ตอนที่ 2678 ไม่สำนึกบุญคุณ
น่านฟ้าที่เจ็ด
แบ่งออกเป็นเขตแดนใจกลางและสี่เขตแดนดาราใหญ่
นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ในเขตแดนใจกลางแบ่งออกเป็นแดนมงคลสามสิบหกแห่ง
แดนมงคลแต่ละแห่งล้วนเป็น ‘แหล่งรวมความงามวิจิตรทั่วหล้า บ่มเพาะบ่อเกิดต้นกำเนิด’ เรียกได้ว่าเป็นปราณมรรคสามสิบหกสายนับแต่หมื่นกาลสืบมา!
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด สามสิบหกแดนมงคลดำรงอยู่ในโลกเรื่อยมา ขุมอำนาจอมตะที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในสามสิบหกแดนมงคลกลับเปลี่ยนไปไม่รู้กี่ครั้ง
สาเหตุเป็นเพราะขุมอำนาจใดก็ตามที่ครอบครองระเบียบระดับสวรรค์ ล้วนปรารถนาอยากพาตระกูลไปตั้งรกรากอยู่ในสามสิบหกแดนมงคล
แก่งแย่งแดนมงคล ย่อมต้องเกิดการต่อสู้ดุเดือด
ผู้แพ้ต้องถอยไปอย่างเงียบๆ
ผู้ชนะจะกลายเป็นเจ้าของใหม่ของแดนมงคลแห่งนั้นๆ
กล่าวได้ว่าในเขตแดนใจกลางนี้ เผ่าจักรพรรดิอมตะที่สามารถยึดครองสามสิบหกแดนมงคลได้ ก็เป็นตัวแทนยักษ์ใหญ่ชั้นนำสูงสุดสามสิบหกตระกูล
สี่เขตแดนดาราใหญ่กระจายอยู่เหนือเขตแดนใจกลาง
แบ่งออกเป็นเทียนเสวียน เทียนอิง จื่อเวย และชิงกวง
ในสี่เขตแดนดาราใหญ่จะมี ‘สิบสองถ้ำสวรรค์’ กระจายตัวอยู่
เขตแดนดาราแต่ละแห่งล้วนมีโลกถ้ำสวรรค์สามแห่ง
ในน่านฟ้าที่เจ็ด สิบสองถ้ำสวรรค์ถูกมองเป็น ‘สถานที่แห่งต้นกำเนิดอมตะ รากแห่งหมื่นมรรคดั้งเดิม’ เรียกได้ว่าเป็นแดนพิสุทธิ์ฝึกปราณระดับสุดยอดของน่านฟ้าที่เจ็ด
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สิบสองถ้ำสวรรค์ก็ถูกขุมอำนาจอมตะที่รากฐานเก่าแก่ที่สุดครอบครอง
ขุมอำนาจอมตะเหล่านี้ แต่ละตระกูลล้วนครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้า และไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว!
อย่างเช่นตระกูลหนาน ตระกูลกู้ ตระกูลลี่แห่งสี่ตระกูลตงหวง ก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ในโลกสามโลกถ้ำสวรรค์ใหญ่ใน ‘แดนดาราชิงกวง’ เช่นกัน
ส่วนตระกูลอวิ๋นแห่งสี่ตระกูลตงหวงนั้นตั้งถิ่นฐานอยู่ที่โลกถ้ำสวรรค์ในแดนดาราจื่อเวย
จำนวนระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่สี่ตระกูลนี้ครอบครอง อย่างน้อยมีสามถึงห้าชนิด อย่างมากยิ่งมีราวๆ เจ็ดแปดชนิด รากฐานน่าตกใจยิ่งยวด
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ขุมอำนาจอมตะที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในสิบสองถ้ำสวรรค์ของสี่เขตแดนดาราใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยครั้งมาก แตกต่างจากสามสิบหกแดนมงคลในเขตแดนใจกลาง
ดังคำกล่าวที่ว่าผู้แข็งแกร่งยิ่งแกร่งขึ้น ยิ่งรากฐานเก่าแก่ อำนาจก็ยิ่งน่าสะพรึง
ขุมอำนาจอมตะที่ยึดครองสามสิบหกแดนมงคล เรียกได้ว่าเป็นเพียงระดับปลายยอดในเขตแดนใจกลาง
เช่นนั้นขุมอำนาจอมตะที่ครอบครองสิบสองถ้ำสวรรค์ ก็เรียกว่าเป็นนายเหนือหัวทั่วทั้งน่านฟ้าที่เจ็ด!
สรุปง่ายๆ สามสิบหกแดนมงคลของเขตแดนใจกลาง รวมกับสิบสองถ้ำสวรรค์ของสี่เขตแดนดาราใหญ่ ก็คือเผ่าจักรพรรดิอมตะที่มีอำนาจสูงสุดในน่านฟ้าที่เจ็ดทั้งหมด!
…
น่านฟ้าที่เจ็ดกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งยวด ต่างจากน่านฟ้าที่หกโดยสิ้นเชิง
ขุมอำนาจอมตะที่กระจายตัวอยู่ในฟ้าดินนี้ล้วนครอบครองพลังระเบียบระดับสวรรค์เกือบทั้งหมด
นอกจากสิบสองถ้ำสวรรค์ สามสิบหกแดนมงคล ในสถานที่อื่นๆ ของน่านฟ้านี้ก็มีเผ่าจักรพรรดิอมตะน้อยใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่มากมายเช่นเดียวกัน
การที่สามารถจุขุมอำนาจอมตะได้มากมายเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าน่านฟ้าที่เจ็ดกว้างขวางเพียงใด!
ผู้ฝึกปราณน่านฟ้าที่เจ็ดล้วนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า…
อยู่ที่นี่ แม้จะเป็นระดับอมตะยังต้องวางตัวสงบเสงี่ยม!
…
เมืองแสงฝน
เมืองยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเขตแดนใจกลาง
ห่างจากเมืองแสงฝนไม่กี่หมื่นลี้ก็คือ ‘แดนมงคลไผ่เขียว’ หนึ่งในสามสิบหกแดนมงคล
ผู้ครอบครองแดนมงคลไผ่เขียวคือเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลจวง
หนึ่งเดือนหลังออกจากน่านฟ้าที่หก หลินสวินมาถึงเมืองแสงฝนภายใต้การนำทางของจวินหวนและปักหลักอยู่ที่นี่
สายฝนปรอยๆ ตกกระทบชายคา รวมตัวเป็นหยาดน้ำไหลร่วงลงพื้นเป็นหยดๆ ประหนึ่งไข่มุกแวววาวโปร่งแสง
หลินสวินนั่งอยู่ใต้ชายคา ทอดมองฟ้าที่หมอกฝนมืดครึ้ม สภาวะจิตผ่อนคลาย
เขาพอเข้าใจสถานการณ์บางส่วนเกี่ยวกับน่านฟ้าที่เจ็ดแล้ว รู้เรื่องสิบสองถ้ำสวรรค์ สามสิบหกแดนมงคล และรู้ว่าที่นี่เป็นน่านฟ้าที่เรียกได้ว่าวิจิตรงดงาม กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
ในน่านฟ้านี้มีตำนานนับไม่ถ้วนเกิดขึ้น และมีทุกข์เศร้าเคล้ายินดีซึ่งไม่เป็นที่รู้จักอุบัติขึ้นทุกโมงยาม
สำหรับหลินสวิน ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่สาระสำคัญ อย่างมากที่สุดเขาก็เป็นเพียงผู้ผ่านทางคนหนึ่งเท่านั้น
จนกระทั่งยามสายัณห์ แสงเมฆบนฟากฟ้าดุจเพลิง งดงามหลากสีสัน ฝนยังคงตกตลอดเวลา เพียงแต่น้ำฝนพร่ามัวที่อาบชโลมกลางพยับเมฆและส่องแสงเป็นริ้วๆ กลับงดงามยิ่งยวด
นี่ก็คือที่มาของชื่อเมืองแสงฝน
เมืองนี้ฝนตกเพียงปีละสองครั้ง และตกครั้งละครึ่งปี…
ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินเป็นประกาย บานประตูที่ปิดสนิทไกลๆ ถูกผลักออก จวินหวนที่รูปร่างสูงระหง สวมชุดสีชมพูปักลายดอกกุหลาบเต็มชุด มือเรียวขาวเนียนนุ่มถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง งดงามดุจเซียนเลอโฉมเดินออกมาจากภาพวาดหมอกฝน
ผมงามดำสนิทของนางรวบมวย เผยให้เห็นใบหน้าเนียนประณีตที่เรียกได้ว่างามสมบูรณ์แบบ ยามที่ดวงตางามกะพริบไหว มีมาดสง่าเปี่ยมล้น
แต่งกายเป็นชายแล้วอย่างไร
ความงามยังคงทำให้คนล้มระทวยได้ดังเดิม
เพียงแต่เวลานี้นางคล้ายหัวเสียหน่อยๆ ทันทีที่เดินเข้ามาก็สะบัดมือทิ้งร่ม ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำเม้มเป็นเส้นโค้งคมกริบดุจมีด ดวงตากระจ่างเผยแววโกรธกรุ่น
หลินสวินรีบหยัดตัวลุกขึ้นมาต้อนรับ “ศิษย์พี่ เป็นเจ้าคนถ่อยที่ไหนมาแหย่ท่านหรือ”
จวินหวนเดินมาหยุดตรงหน้าชายคา แล้วแย่งเก้าอี้โยกที่หลินสวินนั่งก่อนหน้าไปนั่งเองตรงๆ เอนตัวลงตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ทอดถอนใจยาวก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าเฒ่าตระกูลจวงคนนั้นดันปลิ้นปล้อน!”
หลินสวินกล่าวอึ้งๆ “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ตั้งแต่หลังเข้าสู่น่านฟ้าที่เจ็ด จวินหวนก็พาเขามายังเมืองแสงฝนแห่งนี้ทันที
ไม่ทันไรจวินหวนก็ออกไปลำพัง มุ่งหน้าไปยังแดนมงคลไผ่เขียวที่อยู่ห่างจากเมืองแสงฝนไม่ไกล ที่นั่นเป็นที่ตั้งของเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลจวง
ทว่าแม้แต่หลินสวินก็ยังไม่รู้ว่าจวินหวนจะไปทำอะไร
แต่ตอนนี้ดูแล้ว จวินหวนถูกรังแกในตระกูลจวงอย่างเห็นได้ชัด
จวินหวนคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “บรรพชนคนหนึ่งในตระกูลจวงที่ชื่อจวงซื่อหลิว ถูกหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดคัดเลือกและพาไปฝึกปราณที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดตั้งแต่ยังเด็ก จนบัดนี้จวงซื่อหลิวผู้นี้กลายเป็นผู้ดูแลหอแรกพิสุทธิ์ หนึ่งในสามหอลัทธิแรกกำเนิดแล้ว”
“เรื่องนี้ศิษย์พี่สามเป็นคนบอกข้าเอง และบอกข้าว่าสามารถพาศิษย์น้องมุ่งหน้ามาเยี่ยมเยียนตระกูลจวงก่อนจะเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้ จะได้ผูกไมตรีกับจวงซื่อหลิวผ่านตระกูลจวง หากได้รับความช่วยเหลือจากจวงซื่อหลิว ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่หอแรกพิสุทธิ์ในอนาคตของศิษย์น้อง”
กล่าวถึงตรงนี้หว่างคิ้วจวินหวนก็ปรากฏแววเย็นเยียบขึ้นเสี้ยวหนึ่ง “ใครจะไปคิดว่าตระกูลจวงถึงกับเป็นพวกตลบตะแลง ไม่สำนึกบุญคุณ!”
หลินสวินเลิกคิ้ว “ศิษย์พี่ เหตุใดกล่าวเช่นนี้”
จวินหวนกล่าว “ศิษย์น้องไม่รู้อะไร บรรพชนตระกูลจวงคนนี้มาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราเหมือนพวกเรา เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่มาถึงโลกยอดนิรันดร์กลุ่มแรกในยุคดึกดำบรรพ์”
“ปีนั้นยามอาจารย์กำลังมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่เก้า เคยช่วยบรรพชนตระกูลจวงแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดคนนี้ครั้งใหญ่ ถึงขั้นที่หากอาจารย์ไม่ลงมือ ตอนนั้นตระกูลจวงของเขาย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะครอบครองแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้ด้วยซ้ำ!”
จากที่จวินหวนว่ามา
บรรพชนตระกูลจวงก็เป็นบุคคลยักษ์ใหญ่ยอดอัจฉริยะผู้เกรียงไกรในฟ้าดินคนหนึ่ง ผ่านการเดินทางมาหลายปีและได้พลังระเบียบระดับสวรรค์มาครอบครองในที่สุด ปักหลักอย่างมั่นคงในน่านฟ้าที่เจ็ดได้ในคราวเดียว
เพียงแต่บรรพชนตระกูลจวงไม่ได้เต็มใจจะหยุดเพียงเท่านี้
หลังจากวางแผนมาหลายปี เขาก็ตั้งเป้าหมายตาแดนมงคลไผ่เขียว และเริ่มการต่อสู้แย่งชิงที่กินเวลานานถึงสิบปีขึ้น
จนท้ายที่สุดขุมอำนาจใต้อาณัติบรรพชนตระกูลจวงได้รับความเสียหายร้ายแรง ตัวเขาเองยิ่งถูกไล่ล่าสังหารจนหนีหัวซุกหัวซุน ไม่มีที่ให้อยู่
ภายหลังยามเจ้าแห่งคีรีดวงกมลมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่เก้า ระหว่างทางผ่านน่านฟ้าที่เจ็ดและได้พบกับบรรพชนตระกูลจวงที่ถูกไล่ล่าสังหารจนตกที่นั่งลำบาก จึงยื่นมือช่วยเหลือ
สุดท้ายก็อาศัยความช่วยเหลือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ช่วงชิงแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้มาให้บรรพชนตระกูลจวง!
และนี่คือสาเหตุว่าทำไมจวินหวนจึงบอกว่าหากไม่มีอาจารย์ช่วยเหลือ ตระกูลจวงย่อมไม่มีคุณสมบัติครอบครองแดนมงคลไผ่เขียวสักนิด
เพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลช่วยเหลือ บรรพชนตระกูลจวงสาบานว่าภายหน้าหากผู้สืบทอดคีรีดวงกมลมาขอความช่วยเหลือ ตระกูลจวงจะตอบแทนอย่างสุดความสามารถ
คำสาบานนี้ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลจวง
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ยามจวินหวนไปเยือนตระกูลจวงในฐานะผู้สืบทอดคีรีดวงกมล เอ่ยปากว่าอยากให้จวงซื่อหลิวช่วยเหลือหลินสวินสักเล็กน้อย กลับได้รับคำปฏิเสธจากอีกฝ่าย!
หากเพียงแค่ปฏิเสธก็ช่างเถิด
ถึงอย่างไรเวลาผ่านไปเนิ่นนาน สรรพสิ่งคงเดิมคนแปรเปลี่ยน บุญคุณของคนรุ่นก่อน ตอนนี้ใช่ว่าจะใช้ได้ผลเสมอไป
แต่จวินหวนกลับนึกไม่ถึงว่ายามที่ปฏิเสธตน คำพูดคำจาของอีกฝ่ายยังเผยแววเสียดสีแดกดันที่แทบจะไม่ปกปิด วางตัวสูงศักดิ์ เต็มไปด้วยความดูถูก
นี่จึงจะเป็นสาเหตุที่จวินหวนโมโห
หลังเข้าใจเรื่องนี้แล้ว นัยน์ตาหลินสวินก็ทอประกายเย็นเยียบขึ้นมา “ตระกูลจวงนี่เกินไปจริงๆ ไม่สำนึกบุญคุณก็ช่างเถิด ยังกล้าพูดจาเสียดสีอีก เขาเห็นพวกเราคีรีดวงกมลเป็นตัวอะไร”
เสียงจวินหวนต่ำลึก ใบหน้างามเจือแววเดือดดาลอย่างไม่อาจยับยั้ง “ผู้อื่นบอกว่าพวกเราก็คือผีเร่ร่อนที่จะถูกกำจัดทิ้งเมื่อไรก็ได้ สิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดนั่นไม่มีทางปล่อยพวกเราเด็ดขาด ให้พวกเราจากไปโดยเร็ว แทบอยากขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับพวกเราใจจะขาด”
พูดถึงตอนท้ายนางก็กล่าวถอนใจเบาๆ “ต้องโทษที่ข้าคิดไม่รอบคอบ ยังคิดว่าตระกูลจวงจะเห็นแก่บุญคุณของอาจารย์ แต่ตอนนี้ดูท่าว่าผู้อื่นมองพวกเราคีรีดวงกมลเป็นตัวหายนะนานแล้ว กลัวแต่จะหลีกเลี่ยงไม่ทัน”
นัยน์ตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา “ศิษย์พี่ เรื่องนี้จะปล่อยผ่านเช่นนี้ไม่ได้ ไม่สำนึกบุญคุณก็ช่างเถิด ในเมื่อแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้อาจารย์เป็นคนลงมือให้ได้มาครอง เช่นนั้นศิษย์อย่างพวกเราก็มีหน้าที่ทวงคืนแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้!”
จวินหวนอึ้งไป อดยิ้มขึ้นไม่ได้ “ศิษย์น้องใจตรงกับข้า คิดเหมือนกันไม่มีผิด เจ้าพูดถูก การต่อกรกับพวกสุนัขใจชั่วไม่สำนึกบุญคุณพวกนั้น ก็ต้องให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนที่สาสม!”
หลินสวินรีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ เคลื่อนไหวเมื่อไรหรือ”
จวินหวนมีมรรควิถีระดับอมตะขั้นดับเทพ และระเบียบนิพพานที่เขามีก็สามารถต้านทานพลังระเบียบของตระกูลจวงได้
ถึงตอนนั้นต่อให้ไม่อาจคว่ำตระกูลจวง ก็สามารถทำให้พวกเขาเจ็บหนักได้!
จวินหวนมองหลินสวินที่ประหนึ่งลับมีดรอเชือดแล้วอดอึ้งไปไม่ได้ ดวงตางามทอประกายวาบวามแปลกประหลาด
“ศิษย์พี่ ท่านมองข้าทำไมหรือ” หลินสวินกล่าว
จวินหวนหยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก เงยหน้าผากกลมมนขึ้นแช่มช้า นัยน์ตาจับจ้องหลินสวิน ก่อนเผยรอยยิ้มสดใสที่สามารถทำให้ทุกคนล้มระทวยเอ่ยว่า
“ยังคงเป็นเจ้าหนูอย่างเจ้าที่ห่วงใยศิษย์พี่มากที่สุด!”
ว่าพลางนางยื่นมือเรียวเล็กเนียนขาวดุจต้นหอมออกมาบิดแก้มหลินสวินเบาๆ ใบหน้างามผิดธรรมดาเต็มไปด้วยแววเอ็นดู “แต่ครั้งนี้ข้าตัดสินใจว่าจะทนๆ ไปก่อน”
เป็นครั้งแรกที่หลินสวินถูกผู้หญิงบิดแก้มอย่างมันเขี้ยวเช่นนี้ ในใจขัดเขินน้อยๆ แต่เมื่อได้ยินการตัดสินใจของจวินหวนเขาก็ขมวดคิ้วทันที “ไยต้องอดทน ศิษย์พี่กังวลว่าจะสู้พวกเขาไม่ได้หรือ”
——