Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2675 ข่าวคราวของเหล่าศิษย์พี่

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2675 ข่าวคราวของเหล่าศิษย์พี่

ตอนที่ 2675 ข่าวคราวของเหล่าศิษย์พี่

ทะเลเมฆลอยสูง สนโบราณพลิ้วไหว

หน้าโต๊ะ เงาร่างนั้นงดงามยิ่งนัก ราวกับเดินออกมาจากภาพเขียน

นางเป็นหญิงแต่งกายเป็นชาย สวมชุดสีชมพูทั้งตัว บนเสื้อผ้าปักลายกุหลาบสีชมพูไปทั่ว ผมยาวดำขลับทั้งศีรษะปักปิ่นปักผมเฉียงๆ เผยให้เห็นใบหน้ารูปเมล็ดแตงขาวสะอาดที่พริ้งเพราจนทำให้สรรพชีวิตตื่นตะลึงได้

นางมีดวงตาดุจหงส์ที่เจ้าสำราญโดดเด่น ริมฝีปากแดงโดยไม่มิได้แต่งแต้ม คิ้วดำดกโดยไม่ต้องเขียน ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งดุจมันแพะ ร่างกายสูงโปร่งอ้อนแอ้น

บัดนี้นั่งตามสบายอยู่ตรงนั้น ยามเคลื่อนสายตามองมามีแต่แววตาใจกว้างและสง่างาม

สง่าอย่างเซียน งดงามอย่างเทพ!

ไม่ว่าใครได้เห็นต่างต้องตื่นตะลึง

มาดและรูปโฉมเช่นนั้นช่างพิเศษยิ่งจริงๆ

เมื่อเห็นเงาร่างหลินสวินปรากฏ นางที่เป็นหญิงแต่งกายเป็นชายก็ยิ้มละไมลุกขึ้นเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก ไม่ได้เจอกันหลายปี ท่าทางเจ้ายิ่งดูดีกว่าเมื่อก่อนเสียอีก มาๆ รีบมาให้ข้าดูเจ้าให้ถนัดหน่อย”

เสียงกระจ่างนั้นแฝงแรงดึงดูดนุ่มนวลพิเศษ

สตรีผู้นี้ก็คือจวินหวน ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่มีฉายาว่า ‘ชั่วขณะมรรคว่างเปล่า มรรคกระบี่สุดแพรวพราว’!

ขณะพูดนางก็เดินมาหาหลินสวินแล้ว มือเรียวยาวขาวกระจ่างไพล่หลัง ดวงตาหงส์อันงดงามทั้งสองประเมินหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากแดงอิ่มอมยิ้มจางๆ

โฉมตรูดุจรูปวาดแลนางเซียน

“ศิษย์พี่ ทำไมท่าน…”

หลินสวินตื่นตะลึงนัก รู้สึกไม่ทันตั้งตัว

ก่อนหน้านี้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าแขกพิเศษลึกลับที่มาหาตนที่ตระกูลลั่วคราวนี้ จะดันเป็นศิษย์พี่จวินหวน

“เกินคาดมากหรือ”

จวินหวนกะพริบตาปริบๆ รอยยิ้มชวนเพลินใจดุจกลีบดอกไม้หลังสายฝน

หลินสวินพยักหน้า ฉีกยิ้มเอ่ยว่า “และประหลาดใจมาก”

หลังจากเปิดศึกใหญ่กับจอมจักรพรรดิไร้นามคราวนั้น เขาก็แยกกับเหล่าศิษย์พี่ของคีรีดวงกมล

เขาในตอนนั้นเพิ่งบรรลุระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิที่เขาปู้โจว

แต่เขาในตอนนี้เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่มีชื่อสะเทือนโลกยอดนิรันดร์นานแล้ว!

กาลเวลาเคลื่อนคล้อยไปช้าๆ หลายปีผ่านไป เขากรำศึกในฟ้าดารา เคลื่อนกวาดหลากดินแดน รอนแรมไปในแดนใหญ่พันศึก บุกทะลวงมาถึงน่านฟ้าที่หกแห่งนี้

ก็จะเคยคิดอยู่บ่อยๆ ว่าจะเมื่อไรจะได้พบกับศิษย์พี่เหล่านั้นอีกครั้ง

ทั้งยังเคยเป็นกังวลถึงสวัสดิภาพของศิษย์พี่เหล่านั้น เพราะเขาเคยได้ยินว่าสิบยักษ์ใหญ่น่านฟ้าที่แปดมองผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเป็นศัตรู หมายจะกำจัดเพื่อให้หมด

เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าจะได้พบศิษย์พี่จวินหวนที่ตระกูลลั่วในตอนนี้!

เขาจะไม่ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร

จวินหวนก็สังเกตเห็นถึงความปรีดาบนใบหน้าหลินสวินเช่นกัน ในใจทอดถอนใจไม่หยุด เอ่ยว่า “ช่วงไม่กี่ปีมานี้เมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับเจ้า พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนไหนจะไม่ประหลาดใจและทอดถอนใจได้”

นึกย้อนไปถึงตอนที่ได้พบกับหลินสวินครั้งแรก ฝ่ายหลังเพิ่งออกจากดินแดนรกร้างโบราณ ก้าวย่างมาในโลกฟ้าดารา เขาในตอนนั้นเพิ่งสักการะอริยมรรค มีพลังปราณระดับมหาอริยะขั้นสมบูรณ์

แต่ตอนนี้ชายหนุ่มในตอนนั้นกลายเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ฆ่าระดับอมตะได้ไปแล้ว!

ปัจจุบันมิอาจเทียบกับอดีตก็เป็นเช่นนี้!

“สวินเอ๋อร์ พวกเจ้าคุยกันไปนะ”

ไม่ไกลนัก ลู่ป๋อหยายิ้มพลางลุกขึ้นแล้วหมุนตัวจากไป

“ศิษย์พี่ รีบมานั่งเร็ว”

หลินสวินก้าวไปข้างหน้า รินชาเทน้ำให้จวินหวนด้วยตัวเอง

จวินหวนกลับมานั่ง มองดูหลินสวินที่กำลังกุลีกุจอ ดวงตาโตดุจหงส์ทั้งสองยิ้มหยีเป็นรูปจันทร์เสี้ยว เอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก อย่าวิ่งวุ่นเลย รีบนั่งลง”

หลินสวินนั่งลงแล้วยิ้มพูดว่า “ศิษย์พี่ ท่านหาที่นี่เจอได้อย่างไร”

“ตอนนี้เจ้ามีชื่อระบือน่านฟ้าที่หก อยากหาเจ้ายังไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ” จวินหวนยิ้มพลางหยอกล้อ

หลินสวินอึ้งไป แล้วเอ่ยถามอีกว่า “ศิษย์พี่ หลายปีนี้ในใจข้ากังขาอยู่ไม่น้อยจริงๆ คราวนี้ท่านต้องไขข้อสงสัยให้ข้าหน่อยแล้ว”

จวินหวนกัดริมฝีปากเบาๆ สีหน้าลำบากใจ “บางเรื่องพูดได้ บางเรื่องพูดไม่ได้ อย่างเช่นถ้าเจ้าถามว่าข้าชอบเจ้าหรือไม่… นี่จะน่าอายเกินไปแล้ว”

ขณะพูดนางก็ขยิบตาให้หลินสวิน ในดวงตาเปล่งประกายชุ่มฉ่ำนั้นมีแต่แววหยอกเย้าเจ้าเล่ห์

“เช่นนั้นข้าก็อยากถามสักหน่อยว่าศิษย์พี่มีชายในดวงใจแล้วหรือยัง”

หลินสวินยิ้มเอ่ย เขาไม่ได้ทึ่มทื่อเรื่องความรักเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว ในสมองมีคำว่ารอยยิ้มพริ้งเพรา ดวงเนตรเพริศแพร้วลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

จวินหวนถอนใจเบาๆ เนตรงามจับจ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ชายที่รักใคร่ชอบพอข้า สามารถตั้งแถวจากน่านฟ้าที่หนึ่งถึงน่านฟ้าที่เก้ายังได้เลย แต่คนที่จะเข้าตาข้าได้ก็เหลือแต่คนตรงหน้า”

เดิมทีนางก็งดงามยิ่ง ผุดผาดเลิศล้ำ ต่อให้เป็นหญิงแต่งกายเป็นชาย ยามขยับตัวก็ยังมีเสน่ห์มากเช่นเดิม ขณะนี้จับจ้องหลินสวิน ดวงตาคู่สวยกระจ่างใสเจือแววเขินอาย ท่าทางเช่นนั้นน่าเหลือเชื่อนัก

หลินสวินยังออกจะไม่กล้าสบตาอยู่บ้าง กระแอมแห้งๆ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ตรงหน้าท่านคือข้า ท่านคงไม่ได้คิดว่าข้าเป็นชายในดวงใจท่านกระมัง”

จวินหวนพูดอย่างจริงจัง “เจ้าไม่เคยได้ยินว่าจันทราในทะเลคือจันทราบนฟ้า คนตรงหน้าไซร้คือคนในดวงใจหรอกหรือ”

หลินสวินอึ้งไป

จวินหวนหัวเราะร่าเอ่ยแล้วว่า “โธ่ หยอกเจ้าเล่นหรอก เจ้าอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังสิ”

หลินสวินมุมปากเกร็งกระตุก “รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้”

จวินหวนร้องโอ้โฮ เอ่ยทึ่งๆ ว่า “ทำไม เจ้ายังคิดอยากเอาชนะศิษย์พี่หรือ”

ไม่ทันพูดจบ เนตรงามทั้งสองของจวินหวนก็ยิ้มหยีจนกลายเป็นจันทร์เสี้ยว เอ่ยว่า “ต้องพูดว่าเจ้าตาแหลมนัก ไม่ซื่อบื้อเหมือนอย่างศิษย์พี่ผู่เจิน นั่นน่ะหัวทึบของจริง ขอแค่เจอหน้าก็จะพูดว่าข้าจะหญิงก็ไม่ใช่จะชายก็ไม่เชิง คนไม่ใช่มารไม่เชิง เอาแต่บ่นให้ข้าแต่งตัวเป็นผู้หญิง เจ้าว่าน่าโมโหไหม ข้าว่าเขาน่ะ ทั้งชาตินี้อย่าคิดว่าจะเจอคู่บำเพ็ญเลย”

หลินสวินเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ศิษย์พี่ หญิงแต่งกายเป็นชายไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้”

“ศิษย์น้องอยากเห็นข้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือ” จวินหวนถาม

หลินสวินเอ่ย “แน่นอน ศิษย์พี่แต่งกายเป็นชายก็งามปานนี้ ถ้ากลับมาแต่งกายเป็นหญิง คิดว่าต้องงดงามยิ่งกว่าแน่”

มือขาวกระจ่างของจวินหวนยื่นมาเขกหน้าผากหลินสวิน “รูปโฉมงดงามก็เหมือนฟองสบู่ ความสวยก็คือโครงกระดูก ผิวหนังหุ้มกายไม่จริงแท้เท่ามหามรรค ภิกษุเฒ่าสำนักพุทธเคยพูดไว้นานแล้ว”

หลินสวินแค่นหัวเราะ “ข้าไม่ใช่ภิกษุเสียหน่อย”

จวินหวนก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน สักพักจึงเอ่ยจริงจังว่า “ข้าน่ะ สาบานไว้นานแล้วว่าเว้นแต่ว่าจะหาชายในดวงใจเจอ หาไม่แล้วชาตินี้จะไม่แต่งกายเป็นหญิง”

หลินสวินอึ้งไป “นี่ไม่ได้หมายความว่าถ้าได้พบกับชายในดวงใจ ศิษย์พี่ถึงจะแต่งกายเป็นหญิงหรอกหรือ”

จวินหวนขานอืมคำหนึ่ง

“เช่นนั้นข้าก็จะตั้งตาคอยให้สักวันศิษย์พี่หาคนในดวงใจเจอ” หลินสวินยิ้มพูด

ทั้งสองสนทนากัน ไม่มีระยะห่างสักนิด กลับกลมเกลียวกันเหมือนพี่น้อง

ระหว่างที่พูดคุย ในที่สุดหลินสวินก็รู้เรื่องบางส่วน

หลังจากพวกศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่สามข้ามฟ้าดารามาถึงโลกยอดนิรันดร์ด้วยกัน ก็ได้หยุดอยู่ที่น่านฟ้าที่หกเป็นเวลาสั้นๆ

จากนั้นก็ไปยังน่านฟ้าที่เจ็ด

สิบกว่าปีก่อนพวกศิษย์พี่ใหญ่จักรพรรดิสงครามยุท ศิษย์พี่ห้าชื่อจวิน ศิษย์พี่แปดปู่ซ่วนจื่อ ศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจิน ศิษย์พี่สิบสองเซิ่นเหยียน ศิษย์พี่สิบสามหลี่เสวียนเวยเคลื่อนไหวด้วยกัน ไปยังสถานที่ชื่อว่า ‘แดนยอดจักรวาล’

ตามที่จวินหวนพูด ในแดนยอดจักรวาลมีมหาศุภโชคที่เกี่ยวกับ ‘การหลุดพ้น’ อยู่ การเคลื่อนไหวคราวนี้ของพวกศิษย์พี่ใหญ่ก็ไปเพื่อหาศุภโชค ‘หลุดพ้น’ นั้น

ส่วนนางกับศิษย์พี่สิบห้าชิงถิง ศิษย์พี่สิบหกเฉิงอวี๋ ศิษย์พี่สิบเก้าเสวี่ยหยา ศิษย์พี่ยี่สิบจิ้งจงเยวี่ย ศิษย์พี่ยี่สิบสองหลันชางเจี่ยและศิษย์พี่ยี่สิบห้าหลิวเซียงฉื่อเก็บตัวจำศีลอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ด

ฟังมาถึงตอนนี้หลินสวินจึงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ นานป่านนี้แล้ว ท่านไม่เคยบอกข้าว่าท่านเป็นศิษย์ลำดับที่เท่าไรของสำนัก ถามศิษย์พี่คนอื่น พวกเขาก็เอาแต่หลบเลี่ยงไม่ตอบข้า พูดจาคลุมเครือ ตอนนี้ท่านบอกมาได้แล้วกระมัง”

ใบหน้างามจนเรียกได้ว่างามเกินไปของจวินหวนผกผันไม่ว่างเว้นไปครู่หนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แค่ลำดับเท่านั้น สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”

หลินสวินเอ่ยไม่เลิกรา “ในเมื่อไม่สำคัญ แล้วทำไมไม่บอกข้า”

จวินหวนจ้องหลินสวินครู่หนึ่ง เห็นเขาไม่ยอมถอยสักนิด ในที่สุดก็ยอมแพ้ กัดฟันเข่นเขี้ยวพ่นสามคำออกมาจากปากแดงอิ่มว่า

“สามสิบแปด” (ภาษาจีนอ่านว่า ซานสือปา)

สามแปด? (ซานปา) ที่พ้องกับคำว่าสะดีดสะดิ้ง (ซานปา) น่ะเหรอ

แววตาหลินสวินแปลกไปเล็กน้อย แต่เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่แทบจะฆ่าคนได้ของจวินหวนนั้น เขาพลันทำหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “ศิษย์พี่พูดถูก แค่ลำดับเท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไร”

แต่จวินหวนยังอดไม่ได้ ยื่นมือไปเขกหน้าผากหลินสวินอีกอยู่ดี จากนั้นจึงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ต่อไปห้ามพูดเรื่องลำดับต่อหน้าข้าอีก หาไม่ข้าจะทุบสมองเจ้าให้กระจุย”

นางม้วนแขนเสื้อขึ้นแกว่งหมัดไปมาคล้ายข่มขู่

หลินสวินไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียง เหงื่อกาฬยังผุดขึ้นตรงหน้าผาก ทุบสมองให้กระจุยหรือ ศิษย์พี่จวินหวนโหดเป็นบ้า…

ก็ในตอนนี้เองเขาถึงสังเกตได้ว่าศิษย์พี่จวินหวนที่อยู่ตรงข้ามกลิ่นอายแทบว่างเปล่า ดูวี่แววอะไรไม่ออก ทั้งยังไม่อาจแยกแยะระดับมรรควิถีของนางได้สักนิด

“ศิษย์พี่บรรลุอมตะแล้วหรือ” เขาถามอย่างอดไม่ได้

“แน่อยู่แล้ว” จวินหวนพูดลวกๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ “โลกยอดนิรันดร์ไม่อาจเอาทางเดินโบราณฟ้าดารามาเทียบได้จริงๆ ในปีที่สามที่มาถึงที่นี่ก็ทำให้ข้าเหยียบย่างขั้นอายุขัยเทียมฟ้าแล้ว ไม่นานมานี้ก็เพิ่งทะลวงขั้นดับเทพ เลื่อนขั้นเร็วประมาณนี้… ยังพอไหวอยู่กระมัง”

พรวด!

หลินสวินพ่นชาออกมา นี่ยังเรียกว่าพอไหวหรือ

จวินหวนยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าตื่นตูมขนาดนี้ จะดูเบาศิษย์พี่เหล่านี้ของเจ้าไปแล้วกระมัง ในสมัยดึกดำบรรพ์ของทางเดินโบราณฟ้าดารา คนอย่างพวกเราก็ยืนอยู่บนเส้นทางระดับจักรพรรดิแล้ว แต่ก็เป็นตอนนั้นที่ระดับพลังของพวกเราถูกกดข่มมาตลอด ถูกกักขังมานานไม่อาจหลุดพ้น”

“ถ้าคุยโวแบบไม่ละอาย ในหมู่พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ใครไม่มีรากฐานกับพรสวรรค์ที่เคลื่อนกวาดทั้งโลกได้บ้าง โง่เง่าอย่างศิษย์พี่ผู่เจินก็แค่ความคิดโง่งม มรรควิถีทึบทื่อเท่านั้น”

หว่างคิ้วจวินหวนปรากฏแววโอหังหยิ่งทระนง “พอคิดดู ถูกกดข่มมานานขนาดนี้ ในวันที่ปะทุขึ้นมา ศักยภาพแฝงเช่นนั้นคนอื่นจะเทียบได้หรือ”

“อย่างศิษย์พี่ใหญ่ วันแรกที่มาถึงโลกยอดนิรันดร์ก็เหมือนทำลายพันธนาการเป็นชั้นๆ ที่อยู่บนร่างออก บรรลุระดับอมตะในคราวเดียว พลังปราณทะลวงถึงขั้นดับเทพในเวลาสั้นๆ แค่สามวัน นั่นถึงเรียกได้ว่าเย้ยฟ้าของจริง!”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้

คิดจนหัวแตกเขาก็คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ของตนพวกนั้นจะถึงกับร้ายกาจปานนี้

บางทีอาจเป็นอย่างที่ศิษย์พี่จวินหวนพูด แต่ก่อนสมัยอยู่ทางเดินฟ้าดารา พวกเขาผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ก็เหมือนใส่โซ่ตรวนเป็นชั้นๆ ไว้

และหลังมาถึงโลกยอดนิรันดร์ โซ่ตรวนเหล่านี้ก็ไม่มีอีกต่อไป ทำให้ศักยภาพแฝง มรรควิถี และพลังที่ถูกกดข่มมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดของพวกเขาต่างปะทุและพุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!

ยิ่งกดข่มไว้มาก ก็ยิ่งปะทุรุนแรง!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท