ตอนที่ 2674 แขกพิเศษลึกลับ
“สหายน้อย อีกสามปีหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดก็จะเปิดรับผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ”
โม่หลันซานอมยิ้มเอ่ย “ถ้าเจ้ายินยอม ข้าเสนอชื่อเจ้าได้”
เย่ฉุนจวินดวงตาเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นเช่นกันว่า “พี่หลิน ข้าตั้งตารอพบกับเจ้าที่สำนักยิ่งนัก เจ้ามายอดเขาที่เก้าด้วยได้จะดีที่สุด!”
หลินสวินพลันรู้สึกผิดคาด เอ่ยว่า “ให้ข้าคิดอีกหน่อยแล้วกัน”
โม่หลันซานพยักหน้าน้อยๆ โยนหยกประดับติดตัวชิ้นหนึ่งให้หลินสวินผ่านอากาศ “ถ้าเจ้าสนใจ ถึงตอนนั้นก็นำหยกประดับนี้มาหาได้”
หลินสวินมองดูหยกประดับ บนนั้นสลักไว้ว่า ‘ผู้อาวุโสเยี่ยมยุทธ์ยอดเขาที่เก้าโม่หลันซาน’
“ขอบคุณมาก” หลินสวินกุมมือคารวะแล้วหมุนตัวจากไป
เย่ฉุนจวินยังอยากพูดอะไร กลับถูกโม่หลันซานหยุดไว้ เอ่ยอย่างแฝงนัย “ให้เขาไปเถอะ ภายหน้าพวกเจ้าต้องได้พบกันอีกแน่”
เย่ฉุนจวินกล่าว “คนแข็งแกร่งเย้ยฟ้าอย่างเขา ถ้าเข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราได้ต้องเปล่งประกายขจรไกลหมื่นจั้งแน่”
โม่หลันซานยิ้ม ทอดถอนใจว่า “ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่มีใครธรรมดาสักคน ภายหน้าเจ้าก็จะรู้เอง”
ขณะพูดเขาก็ล้วงเอาม้วนหนังสัตว์ที่ผนึกไว้ม้วนหนึ่งมาเปิดกลางอากาศ
ตูม!
ทันใดนั้นเงาร่างสูงตระหง่านดุจทวยเทพร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางม้วนหนังสัตว์นั้น เขาแต่งกายชุดดำทั้งตัว ผมสีดำปลิวไสว ทั้งตัวอบอวลไปด้วยกฎเกณฑ์อมตะ น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด
“เฒ่าเหยียน ของของเจ้าก็มาเก็บเอาเองเถอะ”
โม่หลันซานเอ่ย
เงาร่างสูงตระหง่านนั้นพยักหน้า โบกมือขึ้นกลางอากาศ
ใต้เวิ้งฟ้าไกลออกไป ขวานยักษ์สีดำเล่มหนึ่งลอยหวือมา เย่ฉุนจวินดูออกว่านี่ก็คือวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตที่ถูกตนหมายตาไว้ก่อนหน้านี้
และตอนนี้ขวานยักษ์สีดำนี้ก็หล่นลงมาที่มือของเงาร่างสูงตระหง่านนั้นเบาๆ เหมือนแพะเชื่องๆ
“ขอบใจมาก เฒ่าโม่”
เมื่อเสียงพูดของเงาร่างสูงตระหง่านนั้นเงียบลง ก็กลายเป็นแสงสายหนึ่งหายลับไปในม้วนหนังสัตว์นั้น
โม่หลันซานเก็บม้วนหนังสัตว์แล้วเอ่ยงึมงำว่า “เจ้าเฒ่าเหยียนนี่ชุ่ยเกินไปจริงๆ ขนาดเอ่ยขอบคุณยังไม่รู้สึกถึงความจริงใจสักนิด ไม่ตั้งใจเอาเสียเลย”
เย่ฉุนจวินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “อาจารย์อา หรือคนผู้นี้จะเป็นใต้เท้าหัวหน้าหอ ‘หอแรกนภา’ หนึ่งในสามหอผู้นั้น”
โม่หลันซานร้องอืม “ฝึกปราณจนเหลือแค่พลังจิตได้ นอกจากเจ้าเฒ่าบ้านี่แล้วจะยังมีใครได้อีก”
เย่ฉุนจวินสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้
หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดมีเก้ายอดเขาใหญ่ แต่ละยอดเขาต่างมีผู้นำยอดเขากับเหล่าผู้สืบทอด เป็นตัวแทนเก้าสายของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
และเหนือเก้ายอดเขา ยังมีสามหอ
อันได้แก่หอแรกนภา หอแรกมายา หอแรกพิสุทธิ์
สามหอนี้เป็นตัวแทนสายสำนักสามสายที่ภูมิหลังเก่าแก่ที่สุดในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด เรียกได้ว่าเป็นสามเสาหลักของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
มีเพียงระดับอมตะถึงมีสิทธิ์เข้าหนึ่งในสามหอนี้!
และ ‘เฒ่าเหยียน’ ก่อนหน้านี้ก็คือหัวหน้าหอแรกนภา!
เขามีนามว่า ‘เหยียนจี้’ ในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดก็เรียกได้ว่าเป็นยอดบุคคลที่เร้นลับสุดหยั่งผู้หนึ่ง ลึกลับเป็นที่สุด
เย่ฉุนจวินเคยได้ยินว่าหัวหน้าหอเหยียนจี้บรรลุเหนือระดับอมตะไปนานมากแล้ว ครอบครองวิชาอภินิหารที่ไม่อาจจินตนาการได้!
เย่ฉุนจวินคิดไม่ถึงว่าวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตที่ซ่อนอยู่ในเขตผนึกเร้นแห่งนี้ จะถึงกับเป็นสิ่งที่หัวหน้าหอเหยียนจี้ทิ้งไว้ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว
คิดถึงตรงนี้เขาก็ทอดถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่ “ต่อให้คราวนี้พี่หลินได้ระเบียบผนึกพิฆาตไปก็เกรงว่าจะรักษาไว้ไม่ได้”
โม่หลันซานเอ่ย “รักษาไว้ไม่ได้น่ะไม่สำคัญ เอาของของเฒ่าเหยียนไป ถ้าถูกเฒ่าเหยียนหมายหัวอีก… เช่นนั้นก็แย่แล้ว”
เย่ฉุนจวินกล่าวว่า “แต่ข้าดูออกว่าตอนเขาจากไปในใจยังโมโหมากอยู่”
โม่หลันซานเอ่ยอย่างไม่สนใจสักนิด “ภายหน้ายามเขาเข้าใจ ย่อมรู้ว่าข้าช่วยเขาสลายเคราะห์ไปอย่างลับๆ”
ขณะพูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อตัวเอง ทันใดนั้นเงาร่างของฮวงมู่จี้ เมิ่งเฮ่าเฉิน จั๋วหลิ่นและฉินรั่วหลิงก็ปรากฏกลางอากาศ
“ศิษย์พี่ฉุนจวิน ชนะหรือเปล่า”
ทันทีที่เห็นเย่ฉุนจวิน ฉินรั่วหลิงก็รีบเอ่ยปาก เสียงนุ่มนวลเสนาะหู
พวกฮวงมู่จี้ต่างก็เผยสีหน้าสงสัย
“แพ้แล้วล่ะ” เย่ฉุนจวินดูใจเย็นนัก
“เอ๋…”
พวกฉินรั่วหลิงต่างอึ้งงัน ตาเบิกกว้างยากจะเชื่อ
เย่ฉุนจวินยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ทำไมต้องมองข้าแบบนี้ด้วย แพ้แล้วก็คือแพ้ ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไรเสียหน่อย”
“เจ้าหมอนั่นแข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ”
“นี่เป็นไปไม่ได้น่า น่านฟ้าที่หกมีปีศาจแบบนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไร”
“คงไม่ใช่ผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์อื่นกระมัง”
เย่ฉุนจวินสงบนิ่งนัก แต่พวกฉินรั่วหลิงกลับไม่อาจเยือกเย็นได้ แต่ละคนทั้งตื่แตกตื่นทั้งประหลาดใจ
เย่ฉุนจวินเป็นผู้ที่อยู่ในสามอันดับแรกของยอดเขาที่เก้า ในระดับเดียวกันจะแพ้ให้กับเจ้าคนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ได้อย่างไร
นี่ทำให้พวกเขายอมรับได้ยากนัก
“อาจารย์อาโม่ ท่านดูออกมานานแล้วใช่ไหม” ฉินรั่วหลิงเอ่ยถาม
คนอื่นก็พากันมองไป
ตั้งแต่ตอนเพิ่งพบกับหลินสวิน โม่หลันซานก็เคยพูดว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่คราวนี้เย่ฉุนจวินจะพบกับคู่ต่อสู้แล้ว
และตอนนี้ก็คล้ายจะตรงกับที่คาดไว้
โม่หลันซานยิ้มพูด “ถ้ารู้ชื่อเขา พวกเจ้าอาจจะไม่แปลกใจก็ได้”
“เขาชื่ออะไร” ฉินรั่วหลิงยิ่งประหลาดใจ
“หลินสวิน”
หลินสวิน!?
ตอนแรกพวกฉินรั่วหลิง ฮวงมู่จี้อึ้งไป จากนั้นก็พลันนึกถึงเรื่องใหญ่สะเทือนเลื่อนลั่นต่างๆ ที่ครึกโครมไปทั้งโลกยอดนิรันดร์ ทั้งยังนึกถึงผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายประกาศจับผู้นั้น
“ถึงกับเป็นเขาหรือนี่”
พวกเขาต่างรู้สึกยากจะเชื่อ
หลินสวินตามคำร่ำลือร้ายกาจหาใดเทียบ โหดเหี้ยมเด็ดขาด ฝ่าจากแดนใหญ่พันศึกมาถึงโลกยอดนิรันดร์ ทั้งยังบุกทะลวงจากน่านฟ้าที่หนึ่งมาถึงน่านฟ้าที่หก มือทั้งสองย้อมไปด้วยคาวเลือด
ใครจะกล้าคิดว่าคนโหดเหี้ยมร้ายกาจเช่นนี้จะเป็นชายหนุ่มที่สุขุมเยือกเย็น รูปลักษณ์หล่อเหลาที่พวกเขาได้พบก่อนหน้านี้
ตอนนี้เย่ฉุนจวินก็กระจ่างแล้วเช่นกัน “หลินสวินหลินเต้ายวน ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง”
เขาพลันเอ่ยถามว่า “อาจารย์อา ถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจนัก ทำไมก่อนหน้านี้ท่านถึงขัดขวางการต่อสู้ของข้ากับเขา”
โม่หลันซานตบไหล่เย่ฉุนจวินแล้วกล่าวว่า “เจ้ากดข่มระดับของตัวเองมานานขนาดนี้แล้ว ต้องการเพียงจุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งก็จะบรรลุระดับอมตะได้อย่างมั่นคง ในเวลาเช่นนี้สภาวะจิตจะเกิดปัญหาไม่ได้”
เย่ฉุนจวินสีหน้าซับซ้อน “อาจารย์อาห่วงว่าข้าจะแพ้หลินสวินและถึงขั้นเกิดเงามืดขึ้นในใจหรือ”
โม่หลันซานไม่ได้ปฏิเสธ
พวกฉินรั่วหลิงก็อึ้งไป ต่างมองหน้ากัน
เย่ฉุนจวินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่กลัวแพ้ แต่เห็นได้ชัดว่าในสายตาอาจารย์อาข้าจะต้องแพ้ศึกนั้นไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย…”
เสียงต่ำเบา
เห็นดังนี้โม่หลันซานลอบร้องว่าแย่แล้ว รีบเอ่ยว่า “ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดว่าเจ้าจะแพ้จริงๆ เป็นอันขาด”
เย่ฉุนจวินถอนใจเบาๆ “อาจารย์อา ข้ารู้ว่าท่านหวังดี แต่ถ้าเช่นนี้แล้วใจข้าก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ การพ่ายแพ้กับรู้ว่าตัวเองจะต้องแพ้ นี่เป็นคนละเรื่องกัน”
โม่หลันซานตบหน้าผาก ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ต้องโทษที่ข้าวุ่นวายมากไป ถ้าข้ารู้ว่าผลลัพธ์เช่นนี้จะทำให้ใจเจ้าสับสน ตอนนั้นจะไม่ขัดขวางแทรกแซงเป็นอันขาด”
เย่ฉุนจวินส่ายหัว แววตาหนักแน่นเอ่ยว่า “อาจารย์อา ท่านอย่าโทษตัวเองเลย หากวันหน้ามีโอกาส ข้าค่อยไปสู้กับเขาอีกก็พอ ต่อให้แพ้ก็ต้องแพ้อย่างสบายใจ!”
“อาจารย์อา ท่านรีบไปจับเจ้าหมอนั่นกลับมา ให้เขาได้สู้กับศิษย์พี่ฉุนจวินอีกสักตั้ง” ฉินรั่วหลิงเอ่ยอย่างร้อนรน
โม่หลันซานก็มีคิดไว้บ้างจริงๆ ในใจลอบใคร่ครวญว่าจะเชิญหลินสวินกลับมาด้วยวิธีไหนดี
กลับพบว่าเย่ฉุนจวินปั้นหน้าไม่ถูก เอ่ยว่า “ศิษย์น้องอย่าวุ่นวายไป รออีกสามปีถ้าหลินสวินไม่มาหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ข้าก็ไปหาเขาเองก็พอ”
เมื่อเจอเรื่องนี้ก็ทำให้พวกฉินรั่วหลิง ฮวงมู่จี้ เมิ่งเฮ่าเฉินและจั๋วหลิ่นจำชื่อหลินสวินไว้มั่น
ด้านโม่หลันซานคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “วางใจเถอะ ข้ากล้ารับรอง ว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่เจ้าหลินสวินคนนี้จะกลายเป็นคนในสำนักของเรา พวกเจ้าตั้งตาคอยได้เลย”
……
ในตอนที่หลินสวินจากไปไม่นานเท่าไร เขตผนึกเร้นที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลประหัตมารนั้นก็หายไปแล้ว
เมื่อเห็นภาพนี้จากไกลๆ หลินสวินก็จนใจไปครู่หนึ่ง
จะคิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดตัดหน้าไปก่อน
มีคนใหญ่คนโตอย่างโม่หลันซานมาด้วย อย่าว่าแต่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเขา ต่อให้ระดับอมตะน่านฟ้าที่หกหน้าไหนมาก็ทำอะไรไม่ได้
‘พลังระเบียบผนึกเก้าชนิดเชียวนะ…’
หลินสวินคิดแล้วก็เศร้าใจ แต่ก็ทำได้เท่านี้
ใครให้ผู้อื่นเป็นคนของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเล่า
แต่หลินสวินยังไม่ถึงกับคิดแค้นอีกฝ่ายเพราะเหตุนี้
เดิมทีการช่วงชิงวาสนาก็เป็นเช่นนี้ ใช่ว่าวาสนาอะไรก็จะเข้ากระเป๋าเขาเสียหมด
มิหนำซ้ำคำอธิบายจากโม่หลันซานนั้นก็ทำให้หลินสวินเชื่ออยู่บ้าง
ถ้าวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตเป็นสิ่งที่คนใหญ่คนโตของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดทิ้งไว้จริงๆ เช่นนั้นต่อให้ตนชิงมาได้ก็เกรงว่าจะกลายเป็นเผือกร้อนไป
ที่หาได้ยากยิ่งกว่าก็คือ ระดับอมตะที่ล้ำลึกสุดหยั่งอย่างโม่หลันซาน ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้แสดงท่าทียกตนข่มท่าน และไม่ได้ลงมือกำจัดหลินสวินให้สิ้นซาก
กลับกันยังมอบหยกประดับให้เขาชิ้นหนึ่ง หมายจะเสนอชื่อเขาเข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
แค่การวางตัวและจิตใจเช่นนี้ก็ทำให้หลินสวินแค้นไม่ลงแล้ว
และในวันนั้นหลินสวินก็เริ่มเดินทางออกจากทะเลประหัตมาร
ครึ่งเดือนผ่านไป
เขาเทพหลังมังกร
ทันทีที่กลับมา หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าทั้งเขาเทพหลังมังกรมีพลังระเบียบพิสดารน่าหวาดหวั่นปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
นั่นเป็นกลิ่นอายของระเบียบคำสาป!
“ท่านลู่ถึงกับหลอมระเบียบคำสาปได้สำเร็จล่วงหน้าหนึ่งเดือนหรือ”
หลินสวินอดทึ่งไม่ได้ แต่เช่นนี้ก็ทำให้เขาวางใจได้โดยสมบูรณ์แล้ว
ระเบียบคำสาปเป็นพลังระเบียบที่อยู่ประมาณระดับสวรรค์ขั้นสี่ สามารถกลายเป็นรากให้ตระกูลลั่วย้ายตระกูลไปน่านฟ้าที่เจ็ดได้!
และในน่านฟ้าที่หกแห่งนี้ก็ย่อมไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องอีก!
หลินสวินครุ่นคิดไปพลางเคลื่อนตัวไปทางเขาเทพหลังมังกร ตลอดทางราบรื่นไร้อุปสรรค
และระหว่างทางที่หลินสวินกลับสู่ยอดเขาต้นกก ท่านตาลั่วเซียวก็รีบร้อนมาแจ้งข่าวหนึ่งให้หลินสวินรู้…
ไม่กี่วันก่อนมีแขกพิเศษผู้หนึ่งมาเยี่ยมหลินสวินโดยเฉพาะ ตอนนี้กำลังรออยู่ที่ยอดเขาต้นกกโดยมีท่านลู่รับรองด้วยตัวเอง
สำหรับฐานะของแขกพิเศษผู้นี้ ลั่วเซียวยิ้มเอ่ยด้วยสีหน้าชวนสงสัยว่า “รอเจ้าได้พบก็จะรู้เอง”
หลินสวินยิ่งสงสัยแล้ว
เขากล้ามั่นใจได้ว่าในเมื่อมีท่านลู่ไปรับรองด้วยตัวเอง เช่นนั้น ‘แขกพิเศษ’ ผู้นี้ต้องไม่ใช่ศัตรูแน่
ทว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่หลินสวินก็รีบเดินไปด้วย
กระทั่งมาถึงยอดเขาต้นกก ก็พบว่าที่หน้าผาซึ่งมีต้นสนโบราณพลิ้วไหวนั้น มีคนสองคนนั่งดื่มชาพลางสนทนาอยู่ตรงโต๊ะเตี้ย
หนึ่งในนั้นคือท่านลู่
อีกคน…
ครั้นเห็นเงาร่างของอีกฝ่าย หลินสวินพลันตาเบิกกว้าง เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
——