Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2695 พบอวิ๋นมู่เจออีกครั้ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2695 พบอวิ๋นมู่เจออีกครั้ง

ตอนที่ 2695 พบอวิ๋นมู่เจออีกครั้ง

การผ่านด่านของโจวจือจือสร้างความฮือฮาขึ้นไม่น้อย

แต่หลังจากทุกคนนึกถึงหลินสวินที่มีโอกาสผ่านด่านสูงมากตั้งแต่วันแรกของการทดสอบ ความตื่นเต้นในใจก็ลดลงไปมาก

ในเวลาถัดมา มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิผ่านด่านติดต่อกัน ในนั้นไม่ขาดบุคคลสะท้านยุคที่สะดุดตาหาใดเปรียบจำนวนหนึ่ง

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ถูกคัดออกก็มีมากกว่า

เพราะทุกครั้งที่มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งผ่านด่าน นั่นหมายความว่าจะมีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนถูกคัดออก

ทั้งหมดนี้ทำให้บรรยากาศในที่นี้เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ

มีคนดีใจแทบบ้า และมีคนถอนใจเสียดาย หลายคนสุขสันต์ ขณะที่อีกหลายคนทุกข์ตรม

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่หมื่นปีในใจยังไม่อาจสงบได้

ไม่มีใครรู้ดียิ่งกว่าพวกเขาอีกแล้ว ว่าการเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเป็นวาสนาที่ไม่อาจร้องขอมากเพียงใด และเพราะล้ำค่ายิ่งยวด ดังนั้นจึงพิถีพิถันเช่นนั้น

วันที่สิบของการทดสอบรอบแรก

หลินสวินเจอกับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิกลุ่มหนึ่งอีกครั้ง

มีจำนวนสิบกว่าคน เรียกได้ว่าอานุภาพเกรียงไกร กำลังพลน่าตกใจ

ขณะนี้ระดับอมตะจากสี่ตระกูลตงหวงต่างเครียดเกร็งขึ้นมา นัยน์ตาจับจ้องแน่วนิ่ง สีหน้าเริ่มอึมครึมขึ้นมารางๆ

เพราะมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่บังเอิญพบกับหลินสวินกลุ่มนั้น ส่วนใหญ่มาจากสี่ตระกูลตงหวงของพวกเขา!

มีเพียงจำนวนประปรายเท่านั้นที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลอื่น

“ศึกนี้ต่อให้เขี่ยเจ้านี่ออกไปได้ แต่เกรงว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อยเช่นกัน”

บรรพจารย์คนหนึ่งจากตระกูลหนานสีหน้ามืดทะมึน

ใช่เพียงค่าตอบแทนเล็กน้อยที่ไหน ควรเป็นค่าตอบแทนแสนสาหัสต่างหากจึงจะถูก!

ในสิบวันนี้ทุกคนในที่นี้เห็นความสามารถของหลินสวินอยู่ในสายตา ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยพบเจออันตรายใดๆ

ตรงข้ามกลับเป็นคู่ต่อสู้ที่ถูกหลินสวินเจอเข้าเหล่านั้นที่ต้องทุกข์ทรมาน

คนที่ไร้แค้นไร้พยาบาทยังพอทำเนา แค่ถูกริบสมบัติในตัวไปหมดแล้วถูกหลินสวินปล่อยไป

แต่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้น แต่ละคนถูกหลินสวินกำราบอย่างไม่เกรงใจ แม้จะไม่ได้ทำให้คนผู้นั้นถูกคัดออกตรงๆ แต่ก็ตกเป็นเหยื่อ ถูกยัดเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้กำลังพลของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้นจะมีมาก ทว่าหากคิดจะให้หลินสวินถูกคัดออก แม้จะมีหวังแต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย!

“ควรสังหารเจ้าเดรัจฉานนี่ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้แล้ว!”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลกู้กล่าวอย่างเดือดดาล กู้หลิวไห่จากตระกูลพวกเขาถูกหลินสวินใช้วิธีน่าอัปยศกำราบเป็นคนแรก ทำให้ในใจพวกเขาอัดอั้นยิ่งยวด

“พูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าหวังเพียงว่าหากถึงคราวเปิดศึกจริงๆ คนในตระกูลเหล่านั้นจะตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ แล้วค่อยตัดสินใจว่าควรสู้หรือหนีไป”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลลี่ถอนใจยาว

แม้ว่าในใจพวกเขาอยากฆ่าหลินสวินให้ตายใจจะขาด แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าในการการทดสอบรอบแรกนี้ หลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจที่อันตรายสุดขีดคนหนึ่ง!

ในเวลาเดียวกันนั้น…

ภายในสมรภูมิหมื่นยอด กลางเทือกเขาเวิ้งว้างสูงต่ำแถบหนึ่ง

หลินสวินยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง มองดูมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสิบกว่าคนที่พุ่งพรวดออกมาจากไกลๆ กะทันหัน นัยน์ตาก็อดหรี่ลงน้อยๆ ไม่ได้

หลังจากจำฐานะของอีกฝ่ายได้ สีหน้าเขาอดเผยแววแปลกพิกลเล็กน้อยไม่ได้

ผู้แข็งแกร่งของสี่ตระกูลตงหวง!

ในจำนวนนั้นมีที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่คนหนึ่ง คนผู้นั้นสวมชุดคลุมหยกทั้งชุด มาดสง่ามีบารมี สูงโปร่งหล่อเหลา มีบุคลิกโดดเด่นสะท้านยุค เปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหล

เป็นอวิ๋นมู่เจอ!

เมื่อเห็นคนผู้นี้ ในใจหลินสวินก็ผุดไอสังหารขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

ปีนั้นตอนอยู่ที่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้า คนผู้นี้เคยมอบหมายให้เจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินกำจัดเขา น่าเสียดายที่ไป๋เจี้ยนเฉินไม่ได้ทำเช่นนี้ ตรงข้ามกลับเตือนหลินสวินด้วยใจเมตตาว่าให้ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง

หลินสวินไม่มีทางลืมเรื่องนี้เด็ดขาด

เมื่อก่อนหลินสวินยังข้องใจอยู่บ้าง ตนกับอีกฝ่ายไร้แค้นไร้พยาบาท เหตุใดอีกฝ่ายจึงทำเช่นนี้

ต่อมาเขาจึงเข้าใจ เพราะอวิ๋นมู่เจอเป็นคนตระกูลอวิ๋น

และตระกูลอวิ๋นก็คือหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวง

“หลินสวิน?”

ไกลออกไป เมื่อมองเห็นหลินสวินยืนเพียงลำพัง อวิ๋นมู่เจอก็อึ้งไป จากนั้นส่วนลึกของนัยน์ตาก็เผยแววเย็นเยียบที่ยากสังเกตเห็นขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง

ในใจเขาอยากกำจัดหลินสวินให้ได้ตั้งแต่ก่อนการทดสอบครั้งนี้จะเริ่มขึ้นแล้ว

หนึ่งเป็นเพราะเขามาจากตระกูลอวิ๋น

สองก็เพราะตู๋กูโยวหรัน

กล่าวได้ว่าหลังจากอวิ๋นมู่เจอที่มองหลินสวินเป็นศัตรูแต่เดิมอยู่แล้ว สังเกตเห็นว่าท่าทีที่ตู๋กูโยวหรันมีต่อหลินสวินแตกต่างออกไป ยิ่งทำให้ไอสังหารที่มีต่อหลินสวินในใจเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ

“ดันเป็นเจ้าเศษเดนนี่จริงๆ ถือว่าพวกเราโชคไม่เลว!”

และพร้อมกันนั้นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้นล้วนจำหลินสวินได้ แต่ละคนเผยแววดีใจราวกับเจอเหยื่อที่หมายปองมานาน

“นี่ก็เรียกว่าทุกสิ่งถูกสวรรค์ลิขิตไว้แล้ว เศษเดนคีรีดวงกมลนี่สมควรถูกพวกเราคัดออก!”

มีคนเอ่ยปากเนิบๆ

“พวกเจ้าดู เจ้าหมอนี่ถึงกับไม่หนี หรือว่าจะตกใจจนเซ่อไปแล้ว”

มีคนหัวเราะร่วน

“ไม่ เขารู้ตัวว่าไม่มีทางให้หนีเลยแสร้งทำเป็นสงบเท่านั้น”

มีคนวิเคราะห์อย่างใจเย็น ผยองพองขนนัก “ทุกท่าน เจ้าเศษเดนนี่อยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ต้องพูดพล่ามอีก รีบลงมือจัดการเขาให้จบๆ”

มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิรวมทั้งสิ้นสิบสี่คนเคลื่อนไหวพร้อมกัน นี่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจจนมองหลินสวินประหนึ่งคนใกล้ตาย

หลินสวินฟังเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยพูด

ในสิบวันนี้คู่ต่อสู้ที่เขาพบเจอทั้งหมดส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ ทำราวกับว่าตนที่เดินทางเพียงลำพังจะปล่อยให้พวกเขาฆ่าแกงได้ตามใจ

แต่ผลลัพธ์คือ…

เขายังอยู่ดี แต่คู่ต่อสู้เหล่านั้นไม่ถูกปล้นสมบัติในตัวจนเกลี้ยง ก็ถูกกำราบยัดเข้าเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งตรงๆ

และเวลานี้แม้ว่าจำนวนคู่ต่อสู้จะมีมากกว่าที่คิดไว้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้หลินสวินหวาดกลัวจนเผ่นหนี

“ทุกท่านช่วยเสริมให้ข้า ข้าอยากสู้กับเจ้านี่ตัวต่อตัว!”

กลับเห็นอวิ๋นมู่เจอเอ่ยพูดเรียบๆ เสียงสะเทือนภูผาธารา

บนตัวเขายิ่งมีอานุภาพสะท้านยุคที่ประหนึ่งข้าไร้ศัตรูแผ่คลุ้งออกมา

“เหลวไหล!”

โลกภายนอก ผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นล้วนสีหน้าเขียวคล้ำ ร้อนใจขึ้นมา แม้จะไม่ได้ยินเสียงพูดของอวิ๋นมู่เจอ แต่สามารถเดาจากรูปปากได้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่

นี่จะไม่ให้เขาร้อนใจได้อย่างไร

หลินสวินนั่นจะจัดการด้วยวิธีสู้ตัวต่อตัวได้อย่างไร

ทุกคนในที่นี้ล้วนสีหน้าแปลกไป เหตุการณ์ทำนองเดียวกันก็เคยเกิดขึ้นในช่วงสิบวันมานี้เช่นกัน แต่ไม่เคยมีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนไหนกล้าไปท้าสู้กับหลินสวินตัวต่อสู้เหมือนอย่างอวิ๋นมู่เจอ

ชั่วขณะเดียวสายตาคนไม่น้อยล้วนเปลี่ยนเป็นเวทนาขึ้นมา

อวิ๋นมู่เจอ หนึ่งในสิบยอดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดที่ถูกตระกูลอวิ๋นตั้งความหวังไว้สูง ครั้งนี้เกรงว่าต้องชะตาขาดแล้ว…

“ไม่ต้องร้อนใจไป หากมู่เจอปรากฏสภาพไม่ดี คนอื่นๆ ย่อมไม่มีทางกอดอกยืนอยู่เฉยๆ แน่” ผู้อาวุโสจากตระกูลหนาน ตระกูลลี่ และตระกูลกู้ต่างพูดปลอบใจ

และเวลานี้เมื่อได้ยินการท้าสู้ของอวิ๋นมู่เจอ หลินสวินก็ยกยิ้ม ยังคงไม่เอ่ยพูดตามเดิม แต่ในใจคิดอย่างไรย่อมไม่มีใครล่วงรู้

เมื่อเห็นรอยยิ้มของหลินสวิน มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้นล้วนประหลาดใจอย่างยิ่ง

“เหอะ เจ้าดูเจ้าหมอนี่ยิ้มสิ หรือเขาคิดว่าสามารถหนีรอดจากคราวเคราะห์ครั้งนี้เมื่อสู้ตัวต่อตัว”

มีคนหัวเราะลั่น เยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบังสักนิด

“พี่มู่เจอ ไม่สู้ยกเจ้านี่ให้ข้าชำแหละดีกว่า ข้ารับรองว่าเดี๋ยวจะทำให้เขาร้องไห้ออกมา!”

มีคนแววตาดุกร้าว

“ให้ข้าสู้ดีกว่า ข้าไม่อยากพลาดโอกาสเหมาะแบบนี้ ทุกท่านรออยู่เฉยๆ ให้ข้าสมหวังสักหน่อยได้หรือไม่”

มีคนพูดกลั้วหัวเราะ

พวกเขาถึงกับแย่งกันไปสู้ตัวต่อตัวกับหลินสวิน

เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนที่ชมการต่อสู้ในโลกภายนอกยิ่งสีหน้าแปลกไปกว่าเดิม คนไม่น้อยล้วนกลั้นหัวเราะ เกรงว่าหากหัวเราะออกมาจะยั่วโทสะคนจากสี่ตระกูลตงหวงเข้า

และเวลานี้คนจากสี่ตระกูลตงหวงใกล้จะลมจับแล้วจริงๆ เคยเห็นคนโง่แต่ไม่เคยเห็นคนโง่ทั้งกลุ่มแบบนี้! ที่น่าโมโหที่สุดคือเจ้าคนโง่พวกนี้ยังเป็นคนในตระกูลที่พวกเขาภาคภูมิใจมากที่สุด…

เฒ่าดึกดำบรรพ์ไม่น้อยแทบอยากกระอักเลือด เริ่มอยู่ไม่สุข หากเป็นไปได้พวกเขาอยากพุ่งเข้าไปตบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิพวกนั้นแรงๆ สักตั้ง

มีตาแต่ไร้แววเกินไปแล้วชัดๆ!

อันที่จริงจะโทษพวกอวิ๋นมู่เจอก็ไม่ได้ พวกเขาอยู่ในสมรภูมิหมื่นยอด ข่าวสารถูกตัดขาด มีหรือจะล่วงรู้สิ่งที่หลินสวินทำลงไปทั้งหมดในช่วงสิบวันมานี้

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีจำนวนคนมากถึงสิบกว่าคน ในสายตาพวกเขา หลินสวินที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่ควรค่าให้ใส่ใจมากนักจริงๆ!

“ทุกท่าน เห็นแก่หน้าข้า คิดเสียว่าข้าติดหนี้น้ำใจพวกเจ้าแล้วกัน”

อวิ๋นมู่เจอขมวดคิ้ว ห้ามไม่ใช่ทุกคนยื้อแย่งกัน

เมื่อเห็นเช่นนี้คนอื่นๆ ก็ไม่สะดวกพูดอะไรอีก

ตูม!

เงาร่างอวิ๋นมู่เจอเหยียบกลางอากาศ น่าเกรงขามดุจเซียน ผมยาวทั่วศีรษะปลิวไสวตามสายลม ดูสง่างามเป็นธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก

ในสายตาผู้ฝึกปราณคนใดก็ตาม อวิ๋นมู่เจอเป็นบุคคลที่สะดุดตาหาใดปรียบคนหนึ่ง สามารถเป็นผู้นำในเส้นทางจักรพรรดิได้

แต่เวลานี้เมื่อเห็นว่าเขาหมายมั่นจะไปสู้กับหลินสวินตัวต่อตัว ภายในใจของทุกคนที่โลกภายนอกล้วนมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ราวกับเห็นกระต่ายขาวตัวน้อยตะโกนท้าสู้กับเสืออย่างโง่เขลา

“หลินสวิน เมื่อก่อนตอนอยู่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้าข้าไม่ได้เห็นเจ้าอยู่ในสายตา นั่นเป็นความชะล่าใจของข้า แต่ตอนนี้ข้าไม่จะไม่ทำผิดแบบเดิมซ้ำสองอีก”

อวิ๋นมู่เจอสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยพูดเรียบๆ “ครั้งนี้ข้าจะใช้ความจริงบอกเจ้าว่า อะไรที่เรียกว่าพ่ายแพ้อนาถ อะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”

ประโยคเดียวทำให้นัยน์ตางามของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิหญิงหลายคนทอประกายวาววาม ใจหวั่นไหวไปกับมาดองอาจที่อวิ๋นมู่เจอเผยออกมา

และในโลกภายนอก คนตระกูลอวิ๋นเหล่านั้นต่างเริ่มทนมองไม่ไหว จนป่านนี้แล้วยังมัวพูดจาปราศรัยอะไรกันอีก

ยังมัววางมาดประดิษฐ์ท่าทางอะไรอีก!?

“ตัวต่อตัว ยุติธรรมมาก”

สีหน้าหลินสวินราบเรียบไม่สั่นไหวตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็อย่าพูดพล่าม มาสู้กัน”

“ภายหน้าหากโยวหรันจะโทษข้า ข้าก็ไม่เสียใจที่ทำเช่นนี้ลงไป”

อวิ๋นมู่เจอถอนหายใจยาว นัยน์ตาทอประกายหมองหม่น จากนั้นก็ถูกไอสังหารเยียบเย็นเฉยเมยเข้าแทนที่

ชิ้ง!

กระบี่มรรคสีขาวหิมะเล่มหนึ่งพุ่งโฉบออกมา เสียงกระบี่ครวญดังกังวานชั้นเมฆ

อวิ๋นมู่เจอมือถือกระบี่มรรค อาภรณ์พลิ้วไสว กลิ่นอายรอบตัวเปลี่ยนเป็นดุกร้าวไร้เทียมทาน ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนถูกประกายคมน่าสะพรึงตัดกระจุยจนเกิดเสียงระเบิดลั่นแน่นขนัด

“ข้าไม่มีทางดูเบาเจ้า การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าจะใช้มรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดทำให้เจ้าไม่อาจลืมเงาแห่งความพ่ายแพ้ตลอดกาล”

อวิ๋นมู่เจอลงมือท่ามกลางเสียงเฉยเมยนิ่งสงบ

สวบ!

ทันทีที่กระบี่พุ่งออกไป ฟ้าดินมืดสลัว เหลือเพียงสายรุ้งปราณกระบี่สีขาวหิมะสายหนึ่งแผ่คลุมทั่วจักรวาล!

นี่คือกระบี่ที่ตระการตาหาใดเปรียบ หลอมรวมทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของอวิ๋นมู่เจอ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณพุ่งทะยานสูงขึ้นถึงขั้นบริบูรณ์

อานุภาพกระบี่ไพศาลระดับนั้น ทำให้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิไม่น้อยแถวนั้นยังอดร้องชมไม่ได้

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท