GGS:บทที่ 1069 เสริมการป้องกัน
ณ สำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินยังคงมีบรรยากาศอันคุกรุ่น สมาชิกของสำนักสองคนได้รีบเข้าไปตรวจสอบและปฐมพยาบาลจินเชาหวู่ในทันทีที่ได้สติ
สิ่งที่ทั้งสองเห็นทำให้ตกตะลึงจนทำอะไม่ถูก นั่นก็เพราะมือทั้งสองของจินเชาหวู่นั้นแหลกละเอียดยิบไม่มีชินดีจนทำให้มือของเจ้าสำนักของทำสองนุ่มนิ่มราวกับยางไปแล้ว
อย่าว่ามือของจินเชาหวู่เลย แม้แต่กำแพงที่ไม่ได้โดนต่อยตรงๆก็ยังพังเหลือชิ้นดีแบบนี้ นี่ซูจิ้งแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงสามารถพิฆาตเจ้าสำนักของเขาได้ในท่าเดียวแบบนี้กัน
ฮู่ฮงหยาง ฮู่เฟยหยุน จี้เสี่ยวติง ไคหวู่เฟิง หวู่หลง จินชิซู จั่วเหยียน คิมูระจิน และคนอื่นๆ ตอนนี้ล้วนแล้วยังไม่ได้สติ พวกเขานั้นยากที่จะยอมรับสิ่งที่พึ่งจะเกิดตรงหน้าไปได้
พวกเขานั้นแม้จะรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งมากมายขนาดนี้
เหล่าผู้ชมในสนามที่ได้แต่จับจ้องไปที่ซูจิ้งที่ตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีปิติยินดีหรือเหนื่อยหน่ายแต่อย่างใด เขายังสงบนิ่งราวกับสัตว์ประหลาดที่ไม่ตื่นนอนดี แต่กับบางคนเขาเปรียบได้ดั่งพระเจ้าที่แค่ชี้นิ้วมนุษย์ก็ดับดิ้น แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ไม่มีใครเห็นซูจิ้งเป็นมนุษย์กันเลยสักคน
ซูจิ้งได้มองไปรอบๆจนทั่วแล้วก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงอันก้องกังวาลว่า “ก็อย่างที่เห็น วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อประลอง ใครก็ตามที่เห็นว่าผลการประลองนี้ไม่ถูกต้องหรือเหมาะสมจงก้าวขึ้นมา ฉันยินดีที่จับรับคำท้า หรือว่าศิษย์สำนักฯราชวงศ์จินเจ้าเข้ามาพร้อมกันทั้งสำนักเลยก็ย่อมได้”
ยังไรก็ตาม แม้ซูจิ้งจะพูดจบจนนิ่งรออยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครอวดดีหรือกล้าที่จะแข็งขืนไม่ยอมรับผลการประลองนี้แต่อย่างใด
เหล่าผู้คนที่มีปัญหากับซูจิ้งก่อนหน้านี้อย่างจินชิซู คิมูระจิน จั่วเยียน แม้แต่สมาชิกคนอื่นๆเอง ต่างก็ต้องก้าวถอยหลังในทันทีที่สบตากับซูจิ้ง พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้ได้กัน
ต่อให้ศิษย์ทั้งสำนักเข้าไปพร้อมกันก็ไม่มีทางชนะได้เลย เพราะสุดยอดสัตว์ประหลาดของสำนักฯยังถูกจัดการได้เพียงเสี้ยววิ
ใครที่เห็นฉากนี้กับตาตัวเองก็ต้องรู้ดีว่าอยู่แล้วว่าซูจิ้งสามารถจัดการพวกเขาได้ไม่ต่างไปจากการเด็ดหัวผักกาด
เมื่อไม่เห็นมาใครจะกล้าเข้ามา ซูจิ้งจึงได้พูดต่อว่า
“ในเมื่อไม่มีใครคิดจะเข้ามาแบบนี้งั้นฉันขอพูดต่อเลยแล้วกัน จินเชาหวู่คนนี้บอกว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดเพลงหมัดวัวคลั่งที่แท้จริง และเป็นฉันเป็นเพียงคนที่ไปแอบลักเรียนมา
ฉันบอกได้เลยว่าไอ้เวรตะไลนี่มันเลวชาติยิ่งกว่าที่ทุกคนคิด ไม่เพียงจินเชาหวู่คนนี้จะเข้าไปเป็นศิษย์ของสำนักศิลปะการต่อสู้สับปะยุทธ จนได้รับโอกาสได้เรียนรู้ท่วงท่าของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สามที่ฉันมอบให้ท่านเจ้าสำนักไว้
แต่เมื่อฝึกสำเร็จมันผู้นี้กลับอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริง อีกทั้งยังตัดขาดความเป็นศิษย์อาจารย์จากเจ้าสำนักฯสับปะยุทธ
ฉันบอกเลยนะว่า อย่าว่าแต่มันผู้นี้จะเป็นศิษย์หลานของฉันเลย ต่อให้เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ขนาดไหนก็ตาม การทำตัวเช่นนี้มีค่าต่ำกว่าขยะด้วยซ้ำ
สำหรับวิดีโอที่ว่า ฉันจะนำมันเปิดเผยออกมาในภายหลัง”
ความจริงซูจิ้งโพสต์วิดีโอที่ว่าออกมาก่อนการประลองก็ได้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากเขาทำเช่นนั้นก็คงไม่มีใครเชื่อแม้แต่น้อย ดีไม่ดีจะเห็นว่าเป็นของปลอมที่พึ่งจะทำออกมาด้วยซ้ำ
แต่ในตอนนี้ ไม่มีใครคิดแล้วว่าจินเชาหวู่คนนี้จะเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงอีกต่อไป ใครจริงใครปลอมนั้นก็ประจักษ์ต่อหน้าสายตาทุกคนไปแล้ว
จินเชาหวู่ในตอนนี้มองซูจิ้งด้วยสายตาที่แดงกล่ำและกัดฟันแน่น เขาพูดอะไรไม่ได้อีกต่อไป เขารู้ดีแล้วว่าต่อให้แก้ตัวในตอนนี้ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว การต่อสู้ที่เขารอคอยมาอย่างยาวนานกลับจบลงทั้งที่เขานั้นยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เขารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาอยู่ห่างซูจิ้งออกมาไกลแล้ว
ซูจิ้งได้พูดต่อว่า “ฉันเกรงว่าที่ชายคนนี้ที่สามารถแข็งแกร่งได้จนถึงขนาดนี้นั้น จะไม่เพียงเพราะความอัจฉริยะในการต่อสู้ของหมอนี่กับเพลงหมัดที่สุดแสนจะวิเศษอย่างเพลงหมัดวัวคลั่งเท่านั้น
ฉันเชื่อว่าที่ร่างกายของหมอนี่ทรงพลังได้ขนาดนี้น่าจะมาจากอย่างอื่นด้วย เป็นไปได้ว่า…แกกินข้าวสีน้ำเงินของฉันมาใช่รึเปล่า” หลังจากพูดจบ ซูจิ้งก็ได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปควบคุมจิตใจของจินเชาหวู่ในทันที
และในนาทีนั้น จินเชาหวู่ก็ได้โดนสะกดจิตทันทีและพูดความจริงออกมาอย่างว่าง่าย “ชะ…ใช่ ผมกินข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดา…ในเกือบทุกมื้อ… และได้กินข้าวสีน้ำเงินเกรดคัดพิเศษ….ในบางมื้อ…
ผลจากการกินข้าวนั่น… รวมเข้ากับความพิเศษ….ของเพลงหมัดวัวคลั่ง… ทำให้ร่างกาย….ของผม…พัฒนาขึ้น…ตั้งแต่เส้นขน…ยันกระดูกภายใน…..”
เมื่อสิ้นเสียงคำสารภาพ ทำให้เหล่าผู้ชมในสนามต่างก็นิ่งอึ้งไป ก่อนที่จะหันไปคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“ฉันได้ยินมาว่าข้าวสีน้ำเงินนี่มีผลดีต่อร่างกายก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะมีผลดีขนาดนี้”
“แต่ก็มีคนรวยอีกตั้งหลายคนที่ได้กินข้าวสีน้ำเงินอยู่นี่นา ไม่เห็นพวกนั้นจะดูทรงพลังแบบนี้บ้างเลย”
ฮู่ฮองหยาง ฮู่เฟยหยุน ไคหวู่เฟิง จี้เสี่ยวติง และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็เชื่อในทันทีว่าเป็นเพราะข้าวสีน้ำเงินจริงๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้งก็ได้พูดต่อว่า “เพลงหมัดวัวคลั่งนั้นเป็นเพลงหมัดที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย ส่วนข้าวสีน้ำเงินนั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างเต็มเปลี่ยมอีกทั้งมีผลดีต่อร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน
ด้วยการหลอมรวมความวิเศษของทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันจะทำให้เกิดแนวทางใหม่ จะให้บอกแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ใครก็ตามที่ได้ฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งไปด้วยและได้กินข้าวสีน้ำเงินไปด้วย จะทำให้มีระดับก้าวเข้าไปถึงขั้นของจินเชาหวู่”
เพียงสิ้นคำอธิบายในคำพูดของซูจิ้งในครั้งนี้ เหล่าผู้ชมการประลองทั้งข้างสนามประลองและในห้องสตรีมต่างก็ส่งเสียวเกรียวกราวกันออกมา
จิตใจของพวกเขาในตอนนี้ต่างก็อยู่กันไม่สุข พวกเขาอดไม่ได้ที่หัวใจจะเต้นแรงและหายใจอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกผู้ชาย
เพราะยังไงซะกับลูกผู้ชายแล้ว ในชีวิตนี้ก็คงต้องมีสักครั้งที่จะคิดฝันไปในเส้นทางการต่อสู้ แต่มันช่างห่างไกลจนหลายๆคนเลือกที่จะไม่เดินเส้นทางสายนี้
การปรากฎตัวของเพลงหมัดวัวคลั่งในตอนนั้นเองก็ทำให้หลายๆคนหันกลับมาสนใจศิลปะการต่อสู้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังยากเกินกว่าที่จะทำให้หลายๆคนกลับมาเห็นความฝันสมัยวัยเยาว์ของพวกเขาไปได้
ทุกคนที่คิดแบบนี้ต่างก็คิดว่าร่างกายของตัวเองนั้นไม่เหมาะสมและต้องฟิตซ้อมร่างกายให้มากพอถึงจะพอต่อสู้จริงๆได้ แต่ยังไงซะก็ไม่มีทางเป็นสุดยอดปรมาจารย์ได้อย่างแน่นอน เพราะในที่สุดแล้วใช่ว่าทุกคนจะเป็นอัจฉริยะแบบกำเนิดอย่างซูจิ้ง
แต่มาตอนนี้ ซูจิ้งกลับออกมาบอกกลับปากเองว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้มาแต่กำเนิดเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่ยังไม่ละทิ้งความฝัน ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และกินข้าวสีน้ำเงินอยู่เรื่อยๆ พวกเขาก็มีโอกาสไปถึงในระดับจินเชาหวู่ได้
ต่อให้ชายคนนี้จะพ่ายแพ้ต่อซูจิ้ง แต่เขาก็ยังแกร่งเกินกว่าใครหลายๆคนจนน่าอิจฉา ริษยา และเกลียดชัง
“นี่ก็หมายความว่าตราบใดที่ฉันยังคงฝึกฝนอยู่อย่างต่อเนื่อง ฉันก็ยังมีโอกาสกลายเป็นปรมาจารย์แบบจินเชาหวู่สินะ”
“อา…….นับจากพรุ่งนี้ไปฉันจะฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งให้หนักกว่าเดิมสองเท่าเลย”
“แต่ฉันไม่มีเงินไปซื้อข้าวสีน้ำเงินกินนี่สิ”
“อืมมมมมมมมม ฉันก็ไม่มีเงินไปซื้อกินเหมือนกัน มันแพงมากเลยนะ มีแต่พวกคนรวยเท่นั้นที่ซื้อกินกัน”
“……ทำไมฉันถึงคิดว่าซูจิ้งหาโอกาสโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองกันหว่า….”
“แล้วไง ฉันเองก็คิดไม่ต่างจากนายหรอกน่า แต่ต่อให้รู้ว่าเขาทำแบบนั้นแต่ฉันก็ยังอดจะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี นั่นก็เพราะหากฉันแกร่งได้เทียบเท่ากับจินเชาหวู่ล่ะก็ ต่อให้เสียเงินไปมากมายมันก็คุ้มค่า”
หลายๆคนในตอนนี้ต่างก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าซูจิ้งนั้นอาศัยเรื่องที่สำนักฯราชวงศ์จินก่อเรื่องนี้ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างเพลงหมัดวัวคลั่งและข้าวสีน้ำเงิน
ในที่พักแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสหวู่ที่กำลังดูการสตรีมของซูจิ้งอยู่ในห้อง อยู่ๆก็ได้พูดขึ้นมาว่า “เฒ่าโจว รีบไปซื้อข้าวสีน้ำเงินแบบเกรดธรรมดา500ชั่งกับเกรดคัดพิเศษอีก 30 ชั่งให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ เร็วๆเข้า”
ผู้อาวุโสหวู่นั้นรู้ซึ้งถึงความวิเศษของข้าวสีน้ำเงินนี้มานานแล้วว่ามีผลดีต่อร่างกาย แต่หลังจากเกิดเรื่องของจินเชาหวู่นี้เขาบอกได้เลยว่าทุกคนต่างก็รู้ซึ้งในเรื่องนี้ดีไปทั่วแล้ว
นั่นก็เพราะยิ่งคุณมีเงินมากแค่ไหน คนๆนั้นจะยิ่งรู้คุณค่าของสุขภาพของร่างกายตัวเองดีมากขึ้นเท่านั้น นั่นก็เพราะไม่ว่าคุณจะมีเงินมากมายขนดไหนแต่หากไม่มีร่างกายที่ดีพอจะอยู่สนุกกับการใช้เงินล่ะก็ มีไปก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการกินข้าวสีน้ำเงินนี้สามารถเรียกได้เลยว่ายกระดับร่างกายของมนุษย์ไปได้เลย และนี่จะทำให้คนทั้งประเทศไล่เรียงไปจนถึงทั้งโลกมีร่างกายที่ดีในอีกไม่กี่ปีอย่างแน่นอน
นอกซะจากว่าจะลาโลกไปก่อนล่ะนะ เขานั้นจะไม่ยอมให้ลูกหลานของเขาแซงหน้าไปอย่งแน่นอน
ขณะเดียวกัน ทั้งถังฮ่าว อันจือฮ่าว และคนรวยคนอื่นๆที่กินข้าวสีน้ำเงินอยู่ก่อนแล้วต่างก็รีบกักตุนกันในทีนทีที่ได้ยินข่าวนี้
ณ สำนักฯราชวงศ์จิน ซูจิ้งได้พูดประโยคสุดท้ายว่า “สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ฉันเองเป็นผู้คิดค้นเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ขึ้นมา หากมีใครไม่เห็นด้วยก็ก้าวขึ้นมา หรือจะขอท้าประลองกับฉันเมื่อไหร่ก็ได้
แล้วก็ หากไม่ได้รับการอนุญาตจากฉัน ห้ามผู้ใดเปิดสำนักในการเรียนรู้หรือฝึกสอนเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ หากมีใครคิดจะทำ ฉันก็พร้อมที่จะไปเหยียบให้แหลกลาญ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ซูจิ้งก็ได้กระทืบเท้าขวาของตัวเองจนบังเกิดเสียงดังลั่น พื้นของเวทีประลองได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆราวกับใยแมงมุม พร้อมกับร่างกายของซูจิ้งที่ทะยานขึ้นฟ้า และร่วงลงจอดอยู่ข้างสนามประลองอย่างนิ่มนวล เพียงฉากนี้ ก็ทำให้บรรยากาศในลานประลองกลับมานิ่งสนิทอีกครั้ง