Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2671 ขวานยักษ์สีดำ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2671 ขวานยักษ์สีดำ

ตอนที่ 2671 ขวานยักษ์สีดำ

“อาจารย์อาโม่ หรือท่านมองอะไรออก”

‘หลิงเอ๋อร์’ ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน ดวงตามีชีวิตชีวาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

“พอจะเดาฐานะของเจ้าหนุ่มนี่ได้”

โม่หลันซานพยักหน้าเอ่ย “ถ้าเป็นเขาจริงๆ เช่นนั้นฉุนจวินก็ได้เจอคู่ต่อสู้แล้ว”

พวกหลิงเอ๋อร์ต่างอึ้งไป

ชายชุดหยกผู้นั้นเอ่ยขึ้น “อาจารย์อา ศิษย์พี่ฉุนจวินเป็นผู้นำ ‘ยอดเขาที่เก้า’ ของพวกเรา มีกายมรรคธรรมอัคคีแต่กำเนิด ถูกอาจารย์พาเข้าสำนักตั้งแต่เก้าขวบ ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ยังไม่ถึงห้าร้อยปีก็บรรลุมกุฎบรรพจารย์แล้ว บัดนี้พลังต่อสู้ของเขาอยู่ในสามอันดับแรกของยอดเขาที่เก้า ในหมู่คนระดับเดียวกันทั้งเก้ายอดเขาในสำนัก ยังอยู่ยี่สิบอันดับแรก”

“ในน่านฟ้าที่หกแห่งนี้จะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้กัน”

ชายชุดหยกมีนามว่าฮวงมู่จี้ เป็นผู้สืบทอด ‘ยอดเขาที่เก้า’ ของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเช่นกัน ทั้งชีวิตนี้ในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักที่ชื่นชมที่สุด ก็มี ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ ผู้นี้

“นั่นสิ อาจารย์เคยพูดว่าถ้าไม่ใช่เพราะไขว่คว้ามรรคาอมตะที่สมบูรณ์ถึงที่สุด ด้วยรากฐานพลังของศิษย์พี่ฉุนจวินคงสามารถบรรลุอมตะไปตั้งแต่ร้อยปีก่อนแล้ว!”

ชายในชุดนักพรตคาดเข็มขัดใหญ่สีหน้าเคร่งขรึม “ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าตกลงคนเมื่อครู่นั้นจะมีความสามารถอะไรไปต้านทานศิษย์พี่ฉุนจวินได้”

เขามีนามว่าเมิ่งเฮ่าเฉิน

“เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ใครจะไปคาดเดาได้ แต่ข้าก็อยากขอให้อาจารย์อาโม่ชี้แนะ ว่าเหตุใดถึงคิดว่าสหายคนเมื่อครู่สามารถไปประชันกับศิษย์พี่ฉุนจวินได้”

ชายที่ดูเอ้อระเหยลอยชาย ท่าทางเกียจคร้านเอ่ยถามพลางหัวเราะ

เขานามว่าจั๋วหลิ่น

เมิ่งเฮ่าเฉิน จั๋วหลิ่นและฮวงมู่จี้ ล้วนเป็นผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าเช่นเดียวกัน

“ใช่แล้ว อาจารย์อาโม่พูดมาเถอะ” หลิงเอ๋อร์เสียงนุ่มนวล เอ่ยถามอย่างสงสัย

นางมีชื่อเต็มว่าฉินรั่วหลิง อันดับต่ำที่สุดในยอดเขาที่เก้า แต่กลับเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด เพราะบิดาของนางก็คือเจ้าแห่งยอดเขาที่เก้า

แต่กลับเห็นว่าโม่หลันซานยิ้มพูดว่า “รอฉุนจวินกลับมา พวกเจ้าถามเขาก็รู้แล้ว”

ทุกคนต่างหมดคำพูด ป่านนี้แล้วยังอุบไว้ อาจารย์อาโม่ช่าง… น่าเบื่อจริงๆ

แต่ก็ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขายิ่งสงสัยว่าชายหนุ่มเมื่อครู่นั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงถูกคนอย่างอาจารย์อาโม่มองต่างออกไปเช่นนี้

……

ครืน!

ระเบียบผนึกถาโถมซัดสาดดั่งมหาสมุทร ฟ้าดินปั่นป่วนไปหมด ลายมรรคผนึกนับไม่ถ้วนกระเซ็นกระสาย แปรเป็นเคราะห์สังหารเป็นชั้นๆ

เขตผนึกเร้นแห่งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าที่หลินสวินคาดเดาไว้

ระเบียบผนึกต่างๆ ตัดประสานกัน แปลงออกมาเป็นเขตผนึกเร้นอันกว้างใหญ่และอันตรายแห่งนี้

ระหว่างทางนี้หลินสวินจำแนกระเบียบผนึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้หกชนิด หนึ่งในนั้นมีกลิ่นอายของระเบียบผนึกพิฆาต!

นี่ทำให้หลินสวินคึกคัก

เพราะนี่พิสูจน์แล้วว่าตอนนี้วิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตยังไม่ถูก ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ แห่งหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดผู้นั้นสยบไป!

คราวนี้หลินสวินไม่ได้มาเพื่ออย่างอื่น มาเพื่อวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตเท่านั้น

เพราะจากคำพูดของท่านลู่ วิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนี้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทั้งเขตผนึกเร้นนานแล้ว น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ในบรรดาระเบียบผนึกเก้าชนิดน่าจะถือเป็นชนิดที่พิเศษที่สุด

หลินสวินสัมผัสพลังระเบียบผนึกที่ปกคลุมกลางฟ้าดินไปพลางเดินหน้าไม่หยุด

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งลอยไหวๆ ส่งเสียงกึกก้อง ช่วยเขาสลายการจู่โจมน่าครั่นคร้ามที่ประสบตลอดเส้นทางนี้ หาไม่แล้วด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ เกรงว่าจะถูกถล่มโจมตีไปไม่รู้กี่ครั้งนานแล้ว!

“หืม?”

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าในพื้นที่ที่อยู่ไกลลิบจากด้านซ้ายของเขามีกลิ่นอายต้นกำเนิดของพลังระเบียบอบอวลอยู่ ยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด

ไม่ต้องสงสัย ที่นั่นจะต้องมีต้นกำเนิดพลังระเบียบผนึกชนิดหนึ่งซ่อนอยู่แน!

หลินสวินครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดใจแล้วเดินหน้าต่อ

เขาไม่กล้าร่ำไร เพราะเกรงว่าจะถูก ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ คนนั้นชิงกำราบวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตไปก่อน

จึงเดินหน้าเช่นนี้ไปอีกประมาณสองชั่วยาม

ตลอดทางหลินสวินพบกลิ่นอายต้นกำเนิดระเบียบผนึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอีกสามชนิดอย่างต่อเนื่อง แต่ละชนิดต่างมีความอัศจรรย์ของมันเอง

น่าเสียดายที่ล้วนไม่ใช่ต้นกำเนิดของระเบียบผนึกพิฆาต

‘พลังระเบียบผนึกตลอดทางนี้ไม่ได้ถูกกำราบ นี่จะหมายความว่าเป้าหมายของ ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ คนนั้นจะเหมือนกับข้าหรือไม่’

หลินสวินนิ่วหน้า

เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น

กระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน มาถึงโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง และเป็นโลกที่แปลงจากพลังผนึกทั้งสิ้น

แต่กลับแทบไม่แตกต่างกับโลกแห่งความเป็นจริงแต่อย่างใด

หมู่เขาไพศาลพบเห็นได้ทุกหนแห่ง ฟ้าดินกว้างไกล ในห้วงอากาศมีแต่กลิ่นอายดั้งเดิมดุจดึกดำบรรพ์

หลังจากเข้าไปในโลกผนึกแห่งนี้ หลินสวินก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายต้นกำเนิดของระเบียบผนึกพิฆาตทันที แรงกล้าถึงขั้นนั้น

‘วิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนั่นต้องอยู่ที่นี่แน่!’

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ขณะกำลังจะเสาะหาก็มีเสียงต่อสู้ดุเดือดระลอกหนึ่งลอยมาแต่ไกล

เขาอึ้งไป มุมปากเกร็งกระตุกอย่างยากสังเกตเห็น ดังคาด เกิดเหตุการณ์ที่ตนไม่อยากเห็นที่สุด…

เขาส่ายหัวแล้วกระโจนตัวไปข้างหน้า

ไม่นานนักก็เห็นว่าใต้เว้งฟ้ามีเงาร่างสูงโปร่งดุจสนเขียวร่างหนึ่งกำลังต่อสู้กับขวานยักษ์สีดำเล่มหนึ่งอย่างดุเดือด

ขวานยักษ์สีดำน่ากลัวถึงขีดสุด ยามโบกแกว่งระเบียบผนึกพิฆาตมากมายสาดกระเซ็น กลายเป็นกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ ฟันห้วงอากาศแถบนั้นจนยับเยิน

อานุภาพที่ขวานยักษ์สีดำแผ่ออกมา ทำลายเทือกเขาบนผืนดินแห่งนั้นจนพังพินาศ ซัดฝุ่นปลิวว่อนเต็มฟ้าน่าสยดสยองถึงที่สุด

‘นี่ก็คือวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตหรือ’

หลินสวินรู้สึกประหลาดใจนัก

เขาคิดไม่ถึงว่าวิญญาณระเบียบจะถึงกับสำแดงรูปร่างของขวานยักษ์ได้ นี่แตกต่างจากอู๋ซวงที่เป็นเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาโดยสิ้นเชิง

และท่านลู่ก็ไม่เคยบอกเขาว่าวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตจะเป็นขวานเล่มหนึ่ง…

ทันใดนั้นสายตาหลินสวินก็ถูกเงาร่างสูงโปร่งนั้นดึงดูด

คนผู้นี้เป็นชายที่รูปลักษณ์ถือว่าพอน่ามองเท่านั้น สวมชุดสีขาว ร่างสูงโปร่ง ผมยาวดำเกล้าเป็นมวยนักพรต

เทียบกับรูปลักษณ์ของเขาแล้ว บรรยากาศท่าทางของเขากลับพิเศษยิ่ง หนักแน่นดุจภูผา แต่วิชาต่อสู้กลับรุนแรงเห่อเหิมดุจเปลวเพลิง ให้ความรู้สึกย้อนแย้งอย่างรุนแรง

หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออกว่าคนผู้นี้ก็เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง แต่กลับต่างจากมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

พลังที่คนผู้นี้ครอบครองน่ากลัวยิ่งกว่า พลานุภาพที่ครอบครองแกร่งกล้ายิ่งกว่า ทุกอิริยาบถโอหังเย่อหยิ่งดุจราชันผู้ท่องไปในยุทธภพ!

นั่นเป็นความสง่างามไร้ศัตรูอย่างแท้จริง เป็นความเชื่อมั่นในตนเองที่ยืนผยองเหนือเส้นทางจักรพรรดิ สามารถทะลวงผ่านอุปสรรคทั้งปวง!

‘ผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดแข็งแกร่งตามคำร่ำลือดังคาด ความสง่างามเช่นนี้ ชั่วชีวิตข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ…’ หลินสวินยังไหวหวั่นอย่างอดไม่ได้

เขาฝึกปราณมาจนตอนนี้ ทะลวงจากแดนใหญ่พันศึกมาถึงน่านฟ้าที่หกแห่งนี้ ไม่เห็นคนระดับเดียวกันอยู่ในสายตามาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว

มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิน่านฟ้าที่แปดอย่างพวกฉีหลิงอวิ๋น จงหลีเซียวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาสักนิด

แต่ยามนี้เขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย ‘ประเภทเดียวกัน’ จากตัวผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดคนนี้ มีความรู้สึกประหลาดที่เหมือน ‘มรรคข้ามีศัตรู’

ไม่ต้องสงสัย คนผู้นี้ก็คือ ‘ศิษย์พี่ฉุนจวิน’ ที่ผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นพูดถึง!

แต่หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าในศึกนี้ฉุนจวินไม่ได้พึ่งพามรรควิถีของตัวเขาเอง แต่ใช้สมบัติชิ้นหนึ่งต้านทานขวานยักษ์สีดำเล่มนั้นอยู่

สิ่งนี้คือทวนสั้นสำริดเล่มหนึ่ง ยามแกว่งไกวจะมีเพลิงระเบียบเปล่งประกายวาวใสเป็นลูกๆ อุบัติขึ้น สะท้อนออกมาเป็นลำแสงแดงสดดุจเปลวเพลิง

ในการปะทะแต่ละครั้ง ทวนสั้นสำริดนี้จะมีละอองแสงเปลวเพลิงกระเซ็นออกมาดุจแผดเผาเวิ้งฟ้า เกิดเสียงชิ้งๆ สะท้านใจคน

หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออกว่าทวนสั้นสำริดนี้เป็น ‘สมบัติลับ’ ชิ้นหนึ่ง สามารถอาศัยยืมใช้พลังระเบียบได้ มิหนำซ้ำพลังระเบียบนั้นยังน่ากลัวเป็นที่สุด อย่างน้อยก็เป็นระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่เกี่ยวข้องกับเปลวเพลิงชนิดหนึ่ง!

‘ไม่ธรรมดาเลย…’

หลินสวินรำพึงในใจ ก็ในขณะนี้เองที่เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันซึ่งมาจากคน ‘ระดับเดียวกัน’

เรื่องนี้ทำให้เขาไม่ตกใจกลับยินดี

เพราะอยู่ในระดับนี้ เขาไม่มีศัตรูมานาน เงียบเหงามาหลายปีแล้ว!

ยิ่งสูงยิ่งหนาวรู้สึกอย่างไร

ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เข้าใจ แต่ในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดินี้ เขาได้ลิ้มรสความรู้สึกนี้แล้ว

ทว่าตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็รับรู้แล้วว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียว และย่อมไม่รู้สึกเบื่ออย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว

เขาถึงกับห้ามตัวไม่อยู่ คิดเอาว่าผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดยังเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเกรงว่าในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ หอบรรพจารย์ลัทธิฌาน หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดก็น่าจะมี ‘พวกเดียวกัน’ แบบนี้ไม่น้อย

จู่ๆ ในสนามรบที่อยู่ไกลออกไปก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ขวานยักษ์สีดำที่กำลังต่อสู้ดุเดือดกับฉุนจวิน กลับแปลงเป็นแสงมรรคสายหนึ่งแหวกผ่านห้วงอากาศแล้วหายลับไปอย่างรวดเร็ว

“หนีไปอีกแล้ว ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเจ้าจะหนีได้สักกี่น้ำ”

กลับพบว่าฉุนจวินที่แต่งกายชุดขาวทั้งตัวคล้ายไม่ประหลาดใจ ขณะที่เก็บทวนสั้นสำริดกำลังจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็หันหน้ามา

จากนั้นก็เห็นหลินสวินที่อยู่ไกลลิบ

เมื่อสายตาทั้งสองสบกันกลางอากาศ ฟ้าดินล้วนเงียบสงัด การประชันไร้รูปอบอวลออกมาเหมือนคลื่นใต้น้ำไหวเคลื่อน

“สหายยุทธ์ก็มาสยบระเบียบผนึกพิฆาตนี้หรือ”

ผ่านไปสักพักฉุนจวินก็ชิงเอ่ยปากก่อน เสียงกังวานก้องฟ้าดิน แววประหลาดปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วนั้น

ในสายตาเขา หลินสวินที่อยู่ไกลออกไปสีหน้าสงบนิ่ง แววตาเรียบเฉยไร้คลื่นลม ถึงกับทำให้เขายังรู้สึกมองไม่ออก

“ไม่ผิด”

หลินสวินใจเย็นนัก “ระหว่างทางก่อนหน้านี้ก็ได้พบกับคนของสำนักสหายยุทธ์ ถ้าข้าเดาไม่ผิด สหายยุทธ์ก็คือ ‘ฉุนจวิน’ กระมัง”

ฉุนจวินพยักหน้า เผยสีหน้าเข้าใจในทันที เอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าได้เจอพวกอาจารย์อาโม่มาก่อนแล้ว ข้าน้อยแซ่เย่ ฉายามรรคฉุนจวิน ขอเรียนถามว่าสหายยุทธ์มีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”

“หลินเต้ายวน” หลินสวินเอ่ย

สำหรับเย่ฉุนจวินแล้ว ชื่อนี้ไม่คุ้นหูสักนิด ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

หรือคนผู้นี้จะเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิในน่านฟ้าที่หก

แต่ว่าทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน

คิดๆ แล้วเย่ฉุนจวินก็เอ่ยว่า “สหายยุทธ์หลิน ถ้าเจ้ามาคราวนี้เพื่อวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนี้เหมือนกันหรือ เช่นนั้นเกรงว่าพวกเราจะกลายเป็นคู่ต่อสู้กันแล้ว”

เสียงเรียบเฉย สุขุมเยือกเย็น

“เหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”

หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ดูออกว่าพี่เย่คงไม่ยอมล้มเลิก และข้าก็ไม่มีทางรามือเท่านี้เช่นกัน เช่นนั้นก็เหลือทางเดียวให้เลือกแล้ว”

“พี่หลินพูดจาตรงไปตรงมา ใจตรงกับข้าดี”

เย่ฉุนจวินยิ้มอย่างอดไม่ได้ แววตาวาววาบ เสียงกังวานดุจระฆังดังก้องฟ้าดินแห่งนี้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าคนแซ่เย่ก็ต้องขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฝีมือต่อสู้ของพี่หลินแล้ว”

สีหน้ามีความโอหังและเชื่อมั่นในตัวเองที่เก็บงำอยู่ภายในถึงขีดสุด!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท