Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2676 ต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2676 ต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ

ตอนที่ 2676 ต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ

หลินสวินสะท้านสะเทือนมากจริงๆ

แต่พอคิดๆ ดูหลังจากสงบอารมณ์ลงแล้ว กลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติยิ่ง

เหมือนอย่างตัวเขาเอง เพิ่งฝึกปราณเพียงร้อยปีเศษเท่านั้น หลังออกจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเข้าสู่แดนใหญ่พันศึก พลังปราณก็รุดหน้าแบบก้าวกระโดดตลอดทาง

ตอนนี้ก็ห่างจากมรรคาอมตะเพียงนิดเดียวเท่านั้น

และทั่วทั้งคีรีดวงกมล บรรดาศิษย์พี่เหล่านั้นคนไหนบ้างเป็นคนธรรมดาทั่วไป

อย่างศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อที่พรสวรรค์สูงที่สุด แกนกระดูกแกร่งที่สุด รากฐานพลังวิปริตที่สุด ถูกกำราบในสถานที่อย่างแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ยังสามารถคว้าจุดเปลี่ยนแจ้งอมตะได้ นี่ต้องเป็นพวกวิปริตขนาดไหน

ศิษย์พี่คนอื่นๆ อย่างศิษย์พี่รั่วซู่ ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวย ศิษย์พี่เสวี่ยหยา อาจเทียบศิษย์พี่สี่ไม่ได้ ทว่าเลือกแต่ละคนออกมาสุ่มๆ ล้วนมีความโดดเด่นของตน อหังการน่ากลัวในระดับพลังเดียวกัน!

และอย่างศิษย์พี่ใหญ่ ยิ่งเป็นพวกที่แม้แต่ศิษย์พี่สี่ยังเลื่อมใสจากใจ!

ยิ่งกว่านั้นในบรรดาพวกเขา ส่วนใหญ่แทบจะแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิในยุคดึกดำบรรพ์ทั้งสิ้น หลังถูกทางเดินโบราณฟ้าดารากดข่มในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ศักยภาพแฝงที่ปะทุออกมาของพวกเขามีหรือที่คนธรรมดาจะเทียบได้

กล่าวโดยสรุป บรรดาศิษย์พี่คีรีดวงกมลเหล่านี้ไม่สามารถประเมินด้วยหลักการปกติได้สักนิด

แต่ข้อสงสัยอีกข้อก็ผุดขึ้นมาในใจหลินสวิน เขาอดถามไม่ได้ “ในเมื่อศิษย์พี่ทุกท่านล้วนเหยียบย่างระดับอมตะกันแล้ว เหตุใดยังเลือกกบดานอยู่อีกเล่า ขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะในน่านฟ้าที่แปดนั่นร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ”

จวินหวนสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง เอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าดูถูกยักษ์ใหญ่อมตะพวกนี้เชียว เบื้องหลังพวกเขาแต่ละตระกูลล้วนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นแยกกันไม่ออกกับน่านฟ้าที่เก้า หรือกล่าวได้ว่าเบื้องหลังพวกเขามีเผ่าเทพนิรันดร์หนุนอยู่!”

หลินสวินพยักหน้า “นี่ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง”

“เจ้ายังไม่เคยเข้าใจรายละเอียดของน่านฟ้าที่แปดอย่างถ่องแท้ ที่เห็นเป็นเพียงเปลือกนอกผิวเผิน ที่ได้ยินก็เป็นแค่ข่าวลือบางส่วนเท่านั้น”

จวินหวนกล่าว “นานมาแล้วก่อนหน้านี้ อาจารย์ก็เคยอาศัยเส้นทางน่านฟ้าที่แปดหมายจะมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าที่เก้า แต่กลับพบเจอการขัดขวางจากพวกสิบยักษ์ใหญ่นี่ ด้วยมรรควิถีของอาจารย์ยังเสียเวลานานหลายปีกว่าจะบีบพวกเขาทั้งหมดให้ก้มหัวได้”

กล่าวถึงตรงนี้จวินหวนถอนใจเบาๆ “แต่ก็ทำได้เพียงทำให้พวกเขาก้มหัวเท่านั้น จากที่อาจารย์บอก หากคิดอยากเอาชนะพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียวก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล และค่าตอบแทนที่ว่านี้ก็คือตัวอาจารย์เอง นี่ก็ยากจะรับไหวยิ่งนัก”

หลินสวินใจหายวาบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในใจสะเทือนไหวไม่หยุด

ในใจของเขา อาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลดุจดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์สูงสุด แต่ในปีนั้นถึงกับทำได้เพียงบีบให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะเหล่านั้นก้มหัว!

แค่คิดก็รู้ว่ารากฐานขุมอำนาจยักษ์ใหญ่เหล่านี้น่าสะพรึงปานใด

“หลายปีมานี้ระหว่างที่พวกเราเลือกกบดาน นอกจากเร่งเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองแล้วก็ยังวางแผนเรื่องหนึ่งกันด้วย”

จวินหวนกล่าว “เรื่องนี้ตอนนี้ให้ศิษย์พี่สามรับผิดชอบ และตอนนี้ก็ถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว”

ในสมองหลินสวินปรากฏเงาร่างอ่อนหวานนุ่มนวล งดงามเรียบง่ายของศิษย์พี่สามรั่วซู่ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “เรื่องอะไรหรือ”

กลีบปากจวินหวนเม้มน้อยๆ ปรากฏรอยยิ้มบางๆ เสี้ยวหนึ่ง “พวกเราตั้งใจจะต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ตัดสินแพ้ชนะสักตั้ง”

เสียงอ่อนหวานนุ่มนวล แต่ความหมายในคำพูดกลับทำให้ในใจหลินสวินสะท้านสะเทือน

ต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ!

“พวกศิษย์พี่ใหญ่มุ่งหน้าไปช่วงชิงศุภโชคที่ ‘แดนยอดจักรวาล’ จากการคาดเดาของศิษย์พี่ปู่ซ่วนจื่อ หากไม่ผิดคาด ภายในร้อยปีก็สามารถทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ห้า ศิษย์พี่สิบเอ็ดบรรลุถึงขั้น ‘หลุดพ้น’ ตามความหมายแท้จริงบนมรรคาอมตะได้ หรือก็คือขั้นสุดท้ายในสามขั้นของระดับอมตะนั่นเอง”

จวินหวนกล่าว “นี่คือไพ่ตายสำคัญของพวกเราในการต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ส่วนศิษย์พี่สามและศิษย์พี่คนอื่นๆ ก็จะเข้าไปในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ”

หลินสวินอึ้งไป “ลัทธิวิญญาณหรือ”

จวินหวนมองความสงสัยในใจหลินสวินออก เอ่ยว่า “ให้อธิบายมันซับซ้อนมาก กล่าวง่ายๆ คือลัทธิแรกกำเนิดและลัทธิวิญญาณถือเป็นขุมอำนาจที่เป็นกลาง แต่ในสองหอบรรพจารย์นี้ล้วนมีขุมอำนาจของสิบยักษ์ใหญ่อมตะกระจายอยู่”

“สิ่งที่พวกศิษย์พี่สามต้องการก็คือ หลังจากหยัดยืนมั่นคงในลัทธิวิญญาณแล้ว จะค่อยๆ กำจัดขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะนั่นให้สิ้นซาก”

คราวนี้หลินสวินถึงเริ่มเข้าใจขึ้นมารางๆ อดกล่าวไม่ได้ว่า “แต่หากทำเช่นนี้ คนของหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณจะยอมหรือ”

จวินหวนหัวเราะขึ้นมา “ขุมอำนาจที่หนุนหลังสี่หอบรรพจารย์เหนือธรรมดายิ่งกว่าขุมอำนาจที่หนุนหลังสิบยักษ์ใหญ่อมตะ”

“นี่เกี่ยวพันถึงการเปรียบเทียบอำนาจอิทธิพลระหว่างเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้า เจ้ารู้ไว้เพียงว่าสาเหตุที่สิบยักษ์ใหญ่อมตะยังต้องเกรงใจสี่หอบรรพจารย์อยู่บ้าง เป็นเพราะขุมอำนาจที่หนุนหลังยังด้อยกว่าขุมอำนาจเบื้องหลังสี่หอบรรพจารย์”

หลินสวินตกตะลึง ยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดสี่หอบรรพจารย์ถึงอยู่น่านฟ้าที่เจ็ด ส่วนน่านฟ้าที่แปดนั่นกลับถูกสิบยักษ์ใหญ่อมตะยึดครองไปเล่า”

“เพราะความหมายของการคงอยู่ของสี่หอบรรพจารย์ ก็เพื่อคัดสรรยอดคนที่โดดเด่นที่สุดให้แก่เผ่าเทพนิรันดร์ที่อยู่เบื้องหลัง นี่คือจุดประสงค์เดียวของการมีอยู่ของพวกเขา”

“พวกเขาไม่แยแสการต่อสู้ระหว่างขุมอำนาจ และไม่มีความสนใจใดๆ ต่อการขยายอาณาเขต สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการก็คือรับศิษย์และถ่ายทอดวิชา คัดสรรยอดอัจฉริยะระดับสุดปลายยอดในโลกนี้ให้กับเผ่าเทพนิรันดร์ที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น”

จวินหวนอธิบายอย่างอดทน “พวกเขาไม่สนใจว่าเจ้ามีพื้นเพแบบไหน คนในตระกูลสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็ดี สำนักเล็กๆ ไร้ที่มาที่ไปก็ช่าง ขอเพียงถูกสี่หอบรรพจารย์คัดเลือก ก็มีโอกาสมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่เก้า ทำประโยชน์ให้กับขุมอำนาจเบื้องหลังสี่หอบรรพจารย์”

“ถ้าหากสี่หอบรรพจารย์อยู่น่านฟ้าที่แปด สิบยักษ์ใหญ่อยู่น่านฟ้าที่เจ็ด ต่อให้โลกนี้จะปรากฏพวกสัตว์ประหลาดที่สะดุดตายิ่งยวดบางส่วน เกรงว่าคงถูกสิบยักษ์ใหญ่ชิงตัวไปตั้งแต่จังหวะแรกแล้ว ถึงอย่างไรน่านฟ้าที่เจ็ดและน่านฟ้าที่แปดก็ยังห่างกันหนึ่งน่านฟ้าใหญ่”

“และมีแต่อยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ดเท่านั้น จึงจะสามารถรวบรวมคนโดดเด่นที่ปรากฏตัวในน่านฟ้าที่หนึ่งถึงน่านฟ้าที่หกเข้าสำนักได้ทั้งหมด”

“แน่นอนว่าในสายตาสี่หอบรรพจารย์ คำว่าโดดเด่นนี้เป็นคำอธิบายกลุ่มคนที่สะดุดตา สามารถบรรลุมกุฎบรรพจารย์ได้ เจ้าเองก็เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ น่าจะรู้ดียิ่งว่าคนที่สามารถก้าวสู่ขอบเขตนี้ได้ รากฐานและพรสวรรค์ควรต้องเย้ยฟ้าและตระการตาปานใด”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินถึงพอเข้าใจบ้างแล้ว

“หากกล่าวเช่นนี้ พวกศิษย์พี่สามเข้าไปในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ แม้ว่าฐานะเปิดเผยก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไร” เขคล้ายขบคิด

จวินหวนพยักหน้ายิ้มๆ “ไม่ผิด แต่นี่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งในนั้นเท่านั้น รอภายหน้าเดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองว่าเหตุใดพวกศิษย์พี่สามจึงมุ่งหน้าไปหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ ในนี้ยังมีปริศนาอื่นอีก”

มีปริศนาอื่นอีกหรือ

หลินสวินอึ้งไป มองดูท่าทียิ้มแต่ไม่บอกกล่าวของจวินหวนเขาพลันเข้าใจทันที ยิ้มขื่นกล่าว “ดูท่าตอนนี้ศิษย์พี่ไม่มีทางพูดปริศนานี้ออกมาแน่ๆ”

จวินหวนกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล “เหตุที่ปริศนาเป็นปริศนา ก็เพราะต้องเป็นความลับไม่อาจบอกใคร เจ้าอย่าคิดมากไป ตัวข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าในบรรดาผู้สืบทอดอย่างพวกเรา นอกจากศิษย์พี่สาม ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าปริศนานี้คืออะไร”

หลินสวินอดรู้สึกแปลกพิลึกไม่ได้ คิดๆ แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อศิษย์พี่สามวางแผนเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลแน่”

จวินหวนกล่าวยิ้มๆ “เจ้าคิดเช่นนี้กับศิษย์พี่สาม หรือว่ามีความคิดบางอย่างต่อศิษย์พี่สาม ไม่ต้องเคอะเขิน ลองพูดมาให้ฟังหน่อย ไม่แน่ว่าข้ายังพอช่วยเจ้าได้อีกแรง ในบรรดาพวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ศิษย์พี่สามเรียกได้ว่างามทั้งภายในและภายนอก ฉลาดล้ำผิดมนุษย์ ก็เหมือนกับมหามรรคของนาง สามารถใช้คำว่าอาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บมาอธิบายได้ สมบูรณ์แบบนัก”

หน้าผากหลินสวินละเหี่ยใจยิ่ง กล่าวว่า “ข้าจะมีความคิดอะไรต่อศิษย์พี่สามได้กัน”

จวินหวนถอนใจยาวอย่างปลงๆ “ผู้ชายคีรีดวงกมลของพวกเรา ไม่มีใครกล้าคิดเป็นอื่นต่อศิษย์พี่สามสักคนดังคาด เมื่อก่อนข้ายังยุยงให้ศิษย์พี่คนอื่นๆ ไปตามเกี้ยวศิษย์พี่สาม แต่สีหน้าแต่ละคนล้วนเหมือนเจ้าไม่มีผิด ในใจพวกเจ้า ศิษย์พี่สามน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ”

หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่น่ากลัว แต่ทำให้คนเคารพยำเกรงต่างหาก”

จวินหวนกะพริบเนตรงามเบาๆ “ว่ากันถึงที่สุด ต่อให้ไม่มีจิตอกุศลและไม่มีความคิดไม่ดี หากข้าเป็นผู้ชาย ต้องจับศิษย์พี่สามให้อยู่หมัดเป็นแน่”

“น่าเสียดายแล้ว ศิษย์พี่ท่านไม่ใช่ผู้ชาย” หลินสวินกล่าวจริงจัง

จวินหวนยื่นมือมาเขกจิ้มหน้าผากหลินสวินอีกรอบ เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งค้างและเหนื่อยใจของหลินสวิน นางก็อดหัวเราะชอบใจไม่ได้ “เฮ้อ ข้าหวังดีต่อเจ้าทั้งนั้น จริงสิ ในเมื่อเจ้าไม่อยากไปตามเกี้ยวศิษย์พี่สาม เช่นนั้นเจ้าคิดว่าศิษย์พี่เฉิงอวี๋เป็นอย่างไร”

หลินสวิน “…”

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าจวินหวนตรงหน้าคนนี้สมกับเป็นผู้สืบทอดลำดับที่สามสิบแปดแห่งคีรีดวงกมลจริงๆ ลำดับก็เหมือนเจ้าตัว!

จวินหวนเลิกคิ้วกล่าว “ทั้งไม่เกี้ยวศิษย์พี่สามแล้วยังไม่สนใจศิษย์พี่เฉิงอวี๋อีก เจ้า… คงไม่ได้คิดอะไรกับข้าหรอกกระมัง”

กล่าวพลางเนตรงามของนางทอประกายแปลกไป ริมฝีปากแดงขบเบาๆ บนใบหน้ารูปไข่งดงามเหลือร้ายนั่นทอประกายมีเสน่ห์น่าตกใจ

หลินสวินพลันพะอืดพะอมขึ้นมา เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ พวกเรามาคุยเรื่องจริงจังกันดีกว่า!”

จวินหวนเก็บกลิ่นอายเย้ายวนทั่วร่างไว้ แล้วกลอกตาใส่หลินสวินอย่างไม่สบอารมณ์ปราดหนึ่งก่อนกล่าวว่า “เจ้าน่ะ ดูท่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางแต่งภรรยามีอนุเป็นโขยงได้แล้ว”

มุมปากหลินสวินกระตุก เอ่ยว่า “ข้ายินดีนัก”

“ปากแข็ง!”

จวินหวนถลึงตามองเขาปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมากล่าวว่า “เอาล่ะ ไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว คุยเรื่องจริงจังกัน ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะได้รับการไหว้วานจากศิษย์พี่สาม หวังให้ศิษย์น้องเล็กไปทำธุระให้เรื่องหนึ่ง”

หลินสวินพลันกระฉับกระเฉงขึ้นมา เอ่ยว่า “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย ขอเพียงช่วยเหลือได้ เรื่องอะไรข้าล้วนตกลง”

“จุ๊ๆ คำพูดของศิษย์พี่สามได้ผลดังคาด เหตุใดข้ายิ่งรู้สึกว่าเจ้าสนใจศิษย์พี่สามมากขึ้นเรื่อยๆ กันนะ” จวินหวนสีหน้าเคลือบแคลง

ใบหน้าหลินสวินแทบอึมครึมมืดสนิท ผ่านมาไม่รู้กี่ปีแล้ว มีใครกล้าหยอกเย้าตนเช่นนี้บ้าง

แต่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้จวินหวนเป็นศิษย์พี่กันล่ะ

ใครใช้ให้มรรควิถีของนางแข็งแกร่งกว่าตนกันล่ะ

ใครใช้ให้นางอยู่ลำดับที่สามสิบแปดกันล่ะ

ใครใช้ให้…

หลินสวินก็ทำได้เพียงบีบจมูกอดทน กล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “ศิษย์พี่ พวกเรากำลังคุยธุระกันอยู่”

จวินหวนไม่ได้หยอกล้ออีก กล่าวว่า “ศิษย์พี่สามตั้งใจให้เจ้ามุ่งหน้าไปหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด”

หลินสวินแปลกใจทันที “หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหรือ”

ก่อนออกจากทะเลประหัตมาร เขาเพิ่งได้พบคนของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดอย่างพวกโม่หลันซาน ทั้งยังได้รับหยกประดับจากโม่หลันซานชิ้นหนึ่ง

และตอนนี้ศิษย์พี่สามก็หวังให้เขาไปหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดด้วยเช่นกัน ความรู้สึกนี้ค่อนข้างแปลกพิกล

“ใช่แล้ว”

จวินหวนกล่าว “สามปีให้หลัง หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจะรับผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ และด้วยมรรควิถีของศิษย์น้อง หากต้องการเข้าไปในนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก”

หลินสวินอดกล่าวไม่ได้ “เข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดไปทำอะไร”

จวินหวนหยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่สามมอบให้เจ้า เจ้าเปิดอ่านดูก็รู้เอง”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท