หวั่นโหรวสะท้านในใจ หน้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว
ไม่ทันรอให้นางได้สติกลับมา ประกายเย็นเยียบฉายวาบจ่อที่คอหอยหวั่นโหรว
นี่เป็นกระบี่บินที่ประกายแสงเจิดจ้า เฉียบคมหาใดเทียบเล่มหนึ่ง กลิ่นอายดุดันที่แผ่ออกมากระตุ้นจนหวั่นโหรวตัวแข็งทื่อ คอขาวกระจ่างขนลุกซู่
เหิงซิงไห่ยิ้มเอ่ย “ตอนนี้เจ้าให้คำตอบข้าได้แล้ว”
“คุณหนู!”
“พวกเจ้าบังอาจ!”
ใกล้ๆ เกิดความวุ่นวายและเสียงอุทานระลอกหนึ่ง ผู้คุ้มกันของหอการค้าเก้าใบเหล่านั้นต่างเผยสีหน้าตกใจระคนโกรธ ใครก็คิดไม่ถึงว่าเหิงซิงไห่จะถึงกับลงมือกับหวั่นโหรวกะทันหัน ต่างไม่ทันตั้งตัวกับเหตุการณ์นี้
ไม่เพียงแต่พวกเขา ต่อให้เป็นหวั่นโหรวเองยังคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เนตรกระจ่างทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาถึงขีดสุด
“ที่แท้พวกเจ้าก็ไม่ได้มาเพื่อเข้าไปในทะเลประหัตมาร แต่มีแผนอื่นอยู่แล้ว!” หวั่นโหรวเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
เหิงซิงไห่ยิ้มพูด “รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย คุณหนูหวั่นโหรว เป้าหมายที่พวกเรามาคราวนี้ง่ายดายนัก ก็คือเอากระดูกบริสุทธ์ฟ้าประทานของบรรพจารย์คุนท่อนนั้นไป ขอเพียงเจ้าให้ความร่วมมือแต่โดยดี ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าแม้แต่ปลายขน”
ในใจหวั่นโหรวปั่นป่วนเหมือนเกิดคลื่นซัดสาด เอ่ยว่า “กระดูกบริสุทธิ์อะไร ข้าไม่รู้เรื่องสักนิด”
“จนป่านนี้แล้วยังแกล้งทำไขสืออะไรอีก”
สายตาเหิงซิงไห่เจือแววเย้ยหยัน “รุ่นเยวี่ย เจ้ามาเตือนคุณหนูของเจ้าหน่อย ให้นางนึกดูว่าจำสมบัตินี้ได้หรือไม่กันแน่”
รุ่นเยวี่ย!?
หวั่นโหรวหน้าเปลี่ยนสีทันที
ก็พบว่าตอนนี้รุ่นเยวี่ยที่คล่องแคล่วว่าง่ายอยู่ข้างกายมาโดยตลอดเม้มปากอมยิ้ม เอ่ยว่า “คุณหนู ท่านเป็นคนชั้นสูงที่ขี้ลืมจริงๆ ที่ท่านมาทะเลประหัตมารคราวนี้ ก็ไม่ใช่เพราะจะเอาสมบัติชิ้นนั้นไปค้าขายกับจอมมรรคมารแดงหรือ”
หวั่นโหรวใจหล่นวูบ มือเท้าเย็นเฉียบ แต่ตอนนี้นางกลับสงบใจลง เพียงแต่แววตามีแต่ความผิดหวัง
นางพูดว่า “รุ่นเยวี่ย ข้าให้เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตลอด มองเจ้าเหมือนพี่น้อง เจ้ากลับทำกับข้าแบบนี้ เจ้าทรยศตั้งแต่เมื่อไร”
สายตารุ่นเยวี่ยเผยแววเวทนา “ทรยศอะไรกัน เดิมทีข้าก็เป็นคนของตระกูลเหิง หลายปีมานี้ทำงานให้ตระกูลเหิงมาตลอด ท่านแค่ไม่รู้เท่านั้น”
หวั่นโหรวอึ้งไปครู่หนึ่ง ดวงตามองเหิงซิงไห่แล้วเอ่ยว่า “ที่แท้พวกเจ้าก็วางแผนเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว…”
เหิงซิงไห่ส่ายหัว “ข้าไม่ได้อดทนเก่งขนาดนั้น ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของท่านอาข้าผู้นั้น”
ท่านอาหรือ
หวั่นโหรวพลันนึกถึงเหิงเทียนเซี่ยวที่มาเยือกลางดึกก่อนออกเดินทาง!
ที่แท้ก็เป็นเขา!
ในที่สุดหวั่นโหรวก็เข้าใจแล้ว มิน่าวันนั้นเหิงเทียนเซี่ยวถึงรีบร้อนมาเยือน ต้องการยัดพวกเหิงซิงไห่เข้ามาในการเคลื่อนไหวคราวนี้
พวกเขาต้องได้ข่าวล่วงหน้า รู้เป้าหมายในการเดินทางคราวนี้ของตนแล้วถึงออกเคลื่อนไหว!
แต่ในใจหวั่นโหรวยังกังขาอยู่อย่างหนึ่ง เรื่องที่คราวนี้นางเอากระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนออกเดินทางมา ในหอการค้าเก้าใบมีแต่นางกับท่านพ่อที่รู้
แต่ตอนนี้ไม่เพียงมีรุ่นเยวี่ยที่รู้เรื่อง ขนาดเหิงซิงไห่ยังรู้ด้วย นี่เป็นใครแพร่งพรายออกไปกัน
หวั่นโหรวสับสนไปหมดในชั่วขณะ
นี่เพิ่งเข้าเส้นทางสู่ทะเลประหัตมารก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ พอคิดว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่การเดินทางครั้งนี้จะเกิดเหตุพลิกผัน นึกถึงความคาดหวังของบิดา ความรู้สึกเศร้าก็ผุดขึ้นในใจหวั่นโหรวอย่างอดไม่ได้
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
“คุณหนูหวั่นโหรว เจ้าจะส่งสมบัติชิ้นนั้นมาเองหรือจะให้ข้าลงมือ” เหิงซิงไห่ยิ้มถาม ท่าทางมั่นใจว่ากำชัย
ผู้คุ้มกันหอการค้าเก้าใบที่อยู่ใกล้ๆ เหล่านั้นต่างลูบหน้าปะจมูก ไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าสักนิด
“เร็วเข้า ไปหาลุงเจียว!”
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งร้องเสียงดังอย่างร้อนรน
ด้วยการร้องเตือนนี้ หวั่นโหรวตาเป็นประกาย ยังมีลุงเจียว!
ต่อให้ตนตายไปก็ฝากเรื่องนี้ให้ลุงเจียวได้!
แต่ก็ในตอนนี้เองเหิงซิงไห่หัวเราะลั่นขึ้นมา “ลุงเจียวที่พวกเจ้าเอ่ยถึง เกรงว่าตอนนี้จะถูกจัดการแล้ว!”
อะไรนะ!
หวั่นโหรวรวมถึงผู้คุ้มกันหอการค้าเก้าใบเหล่านั้นใจสั่น
จากนั้นในสายตาของพวกเขาก็เห็นเงาร่างสูงผอมร่างหนึ่งเดินออกมา แต่งกายชุดม่วงทั้งตัว เปี่ยมด้วยความน่าเกรงขาว เป็นเหิงเทียนเซี่ยว!
และในมือเขาก็หิ้วร่างโชกเลือดร่างหนึ่งมาด้วย เมื่อดูดีๆ นั่นคือลุงเจียวจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติไปแล้ว
พอเห็นภาพนี้หวั่นโหรวก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด สับสนไปหมดทั้งตัวประหนึ่งวิญญาณหลุดจากร่าง เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร
“หลานสาวคนดี ต้องขอล่วงเกินแล้ว”
เหิงเทียนเซี่ยวเดินมาเบื้องหน้า ส่งเสียงหัวเราะเบิกบานใจ “ก็เป็นอย่างที่ซิงไห่พูด ขอเพียงเจ้าส่งสมบัติชิ้นนั้นมา ข้าย่อมมอบทางรอดให้เจ้า”
“พวกเจ้าตระกูลเหิงมีฐานะเป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะ สูงส่งปานไหน ทำไมกลับทำเรื่องเช่นนี้ได้” หวั่นโหรวหน้าถอดสี ตัวยังสั่นเล็กน้อย
“คนตายเพราะสมบัติ นกตายเพราะอาหาร กระดูกบริสุทธิ์ที่บรรพจารย์คุณทิ้งไว้ ต่อให้เป็นตระกูลเหิงของข้าก็ต้องหวั่นไหว” เหิงเทียนเซี่ยวทอดถอนใจ
จากนั้นเขาเก็บสีหน้า จ้องหวั่นโหรวแล้วเอ่ยว่า “เวลามีค่า แม่หนู ถ้าเจ้าไม่ส่งสมบัติชิ้นนั้นมาอีก เช่นนั้นก็ทำได้เพียงฆ่าเจ้าก่อนแล้วค่อยเอาสมบัตินี้ไปจากตัวเจ้าแล้ว!”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็กดดันและตึงเครียดขึ้นมา
สายตาทุกคู่ต่างหันมองมายังหวั่นโหรว
ผู้คุ้มกันหอการค้าเก้าใบเหล่านั้นทั้งโกรธทั้งเศร้าระคนกัน ตาแทบถลนออกมา
ส่วนคนตระกูลเหิงอย่างพวกเหิงซิงไห่ เหิงซิงเหวิน ต่างยิ้มเหี้ยมไม่หยุด
ก็ในตอนนี้เอง…
“หลายวันก่อนถ้าเจ้ายอมพบข้าสักครั้ง เรื่องวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้”
เสียงถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น ดูกะทันหันนัก “แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
ทุกคนต่างอึ้งไป มองไปตามทางที่เสียงลอยมา ก็เห็นหลินสวินในชุดขาวพระจันทร์ทั้งตัว เงาร่างสูงโปร่ง
หวั่นโหรวอึ้งไปเช่นกัน นางคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์แบบนี้ หลินสวินที่ถูกนางมองว่าเห็นแก่ตัวเลือดเย็น ขี้ขลาดตาขาวมาตลอดจะถึงกับเข้ามาแทรกเองแบบนี้!
คนตระกูลเหิงเหล่านั้นก็ประหลาดใจนัก คนโง่ยังดูออกว่าตอนนี้สถานการณ์ถูกพวกเขาควบคุมไว้โดยสมบูรณ์แล้ว ทว่ากลับมีคนกระโดดออกมาเหมือนไม่กลัวตาย
“ซิงเหวิน ฆ่าเขาซะ!”
เหิงซิงไห่นิ่วหน้าตะคอก
เหิงซิงเหวินซึ่งทำตัวเหมือนกำแพงขวางระหว่างหลินสวินกับหวั่นโหรวที่อยู่ไกลๆ เผยรอยยิ้มชั่วร้าย โบกมือโดยพลัน
ทันใดนั้นผู้ติดตามอาวุโสระดับบรรพจารย์ที่อยู่ใกล้ๆ เขาสามคนก็กระโจนไปทางหลินสวิน แต่ละคนปลดปล่อยอานุภาพระดับบรรพจารย์ที่น่ากลัวผิดธรรมดาไปทั้งตัว
หวั่นโหรวจิตใจบีบคั้นทันที ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว
แต่เหตุการณ์น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นแล้ว…
ก็เห็นว่าหลินสวินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทำเพียงชูมือกดออกไปกลางอากาศ
ปึง! ปึง! ปึง!
ท่ามกลางเสียงหนักทึบสามครา ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนที่อานุภาพน่าครั่นคร้ามจนทำให้ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนใดก็ต้องหวาดหวั่นสิ้นหวัง ยามนี้กลับกระแทกบนดาดฟ้ายานอย่างหนักราวกับแมลงวัน มรรควิถีกับอานุภาพทั้งร่างก็ถูกผนึกไปพร้อมกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้ทั้งที่นั้นตกตะลึง เงียบเชียบไร้เสียง
ลูกตาเหิงซิงเหวินแทบร่วงลงมา รอยยิ้มเหี้ยมบนใบหน้าแข็งค้าง
คนตระกูลเหิงเหล่านั้นก็สีหน้าเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ ตัวแข็งทื่อ เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
เหิงเทียนเซี่ยวกับเหิงซิงไห่ต่างใจสั่น หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ รับรู้ได้ว่าผิดปกติ
บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดขึ้นมาเช่นกัน
ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของระดับจักรพรรดิ ต่อให้เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดก็ทำได้เพียงก้มหัวให้ระดับขั้นนี้
คนระดับนี้ ต่อให้อยู่ในน่านฟ้าที่หกก็เรียกได้ว่าเป็นคนชั้นยอด
และแน่นอน แม้ทั้งสามต่างเป็นผู้ติดตามอาวุโสของตระกูลเหิง แต่พวกเขาล้วนมีพลังระดับบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างแท้จริง!
ทว่าตอนนี้บรรพจารย์จักรพรรดิทั้งสามเพิ่งลงมือก็ถูกกำราบแล้ว!
ก่อนหน้านี้ใครจะคาดคิดได้กัน
หวั่นโหรวก็ยังหวาดผวา ตาเบิกกว้าง ใจเต้นโครมคราม นางนึกถึงคำพูดที่บิดาของนางเคยกล่าวไว้ ยามนี้พอจะเข้าใจบ้างแล้ว เพียงแต่…
นี่มันต่างกันมากเกินไป ทำเอานางยังทำใจเชื่อได้ยากไปช่วงหนึ่ง
ยามนี้ผู้คุ้มกันหอการค้าเก้าใบเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง พวกเขาย่อมรู้จักคุณชายสืออวี่ผู้นี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าที่แท้คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่ซ่อนคมในฝักไว้ผู้หนึ่ง!
“ขายชีวิตให้คนอื่นก็ต้องเตรียมใจตาย ในเมื่อพวกเจ้าลงมือกับข้า เช่นนั้นก็เก็บพวกเจ้าไว้ไม่ได้”
เสียงราบเรียบของหลินสวินดังก้องไปในที่นั้น พร้อมๆ กันนั้นฝ่ามือที่กดอยู่กลางอากาศของเขาก็รวบเป็นหมัด
ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่ถูกกำราบอยู่กับพื้นสามคนนั้น แต่ละคนร่างแหลกกระจุย พลังจิตแหลกสลาย เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นขึ้นมา
คนมากมายตะลึงจนสั่นไปทั้งตัว หน้าเปลี่ยนสีทันที
“จะ… เจ้าถึงกับฆ่าคนของตระกูลเหิงของข้า!?” เหิงซิงเหวินร้องเสียงแหลม ถูกภาพนองเลือดนี้กระตุ้นแล้ว
หลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง
ปราณกระบี่สายหนึ่งอุบัติขึ้นกลางอากาศ พริบวาบเบาๆ
ฟุ่บ!
น้ำเลือดสาดกระเซ็น มกุฎจักรพรรดิขั้นแปดอย่างเหิงซิงเหวินถูกฟันเหมือนตัดต้นหญ้า
“ทำไมข้าจะไม่กล้า”
หลินสวินถึงเอ่ยเสียงเรียบออกมาในยามนี้
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนในตระกูลเหิงต่างหนาวสะท้านในใจ ประหวั่นพรั่นพรึงยากจะสงบ น่ากลัวเกินไปแล้ว เพียงพริบตาก็สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนกับมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดหนึ่งคน ท่าทางผ่อนคลายเช่นนั้นอย่างกับบี้มดตาย นี่จะไม่ให้พวกเขาหวาดหวั่นได้อย่างไร
“สหาย ก่อนหน้านี้ตระกูลเหิงของข้าล่วงเกินเจ้าไปหน่อย จะไว้หน้าตระกูลเหิงของข้าสักครั้ง ให้เรื่องนี้จบลงเท่านี้ได้หรือไม่”
เหิงเทียนเซี่ยวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยปากเสียงขรึม
“หน้าตาตระกูลเหิงของพวกเจ้าไม่น่ามองพอ” หลินสวินยิ้ม แววตามีแต่ความดูถูก ขณะพูดเขาก็รวบนิ้วกรีดออกไป
สวบ!
เหิงเทียนเซี่ยวจะเคลื่อนตัวหนีทันที แต่ยามเงาร่างอยู่กลางทาง ห้วงอากาศบริเวณที่เขาอยู่ก็ถูกปราณกระบี่ดุดันที่บาดตาหาใดเทียบสายหนึ่งกรีดแหวก
สิ่งที่ถูกกรีดไปด้วยยังมีร่างของเหิงเทียนเซี่ยว ถูกฟันออกเป็นสองส่วนทันที!
ภาพความตายอันน่าสังเวชนั้นทำให้เกิดเสียงร้องแหลมหวาดผวาดังไปทั้งที่นั้น คนตระกูลเหิงต่างตื่นตระหนก พากันหลบหนีไป
ฮูม…
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ปราณกระบี่เป็นสายๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงดังชิ้งๆ พุ่งสาดกระจายในห้วงอากาศ ทุกครั้งที่กระบี่ฟันลงมา ต้องมีหนึ่งคนสิ้นชีพ
ไม่ว่าจะใช้วิชาลับขนานไหน สมบัติเช่นไร ภายใต้การสังหารของปราณกระบี่เช่นนั้น ล้วนอ่อนแอรับการโจมตีไม่ได้สักนิด ถูกกำจัดด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง!
ชั่วพริบตาบนดาดฟ้ายานสมบัติแห่งนี้ก็ถูกย้อมไปด้วยสีเลือด นอกจากเหิงซิงไห่กับรุ่นเยวี่ย คนตระกูลเหิงอื่นๆ ล้วนตายคาที่กันหมด
นี่ก็เหมือนพายุหอบเศษเมฆ อาละวาดกวาดสังหาร แข็งกร้าวอหังการถึงขีดสุด
บรรพจารย์จักรพรรดิแล้วอย่างไร
ก็ถูกฆ่าเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาเช่นกัน!
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินเคลื่อนไหวผ่อนคลายสบายอารมณ์ กระทั่งเงาร่างยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับสักก้าว
มองจากไกลๆ ก็เหมือนนายเหนือหัวผู้หนึ่ง ล้างบางขณะยิ้มพูดคุย!
——