Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2618 ทะเลประหัตมาร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2618 ทะเลประหัตมาร

ตอนที่ 2618 ทะเลประหัตมาร

บนถนน ผู้คนหลั่งไหลไม่มีที่สิ้นสุดดั่งผืนแพร

แต่กลับไม่มีใครรับรู้ว่าในบริเวณหนึ่งกำลังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ

อวี่ถิงเงยมองเงาร่างที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันนั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าว่าทรมานไก่อ่อนเช่นนี้จะสนุกหรือ”

เขายิ้มขึ้นมาขณะพูด แววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นคมปริบหาใดเทียบ “ทำไม เจ้าอยากลองยื่นมือมายุ่งหรือ ถ้าไม่กลัวตายก็ลองได้เต็มที่เลย”

มือเขากดอยู่บนไหล่เผิงเทียนเสียงมาตลอด สีหน้าเยือกเย็น มีความอวดดีที่เก็บงำไว้ภายใน

แต่เผิงเทียนเสียงกลับตื่นเต้นหาใดเทียบ เพราะเขาเห็นชัดแล้วว่าผู้มาเยือนเป็นใคร!

“เช่นนั้นก็ลองดู”

เงาร่างสูงนั้นย่อมเป็นหลินสวิน ขณะที่พูดก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดไหล่อวี่ถิงไว้

ผ่อนคลายเรียบง่าย

ไอสังหารฉายวาบในส่วนลึกของดวงตาอวี่ถิง ขณะหมายจะเคลื่อนไหวก็รู้สึกเพียงตัวแข็งทื่อ พลังไร้รูปผุดเข้ามา มรรควิถีทั้งตัวเขาถึงกับถูกกดข่มจนไม่อาจสำแดงออกมาได้สักนิด

กระดิกไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว!

เขาหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นัยน์ตาขยายกว้าง จ้องมองมือข้างนั้นของหลินสวินที่วางอยู่บนไหล่ของตนลวกๆ

ตูม!

ทันใดนั้นอวี่ถิงเพียงรู้สึกว่าร่างกายเหมือนถูกหัตถ์สวรรค์กำราบ ต่อให้เขามีมรรควิถีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นบริบูรณ์ แต่ตอนนี้กลับเหมือนมดถูกบี้ตัวหนึ่ง คล้ายขอเพียงอีกฝ่ายคิด ก็สามารถบี้ตนให้ตายได้อย่างง่ายดาย!

“พลังเท่านี้ยังกล้ามาคุยโวกับข้าหรือ” หลินสวินแววตาเย็นชา นั่นเป็นท่าทางโอหังเป็นที่สุด คร้านจะเย้ยหยันด้วยซ้ำ

“เจ้าเป็นใคร”

อวี่ถิงหน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิง หนาวสะท้านในใจ รู้สึกหวาดกลัวนัก

การโจมตีอันราบเรียบสบายๆ ครั้งเดียวก็ทำให้เขาไม่อาจต่อต้านได้สักนิด ความสามารถเช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้

“จะจัดการอย่างไร” หลินสวินกลับคร้านจะมองคนผู้นี้อีก หันไปถามเผิงเทียนเสียง

บัดนี้เผิงเทียนเสียงได้รับอิสระคืนมาอีกครั้งแล้ว ในใจเขาตื่นเต้นมากจนรับไม่ไหวอีก แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลารำลึกความหลัง

“ออกจากเมือง ฆ่าปิดปาก!” เผิงเทียนเสียงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาถึงขีดสุด เสียงเผยความแค้นเสียดกระดูก

ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่ว่าหลินสวินปรากฏตัวทันเวลา จิตมรรคของเขาจะต้องถูกทำลาย กลายเป็นคนพิการโดยสิ้นเชิงคนหนึ่งแน่!

ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ เช่นนั้นย่อมทรมานยิ่งกว่าฆ่าเขาเสียอีก!

อวี่ถิงหน้าเขียวคล้ำ แต่กลับไม่ลนลาน หัวเราะหยันเอ่ยว่า “นายน้อยตระกูลข้าคืออวิ๋นมู่เจอ หนึ่งในสิบยอดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ทายาทสายหลักตระกูลอวิ๋น หนึ่งในสี่ตระกูลตงหวงแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด! ถ้าฆ่าข้า ตระกูลเผิงของเจ้าต้องประสบเคราะห์ครั้งใหญ่ เจ้ากล้าหรือ”

เผิงเทียนเสียงอึ้งไป เอ่ยกราดเกรี้ยวว่า “อวิ๋นมู่เจอหรือ”

เขาคล้ายยากจะเชื่อ

แววหยิ่งผยองปรากฏขึ้นในตาอวี่ถิง “ไม่ผิด”

“ที่แท้ก็เป็นเขา…”

เผิงเทียนเสียงเหมือนวิญญาณหลุดลอย “ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ได้ แต่ก่อนข้าเลื่อมใสและชื่นชมเขายิ่งนัก ไม่เคยไม่เคารพแต่อย่างใด ทำไม… เขาถึงทำแบบนี้กับข้า…”

เห็นชัดว่าความจริงข้อนี้สร้างความกระทบกระเทือนให้เผิงเทียนเสียงอย่างหนักหน่วง!

“ถ้าจะโทษก็โทษที่เจ้าไม่ประมาณกำลังตน หมาวัดหมายเด็ดดอกฟ้า คนชั้นสูงอย่างคุณหนูโยวหรัน คนอย่างเจ้าจะตีเสมอได้หรือ”

ในแววตาอวี่ถิงมีแต่ความดูถูก

ต่อให้ถูกหลินสวินคุมไว้ เขากลับไม่หวั่นกลัวเพราะมีที่พึ่ง ใจกล้ายิ่งนัก เห็นชัดว่าแน่ใจว่าด้วยฐานะของเขาย่อมไม่มีใครกล้าฆ่าเขาในน่านฟ้าที่หกแห่งนี้

“ข้าแค่ชอบโยวหรันก็มีความผิดด้วยหรือ” เผิงเทียนเสียงตาแดงก่ำ สีหน้าเจือความโกรธเคืองราวกับบ้าคลั่ง

“ชอบคนที่ไม่ควรชอบ นั่นก็คือความผิดครั้งใหญ่คับฟ้า! ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าแค่คิดเพียงลำพังย่อมไม่มีใครถือสาเจ้า แต่เจ้าดันไม่รู้ที่ถูกที่ควร หลายปีมานี้ใช้มุกวิญญาณส่งสารเข้าหาคุณโยวหรันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ก็เรียกว่าไม่รู้จักประมาณตน!”

อวี่ถิงแววตาเหี้ยมเกรียม

เผิงเทียนเสียงคำรามว่า “เจ้าเป็นแค่สุนัขรับใช้ข้างกายอวิ๋นมู่เจอเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรมาว่าข้าว่าไม่รู้จักประมาณตน ทั้งอวิ๋นมู่เจอมีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องนี้ รู้จักประมาณตนหรือไม่หาใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะมาตัดสินได้!

อวี่ถิงหัวเราะหยัน ท่าทางเหมือนมองดูคนโง่เง่า

เห็นดังนี้หลินสวินที่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ มาตลอดก็เอ่ยปากว่า “ไปเถอะ ออกจากเมือง”

“เจ้าจะทำอะไร”

อวี่ถิงหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ไม่อาจเยือกเย็นได้อย่างก่อนหน้านี้

“ทำอะไร ย่อมเป็นฆ่าปิดปากอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะรอดได้หรือ” หลินสวินเอ่ยอย่างขบขัน

อวี่ถิงตาถลนด้วยความโกรธ เอ่ยอย่างยากจะเชื่อ “เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ ข้ามาจากตระกูลอวิ๋นหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวง เป็นข้ารับใช้ข้างกายนายน้อยอวิ๋นมู่เจอ เจ้า…”

หลินสวินหัวเราะตัดบท “ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ราชันสวรรค์ส่งมา วันนี้ก็หนีความตายไม่พ้น”

“เผิงเทียนเสียง พวกเจ้าตระกูลเผิงไม่กลัวประสบเคราะห์หรือ”

อวี่ถิงมองเผิงเทียนเสียง ทั้งโกรธทั้งกระวนกระวาย ท่าทีที่หลินสวินเผยออกมาแข็งกร้าวเกินไป ทำให้เขาเริ่มหวั่นใจ

“เรื่องของข้าเผิงเทียนเสียง เกี่ยวอะไรกับตระกูลเผิง”

เผิงเทียนเสียงสีหน้าเฉยเมย “อย่างเจ้า เป็นแค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งก็เท่านั้น ต่อให้ตายไป เขาอวิ๋นมู่เจอยังจะบุกมาน่านฟ้าที่หกเพื่อทำลายตระกูลเผิงของข้าหรือ”

“เจ้า…”

อวี่ถิงไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง นี่ยังเป็นแมลงน่าเวทนาที่เมื่อครู่ถูกเขาล้อเล่น เหยียดหยาม และกดข่มได้ตามใจชอบตัวนั้นอีกหรือ

ไม่ทันรอให้เขาโต้ตอบก็รู้สึกเพียงเจ็บไหล่ ร่างกายถูกหลินสวินลากออกไปไกล

ในที่สุดเขาก็รับรู้ได้ถึงความไม่เข้าทีแล้ว รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง อยากจะร้องคำรามดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณบนถนน ถ้าเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ยังสร้างความเคลื่อนไหวบางอย่างได้

แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเขาอ้าปากกลับไม่มีเสียงออกมาแม้สักนิด…

อวี่ถิงพลันใจสั่นระรัวเหมือนตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ยามมองดูหลินสวินอีกครั้ง สายตาก็เจือแววตะลึงงันที่ไม่อาจเข้าใจได้ไปแล้ว

เขาเป็นใคร

ทำไมเขาถึงกล้าทำแบบนี้

ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไปหลายหมื่นลี้นอกเมือง อาทิตย์อัสดงดุจโลหิต

ปึง!

อวี่ถิงถูกโยนลงพื้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง

หลินสวินมองดูเผิงเทียนเสียง กล่าวว่า “เจ้าจะลงมือหรือให้ข้าทำเอง”

“ข้าเอง”

เผิงเทียนเสียงสีหน้าเหี้ยมเกรียมจนน่ากลัว เต็มไปด้วยความแค้น กระชับกระบี่เทพเล่มหนึ่งก้าวไปข้างหน้า

อวี่ถิงร้องลั่นแตกตื่น “พวกเจ้ารู้ถึงผลลัพธ์หลังจากฆ่าข้าไหม ใต้เท้าอวิ๋นมู่เจอต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”

ฟุบ!

ประกายกระบี่สายหนึ่งฉายวาบ ศีรษะของอวี่ถิงถูกฟันร่วง ก่อนตายยังตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความยากจะเชื่อ

เผิงเทียนเสียงแกว่งกระบี่ฟันศพของอวี่ถิงไปทั่วเหมือนระบายความโกรธที่อยู่ในใจ ไม่กี่อึดใจที่นั่นก็เหลือเพียงเลือดเนื้อแหลกกระจุยเกลื่อนพื้น

ถึงตอนนี้เผิงเทียนเสียงจึงเก็บกระบี่เทพ ยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเหม่อลอยเหมือนวิญญาณหลุดลอย เอ่ยพึมพำว่า “พี่หลิน ข้าไม่ประมาณกำลังตัวเองจริงหรือ”

เสียงแหบแห้ง เผยความเลื่อนลอย

‘นี่ก็ต้องดูว่าใจจริงเจ้าคิดเช่นไร’ หลินสวินรำพึงในใจ

ตั้งแต่ต้นเขาก็มองดูอยู่ข้างๆ มาตลอด เห็นสีหน้าของเผิงเทียนเสียง และนึกถึงท่าทางปักใจที่เจ้าหมอนี่มีต่อตู๋กูโยวหรันผู้นั้นเมื่อสมัยอยู่แดนใหญ่พันศึก ในใจอดทอดถอนใจไม่ได้

ผู้ฝึกปราณไม่ใช่ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ตั้งแต่โบราณมาบนโลกนี้ก็ไม่ขาดบุคคลชั้นยอดที่เป็นไข้ใจ ยึดติดกับความรัก

ต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิหรือระดับอมตะ ก็มีช่วงเวลาที่ผูกใจอยู่กับความรัก

หลินสวินถึงขั้นเคยได้ยินว่าเคยมีผู้บำเพ็ญธรรมที่แจ้งมรรคาอมตะผู้หนึ่ง มีใจให้ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เพื่อครองคู่ร่วมเป็นร่วมตายกับอีกฝ่าย ถึงกับตัดมรรคาอมตะทั้งตัว กลับสู่โลกปุถุชนโดยไม่ลังเล!

เรื่องนี้เคยสร้างความอึกทึกครึกโครมให้กับทั่วหล้า

หลายคนคิดว่าผู้บำเพ็ญธรรมคนนี้โง่เขลา ถูกความรักถ่วงรั้ง พ่ายแพ้ให้กับคำว่ารัก เสียดายมรรควิถีอมตะของตัวเขา

ทั้งยังมีคนคิดว่าต่อให้ครองคู่กับหญิงธรรมดาผู้นี้ก็ไม่เห็นต้องตัดมรรควิถีตัวเอง สามารถใช้พลังของเขาทำให้หญิงธรรมดาคนนี้บรรลุมรรคาก็ได้

ต่อมาผู้บำเพ็ญธรรมคนนี้ก็บอกคำตอบ

‘บนโลกมีสตรีเป็นหมื่นพัน แต่ละคนต่างก็มีดี กระนั้นคนที่ต้องใจข้า มีแต่นางเพียงผู้เดียว’

ผู้หญิงธรรมดาแล้วอย่างไร

เขาดันต้องใจกับคนผู้นี้!

มหามรรคอะไร บำเพ็ญเพียรอะไร ล้วนเทียบนางเพียงผู้เดียวไม่ได้

เทียบกันแล้วความรักและความลุ่มหลงที่เผิงเทียนเสียงมีต่อตู๋กูโยวหรันจึงนับว่าเข้าใจได้

“ฮ่า ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าไม่ได้อยากให้ใครซาบซึ้งกับเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจด้วย…”

สักพักเผิงเทียนเสียงก็ส่ายหัวเย้ยตัวเองแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย เอ่ยว่า “พี่หลิน เจ้าเข้าน่านฟ้าที่หกมาเมื่อไร”

“สามวันก่อน”

หลินสวินเอ่ยปาก “ไปเถอะ หาที่คุยกัน”

เผิงเทียนเสียงตอบรับอย่างรวดเร็ว

ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองสัมผัสวาโย

อาหารโอชะ สุราเซียนล้ำค่าเต็มโต๊ะ

หลินสวินกับเผิงเทียนเสียงดื่มเหล้ากัน ต่างพูดคุยถึงประสบการณ์และเรื่องที่เผชิญในช่วงหลายปีมานี้ ล้วนทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

“พี่หลิน ตอนนี้น่านฟ้าที่หกแห่งนี้ เผ่าจักรพรรดิอมตะครึ่งหนึ่งต่างแค้นเจ้าเข้ากระดูก นี่ก็หมายความว่าทันทีที่ร่องรอของเจ้าถูกเปิดเผย จะต้องเกิดเคราะห์สังหารคับฟ้าแน่ๆ”

ครู่ใหญ่เผิงเทียนเสียงก็พูดว่า “หรือไม่ เจ้าตามข้าไปที่ตระกูลเผิงด้วยกันเถอะ ถึงเวลานั้นก็เปลี่ยนฐานะเก็บตัว จะได้ไม่เกิดเรื่องยุ่งยากโดยไม่คาดฝัน”

หลินสวินส่ายหัวปฏิเสธ เอ่ยว่า “ที่ข้ามาน่านฟ้าที่หกก็เพราะมีเรื่องสำคัญเรื่องอื่นต้องทำ”

เผิงเทียนเสียงเอ่ย “เช่นนั้นข้าช่วยเจ้าได้หรือไม่”

หลินสวินยิ้มเอ่ย “เจ้าน่ะอย่ายื่นมือมายุ่งจะดีที่สุด ถ้าถึงเวลาจำเป็นจริงๆ ข้าจะต้องเอ่ยปากกับเจ้าแน่”

จะว่าไปเขากับเผิงเทียนเสียงก็รู้จักกันเพราะตีกัน กระทั่งตอนนี้กลายเป็นเพื่อนที่สามารถนั่งดื่มด้วยกันได้แล้ว

“จริงด้วย เจ้ารู้ไหมว่าจะไป ‘ทะเลประหัตมาร’ ได้อย่างไร” หลินสวินถาม

“ทะเลประหัตมารหรือ”

เผิงเทียนเสียงนัยน์ตาหดรัด

ที่นั่นเป็นสถานที่โกลาหลในน่านฟ้าที่หก เต็มไปด้วยภัยพิบัติอันพิสดารน่าหวาดหวั่นมากมาย

ตั้งแต่อดีตจนตอนนี้ ที่นั่นถูกมาว่าเป็น ‘ทะเลแห่งความชั่วร้าย’ มีมารนอกรีตที่เลวทรามไม่รู้เท่าไรรวมตัวอยู่

ในสถานการณ์ปกติ ต่อให้เป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะน่านฟ้าที่หกเหล่านั้นยังไม่อยากเฉียดใกล้ทะเลประหัตมาร เพราะที่นั่นก็เหมือนกับนรก ไม่เพียงมีสภาพอันตรายเลวร้าย ยังมีพวกชั่วร้ายนับไม่ถ้วน หากผู้ฝึกปราณทั่วไปเข้าไปในนั้น แทบไม่มีโอกาสรอดกลับมาได้!

ในอดีตเผ่าจักรพรรดิอมตะน่านฟ้าที่หกก็เคยร่วมมือกันจะเข้าไปทลายรังพวกชั่วช้าในทะเลประหัตมารให้หมด แต่สุดท้ายกลับล้มเหลว

สาเหตุก็เพราะทะเลประหัตมารเหมือนโลกเขาวงกตตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง ขอเพียงพวกชั่วช้าเหล่านั้นซ่อนตัว ต่อให้ระดับอมตะบุกเข้าไป ถ้าไม่คุ้นเคยกับสภาพในนั้นก็หาเป้าหมายพบได้ยากยิ่ง!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท