Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2678 ไม่สำนึกบุญคุณ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2678 ไม่สำนึกบุญคุณ

ตอนที่ 2678 ไม่สำนึกบุญคุณ

น่านฟ้าที่เจ็ด

แบ่งออกเป็นเขตแดนใจกลางและสี่เขตแดนดาราใหญ่

นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ในเขตแดนใจกลางแบ่งออกเป็นแดนมงคลสามสิบหกแห่ง

แดนมงคลแต่ละแห่งล้วนเป็น ‘แหล่งรวมความงามวิจิตรทั่วหล้า บ่มเพาะบ่อเกิดต้นกำเนิด’ เรียกได้ว่าเป็นปราณมรรคสามสิบหกสายนับแต่หมื่นกาลสืบมา!

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด สามสิบหกแดนมงคลดำรงอยู่ในโลกเรื่อยมา ขุมอำนาจอมตะที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในสามสิบหกแดนมงคลกลับเปลี่ยนไปไม่รู้กี่ครั้ง

สาเหตุเป็นเพราะขุมอำนาจใดก็ตามที่ครอบครองระเบียบระดับสวรรค์ ล้วนปรารถนาอยากพาตระกูลไปตั้งรกรากอยู่ในสามสิบหกแดนมงคล

แก่งแย่งแดนมงคล ย่อมต้องเกิดการต่อสู้ดุเดือด

ผู้แพ้ต้องถอยไปอย่างเงียบๆ

ผู้ชนะจะกลายเป็นเจ้าของใหม่ของแดนมงคลแห่งนั้นๆ

กล่าวได้ว่าในเขตแดนใจกลางนี้ เผ่าจักรพรรดิอมตะที่สามารถยึดครองสามสิบหกแดนมงคลได้ ก็เป็นตัวแทนยักษ์ใหญ่ชั้นนำสูงสุดสามสิบหกตระกูล

สี่เขตแดนดาราใหญ่กระจายอยู่เหนือเขตแดนใจกลาง

แบ่งออกเป็นเทียนเสวียน เทียนอิง จื่อเวย และชิงกวง

ในสี่เขตแดนดาราใหญ่จะมี ‘สิบสองถ้ำสวรรค์’ กระจายตัวอยู่

เขตแดนดาราแต่ละแห่งล้วนมีโลกถ้ำสวรรค์สามแห่ง

ในน่านฟ้าที่เจ็ด สิบสองถ้ำสวรรค์ถูกมองเป็น ‘สถานที่แห่งต้นกำเนิดอมตะ รากแห่งหมื่นมรรคดั้งเดิม’ เรียกได้ว่าเป็นแดนพิสุทธิ์ฝึกปราณระดับสุดยอดของน่านฟ้าที่เจ็ด

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สิบสองถ้ำสวรรค์ก็ถูกขุมอำนาจอมตะที่รากฐานเก่าแก่ที่สุดครอบครอง

ขุมอำนาจอมตะเหล่านี้ แต่ละตระกูลล้วนครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้า และไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว!

อย่างเช่นตระกูลหนาน ตระกูลกู้ ตระกูลลี่แห่งสี่ตระกูลตงหวง ก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ในโลกสามโลกถ้ำสวรรค์ใหญ่ใน ‘แดนดาราชิงกวง’ เช่นกัน

ส่วนตระกูลอวิ๋นแห่งสี่ตระกูลตงหวงนั้นตั้งถิ่นฐานอยู่ที่โลกถ้ำสวรรค์ในแดนดาราจื่อเวย

จำนวนระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่สี่ตระกูลนี้ครอบครอง อย่างน้อยมีสามถึงห้าชนิด อย่างมากยิ่งมีราวๆ เจ็ดแปดชนิด รากฐานน่าตกใจยิ่งยวด

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ขุมอำนาจอมตะที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในสิบสองถ้ำสวรรค์ของสี่เขตแดนดาราใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยครั้งมาก แตกต่างจากสามสิบหกแดนมงคลในเขตแดนใจกลาง

ดังคำกล่าวที่ว่าผู้แข็งแกร่งยิ่งแกร่งขึ้น ยิ่งรากฐานเก่าแก่ อำนาจก็ยิ่งน่าสะพรึง

ขุมอำนาจอมตะที่ยึดครองสามสิบหกแดนมงคล เรียกได้ว่าเป็นเพียงระดับปลายยอดในเขตแดนใจกลาง

เช่นนั้นขุมอำนาจอมตะที่ครอบครองสิบสองถ้ำสวรรค์ ก็เรียกว่าเป็นนายเหนือหัวทั่วทั้งน่านฟ้าที่เจ็ด!

สรุปง่ายๆ สามสิบหกแดนมงคลของเขตแดนใจกลาง รวมกับสิบสองถ้ำสวรรค์ของสี่เขตแดนดาราใหญ่ ก็คือเผ่าจักรพรรดิอมตะที่มีอำนาจสูงสุดในน่านฟ้าที่เจ็ดทั้งหมด!

น่านฟ้าที่เจ็ดกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งยวด ต่างจากน่านฟ้าที่หกโดยสิ้นเชิง

ขุมอำนาจอมตะที่กระจายตัวอยู่ในฟ้าดินนี้ล้วนครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์เกือบทั้งหมด

นอกจากสิบสองถ้ำสวรรค์ สามสิบหกแดนมงคล ในสถานที่อื่นๆ ของน่านฟ้านี้ก็มีเผ่าจักรพรรดิอมตะน้อยใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่มากมายเช่นเดียวกัน

การที่สามารถจุขุมอำนาจอมตะได้มากมายเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าน่านฟ้าที่เจ็ดกว้างขวางเพียงใด!

ผู้ฝึกปราณน่านฟ้าที่เจ็ดล้วนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า…

อยู่ที่นี่ แม้จะเป็นระดับอมตะยังต้องวางตัวสงบเสงี่ยม!

เมืองแสงฝน

เมืองยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเขตแดนใจกลาง

ห่างจากเมืองแสงฝนไม่กี่หมื่นลี้ก็คือ ‘แดนมงคลไผ่เขียว’ หนึ่งในสามสิบหกแดนมงคล

ผู้ครอบครองแดนมงคลไผ่เขียวคือเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลจวง

หนึ่งเดือนหลังออกจากน่านฟ้าที่หก หลินสวินมาถึงเมืองแสงฝนภายใต้การนำทางของจวินหวนและปักหลักอยู่ที่นี่

สายฝนปรอยๆ ตกกระทบชายคา รวมตัวเป็นหยาดน้ำไหลร่วงลงพื้นเป็นหยดๆ ประหนึ่งไข่มุกแวววาวโปร่งแสง

หลินสวินนั่งอยู่ใต้ชายคา ทอดมองฟ้าที่หมอกฝนมืดครึ้ม สภาวะจิตผ่อนคลาย

เขาพอเข้าใจสถานการณ์บางส่วนเกี่ยวกับน่านฟ้าที่เจ็ดแล้ว รู้เรื่องสิบสองถ้ำสวรรค์ สามสิบหกแดนมงคล และรู้ว่าที่นี่เป็นน่านฟ้าที่เรียกได้ว่าวิจิตรงดงาม กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง

ในน่านฟ้านี้มีตำนานนับไม่ถ้วนเกิดขึ้น และมีทุกข์เศร้าเคล้ายินดีซึ่งไม่เป็นที่รู้จักอุบัติขึ้นทุกโมงยาม

สำหรับหลินสวิน ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่สาระสำคัญ อย่างมากที่สุดเขาก็เป็นเพียงผู้ผ่านทางคนหนึ่งเท่านั้น

จนกระทั่งยามสายัณห์ แสงเมฆบนฟากฟ้าดุจเพลิง งดงามหลากสีสัน ฝนยังคงตกตลอดเวลา เพียงแต่น้ำฝนพร่ามัวที่อาบชโลมกลางพยับเมฆและส่องแสงเป็นริ้วๆ กลับงดงามยิ่งยวด

นี่ก็คือที่มาของชื่อเมืองแสงฝน

เมืองนี้ฝนตกเพียงปีละสองครั้ง และตกครั้งละครึ่งปี…

ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินเป็นประกาย บานประตูที่ปิดสนิทไกลๆ ถูกผลักออก จวินหวนที่รูปร่างสูงระหง สวมชุดสีชมพูปักลายดอกกุหลาบเต็มชุด มือเรียวขาวเนียนนุ่มถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง งดงามดุจเซียนเลอโฉมเดินออกมาจากภาพวาดหมอกฝน

ผมงามดำสนิทของนางรวบมวย เผยให้เห็นใบหน้าเนียนประณีตที่เรียกได้ว่างามสมบูรณ์แบบ ยามที่ดวงตางามกะพริบไหว มีมาดสง่าเปี่ยมล้น

แต่งกายเป็นชายแล้วอย่างไร

ความงามยังคงทำให้คนล้มระทวยได้ดังเดิม

เพียงแต่เวลานี้นางคล้ายหัวเสียหน่อยๆ ทันทีที่เดินเข้ามาก็สะบัดมือทิ้งร่ม ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำเม้มเป็นเส้นโค้งคมกริบดุจมีด ดวงตากระจ่างเผยแววโกรธกรุ่น

หลินสวินรีบหยัดตัวลุกขึ้นมาต้อนรับ “ศิษย์พี่ เป็นเจ้าคนถ่อยที่ไหนมาแหย่ท่านหรือ”

จวินหวนเดินมาหยุดตรงหน้าชายคา แล้วแย่งเก้าอี้โยกที่หลินสวินนั่งก่อนหน้าไปนั่งเองตรงๆ เอนตัวลงตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ทอดถอนใจยาวก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าเฒ่าตระกูลจวงคนนั้นดันปลิ้นปล้อน!”

หลินสวินกล่าวอึ้งๆ “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ตั้งแต่หลังเข้าสู่น่านฟ้าที่เจ็ด จวินหวนก็พาเขามายังเมืองแสงฝนแห่งนี้ทันที

ไม่ทันไรจวินหวนก็ออกไปลำพัง มุ่งหน้าไปยังแดนมงคลไผ่เขียวที่อยู่ห่างจากเมืองแสงฝนไม่ไกล ที่นั่นเป็นที่ตั้งของเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลจวง

ทว่าแม้แต่หลินสวินก็ยังไม่รู้ว่าจวินหวนจะไปทำอะไร

แต่ตอนนี้ดูแล้ว จวินหวนถูกรังแกในตระกูลจวงอย่างเห็นได้ชัด

จวินหวนคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “บรรพชนคนหนึ่งในตระกูลจวงที่ชื่อจวงซื่อหลิว ถูกหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดคัดเลือกและพาไปฝึกปราณที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดตั้งแต่ยังเด็ก จนบัดนี้จวงซื่อหลิวผู้นี้กลายเป็นผู้ดูแลหอแรกพิสุทธิ์ หนึ่งในสามหอลัทธิแรกกำเนิดแล้ว”

“เรื่องนี้ศิษย์พี่สามเป็นคนบอกข้าเอง และบอกข้าว่าสามารถพาศิษย์น้องมุ่งหน้ามาเยี่ยมเยียนตระกูลจวงก่อนจะเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้ จะได้ผูกไมตรีกับจวงซื่อหลิวผ่านตระกูลจวง หากได้รับความช่วยเหลือจากจวงซื่อหลิว ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่หอแรกพิสุทธิ์ในอนาคตของศิษย์น้อง”

กล่าวถึงตรงนี้หว่างคิ้วจวินหวนก็ปรากฏแววเย็นเยียบขึ้นเสี้ยวหนึ่ง “ใครจะไปคิดว่าตระกูลจวงถึงกับเป็นพวกตลบตะแลง ไม่สำนึกบุญคุณ!”

หลินสวินเลิกคิ้ว “ศิษย์พี่ เหตุใดกล่าวเช่นนี้”

จวินหวนกล่าว “ศิษย์น้องไม่รู้อะไร บรรพชนตระกูลจวงคนนี้มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเหมือนพวกเรา เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่มาถึงโลกยอดนิรันดร์กลุ่มแรกในยุคดึกดำบรรพ์”

“ปีนั้นยามอาจารย์กำลังมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่เก้า เคยช่วยบรรพชนตระกูลจวงแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดคนนี้ครั้งใหญ่ ถึงขั้นที่หากอาจารย์ไม่ลงมือ ตอนนั้นตระกูลจวงของเขาย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะครอบครองแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้ด้วยซ้ำ!”

จากที่จวินหวนว่ามา

บรรพชนตระกูลจวงก็เป็นบุคคลยักษ์ใหญ่ยอดอัจฉริยะผู้เกรียงไกรในฟ้าดินคนหนึ่ง ผ่านการเดินทางมาหลายปีและได้พลังระเบียบระดับสวรรค์มาครอบครองในที่สุด ปักหลักอย่างมั่นคงในน่านฟ้าที่เจ็ดได้ในคราวเดียว

เพียงแต่บรรพชนตระกูลจวงไม่ได้เต็มใจจะหยุดเพียงเท่านี้

หลังจากวางแผนมาหลายปี เขาก็ตั้งเป้าหมายตาแดนมงคลไผ่เขียว และเริ่มการต่อสู้แย่งชิงที่กินเวลานานถึงสิบปีขึ้น

จนท้ายที่สุดขุมอำนาจใต้อาณัติบรรพชนตระกูลจวงได้รับความเสียหายร้ายแรง ตัวเขาเองยิ่งถูกไล่ล่าสังหารจนหนีหัวซุกหัวซุน ไม่มีที่ให้อยู่

ภายหลังยามเจ้าแห่งคีรีดวงกมลมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่เก้า ระหว่างทางผ่านน่านฟ้าที่เจ็ดและได้พบกับบรรพชนตระกูลจวงที่ถูกไล่ล่าสังหารจนตกที่นั่งลำบาก จึงยื่นมือช่วยเหลือ

สุดท้ายก็อาศัยความช่วยเหลือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ช่วงชิงแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้มาให้บรรพชนตระกูลจวง!

และนี่คือสาเหตุว่าทำไมจวินหวนจึงบอกว่าหากไม่มีอาจารย์ช่วยเหลือ ตระกูลจวงย่อมไม่มีคุณสมบัติครอบครองแดนมงคลไผ่เขียวสักนิด

เพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลช่วยเหลือ บรรพชนตระกูลจวงสาบานว่าภายหน้าหากผู้สืบทอดคีรีดวงกมลมาขอความช่วยเหลือ ตระกูลจวงจะตอบแทนอย่างสุดความสามารถ

คำสาบานนี้ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลจวง

แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ยามจวินหวนไปเยือนตระกูลจวงในฐานะผู้สืบทอดคีรีดวงกมล เอ่ยปากว่าอยากให้จวงซื่อหลิวช่วยเหลือหลินสวินสักเล็กน้อย กลับได้รับคำปฏิเสธจากอีกฝ่าย!

หากเพียงแค่ปฏิเสธก็ช่างเถิด

ถึงอย่างไรเวลาผ่านไปเนิ่นนาน สรรพสิ่งคงเดิมคนแปรเปลี่ยน บุญคุณของคนรุ่นก่อน ตอนนี้ใช่ว่าจะใช้ได้ผลเสมอไป

แต่จวินหวนกลับนึกไม่ถึงว่ายามที่ปฏิเสธตน คำพูดคำจาของอีกฝ่ายยังเผยแววเสียดสีแดกดันที่แทบจะไม่ปกปิด วางตัวสูงศักดิ์ เต็มไปด้วยความดูถูก

นี่จึงจะเป็นสาเหตุที่จวินหวนโมโห

หลังเข้าใจเรื่องนี้แล้ว นัยน์ตาหลินสวินก็ทอประกายเย็นเยียบขึ้นมา “ตระกูลจวงนี่เกินไปจริงๆ ไม่สำนึกบุญคุณก็ช่างเถิด ยังกล้าพูดจาเสียดสีอีก เขาเห็นพวกเราคีรีดวงกมลเป็นตัวอะไร”

เสียงจวินหวนต่ำลึก ใบหน้างามเจือแววเดือดดาลอย่างไม่อาจยับยั้ง “ผู้อื่นบอกว่าพวกเราก็คือผีเร่ร่อนที่จะถูกกำจัดทิ้งเมื่อไรก็ได้ สิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดนั่นไม่มีทางปล่อยพวกเราเด็ดขาด ให้พวกเราจากไปโดยเร็ว แทบอยากขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับพวกเราใจจะขาด”

พูดถึงตอนท้ายนางก็กล่าวถอนใจเบาๆ “ต้องโทษที่ข้าคิดไม่รอบคอบ ยังคิดว่าตระกูลจวงจะเห็นแก่บุญคุณของอาจารย์ แต่ตอนนี้ดูท่าว่าผู้อื่นมองพวกเราคีรีดวงกมลเป็นตัวหายนะนานแล้ว กลัวแต่จะหลีกเลี่ยงไม่ทัน”

นัยน์ตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา “ศิษย์พี่ เรื่องนี้จะปล่อยผ่านเช่นนี้ไม่ได้ ไม่สำนึกบุญคุณก็ช่างเถิด ในเมื่อแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้อาจารย์เป็นคนลงมือให้ได้มาครอง เช่นนั้นศิษย์อย่างพวกเราก็มีหน้าที่ทวงคืนแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้!”

จวินหวนอึ้งไป อดยิ้มขึ้นไม่ได้ “ศิษย์น้องใจตรงกับข้า คิดเหมือนกันไม่มีผิด เจ้าพูดถูก การต่อกรกับพวกสุนัขใจชั่วไม่สำนึกบุญคุณพวกนั้น ก็ต้องให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนที่สาสม!”

หลินสวินรีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เคลื่อนไหวเมื่อไรหรือ”

จวินหวนมีมรรควิถีระดับอมตะขั้นดับเทพ และระเบียบนิพพานที่เขามีก็สามารถต้านทานพลังระเบียบของตระกูลจวงได้

ถึงตอนนั้นต่อให้ไม่อาจคว่ำตระกูลจวง ก็สามารถทำให้พวกเขาเจ็บหนักได้!

จวินหวนมองหลินสวินที่ประหนึ่งลับมีดรอเชือดแล้วอดอึ้งไปไม่ได้ ดวงตางามทอประกายวาบวามแปลกประหลาด

“ศิษย์พี่ ท่านมองข้าทำไมหรือ” หลินสวินกล่าว

จวินหวนหยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก เงยหน้าผากกลมมนขึ้นแช่มช้า นัยน์ตาจับจ้องหลินสวิน ก่อนเผยรอยยิ้มสดใสที่สามารถทำให้ทุกคนล้มระทวยเอ่ยว่า

“ยังคงเป็นเจ้าหนูอย่างเจ้าที่ห่วงใยศิษย์พี่มากที่สุด!”

ว่าพลางนางยื่นมือเรียวเล็กเนียนขาวดุจต้นหอมออกมาบิดแก้มหลินสวินเบาๆ ใบหน้างามผิดธรรมดาเต็มไปด้วยแววเอ็นดู “แต่ครั้งนี้ข้าตัดสินใจว่าจะทนๆ ไปก่อน”

เป็นครั้งแรกที่หลินสวินถูกผู้หญิงบิดแก้มอย่างมันเขี้ยวเช่นนี้ ในใจขัดเขินน้อยๆ แต่เมื่อได้ยินการตัดสินใจของจวินหวนเขาก็ขมวดคิ้วทันที “ไยต้องอดทน ศิษย์พี่กังวลว่าจะสู้พวกเขาไม่ได้หรือ”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท