแล้ว
ทั้งยังมีคนบอกว่า ในช่วงสุดท้ายหลิงเสวียนจื่อถูกคนลึกลับช่วยไป ขนาดยักษ์ใหญ่อมตะน่ากลัวของน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นยังไม่อาจขัดขวางได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าหลิงเสวียนจื่อเป็นหรือตาย
และตอนนี้ ลั่วอวิ๋นซานถึงกับพูดจาหนักแน่นว่าศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อตายไปแล้ว เรื่องนี้จะให้หลินสวินรับได้ได้อย่างไร
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นความรู้สึกที่ถาโถมอยู่ในใจ เอ่ยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พูดจบแล้วหรือ”
เห็นชัดว่าลั่วอวิ๋นซานดูออกว่าอารมณ์ของหลินสวินแปลกไป ยิ้มเหี้ยมอย่างอดไม่ได้ “ยัง ยังพูดไม่จบ เพราะเจ้าไม่เข้าใจถึงความโหดร้ายของโลกสักนิด!”
“ว่ากันตามตรง ตอนนี้ในโลกยอดนิรันดร์แห่งนี้ยังมีเศษเดนคีรีดวงกมลรอดอยู่ไม่น้อย แต่เจ้าคิดว่าพวกเขาที่ถูกยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดหมายหัวไว้นานแล้วจะช่วยเจ้าได้หรือ”
“ข้าบอกเจ้าตามตรงได้ว่า ใช้เวลาไม่กี่ปี ด้วยการปิดล้อมของยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดพวกนั้น เศษเดนคีรีดวงกมลเหล่านั้นต้องถูกสังหารทั้งหมดแน่!”
“เจ้าจะคิดว่าข้าขู่ให้ตกใจก็ได้ เชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าไม่รู้สึกแปลกหรือว่าเจ้าก่อเรื่องใหญ่โตใต้น่านฟ้าที่หกของโลกยอดนิรันดร์ขนาดนี้แล้ว เหตุใดผู้สืบทอดคีรีดวงกมลพวกนั้นถึงไม่มาช่วยเจ้า”
คำพูดเดียวเคร่งขรึมดุดัน เปี่ยมด้วยท่าทางแข็งกร้าว
แต่ที่ทำให้ลั่วอวิ๋นซานนิ่วหน้าก็คือ สีหน้าหลินสวินไม่หวั่นไหวสักนิด สงบนิ่งจนน่ากลัว คล้ายไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
“ต่อให้ไม่พูดถึงคีรีดวงกมล ถ้าต้องการสังหารเจ้าโดยไม่สนสิ่งใด ตระกูลลั่วของข้าก็มีวิธีมากมาย เช่น… ถ้าข้ายินยอม เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าจะยังหนีได้หรือ”
ลั่วอวิ๋นซานสีหน้าเคร่งขรึม “พรสวรรค์หุบเหวกลืนกินน่ากลัวจริงๆ เพราะตระกูลลั่วของข้ารู้ซึ้งถึงอานุภาพของพรสวรรค์นี้ดีที่สุด ในเมื่อข้ากล้ามาคนเดียว ย่อมมั่นใจว่าจะกำราบเจ้าได้”
ขณะพูดสายตาของเขาก็มองขึ้นเวิ้งฟ้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าที่นี่เกิดการต่อสู้ขึ้น เกรงว่าพวกผู้แข็งแกร่งที่ซุ่มอยู่ใกล้ฟ้าดารานอกน่านฟ้าก็จะรุดหน้ามาทันทีกระมัง”
พูดถึงตอนท้ายสีหน้าของเขามีแต่ความโอหังและเหี้ยมเกรียม เอ่ยว่า “ที่พูดเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพื่อขู่ให้เจ้ากลัว แต่อยากบอกเจ้าว่าตระกูลลั่วของข้าให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่งจากใจจริง เจ้าไปไตร่ตรองดีๆ จะดีที่สุด”
กลับเห็นหลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “คราวนี้พูดจบแล้วกระมัง”
ลั่วอวิ๋นซานอึ้งไป คล้ายยากจะเชื่อ ตนพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว หรือเจ้าหมอนี่คิดจะดื้อดึงไม่สนสิ่งใด
“หมายความว่าอย่างไร” เขาถาม
หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ “ยังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือ ถ้าพูดจบแล้วก็จะได้ส่งเจ้าไปตาย”
เมื่อถ้อยคำแผ่วเบาดังออกมา
ทันใดนั้นคลื่นพลังผนึกคลุมเครือก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบกลางภูผาธาราแห่งนี้ ทิวเขาที่เรียงสลับกันเป็นแถบนั้นเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนหาใดเทียบโดยพลัน
ฟ้าดินแห่งนี้เหมือนเข้าสู่ราตรีนิรันดร์ทันใด ถูกพลังผนึกอันคลุมเครือกลบท่วม
ลั่วอวิ๋นซานนัยน์ตาหดรัดฉับพลัน สัมผัสได้อย่างฉับไวว่าการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเหมือนถูกตัดขาด คล้ายแยกออกจากโลก ตกอยู่ในฟ้าดินที่เหมือนกรงขังแห่งหนึ่ง
ทว่าเขาไม่ได้ลุกลน ประเมินเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “วิธีผนึกเช่นนี้เรียกได้ว่าพิสดารจริงๆ ทำเอาข้ายังไม่อาจสังเกตได้ทันที แต่เกรงว่าเจ้าจะไม่เข้าใจพลังระดับอมตะสักนิด คิดจริงหรือว่าอาศัยกระบวนค่ายกลนี้ก็จะรอดพ้นเคราะห์ไปได้”
สีหน้าเขาปรากฏแววเย็นชา ก่อนมาเขาก็คาดเดาไว้แล้วว่าหลินสวินไม่มีทางก้มหัวให้อย่างง่ายดายปานนั้น เหตุไม่คาดฝันนี้ก็อยู่ในความคาดเดาของเขาเช่นกัน
ตูม!
ขณะพูดแขนเสื้อลั่วอวิ๋นซานก็โบกสะบัด แสงมรรคอมตะงดงามตระกาลตาดุจสายธารปรากฏออกมา แล้วเข้าไปปกคลุมตัวหลินสวิน
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ เงาร่างหลินสวินหายลับไปคล้ายฟองสบู่ แสงมรรคอมตะแถบนั้นสลายไป กระบวนค่ายกลที่ปกคลุมฟ้าดินแห่งนี้ยังสั่นสะเทือนรุนแรงไปครู่หนึ่ง
แต่ไม่ได้ถูกทำลายลง!
ลั่วอวิ๋นซานสะท้านใจ เพิ่งตระหนักว่าสถานการณ์ชอบกลอยู่บ้างในยามนี้
“หลายปีนี้ข้าใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพยับวายุมาตลอด ใช้สมบัติของตัวเองไปเกือบครึ่งเพื่อวางกระบวนค่ายกลนี้”
เสียงเจือแววทอดถอนใจของหลินสวินนั้นดังขึ้นในฟ้าดินแห่งนี้ “แต่เจ้าพูดถูก กระบวนค่ายกลผนึกนี้ไม่อาจคุกคามระดับอมตะอย่างเจ้าได้จริงๆ แต่เกรงว่าเจ้าคงไม่มีทางหลุดไปจากกระบวนค่ายกลนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ!”
ตูม!
สุริยันจันทราที่หลอมขึ้นจากกฎเกณฑ์ผนึกคู่หนึ่งพลันอุบัติขึ้นกลางโลกผนึกอันมืดมิดแห่งนี้ ตกลงมาจากเวิ้งฟ้าอย่างรวดเร็ว
ที่ตามมาติดๆ คือดวงดาวในฟ้าดารานับไม่ถ้วนพริบวาบพุ่งทะยาน เข้าปกคลุมลั่วอวิ๋นซานอย่างมืดฟ้ามัวดิน ดาวแต่ละดวงต่างมีกลิ่นอายน่ากลัวสุดหยั่งไหวเคลื่อน
มองจากไกลๆ สุริยันจันทราร่วงโรย ดวงดาราโปรยลงดั่งสายฝน!
——