ตอนที่ 2697 ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ
ตู๋กูโยวหรันจากไปแล้ว
หลินสวินก้มหน้ามองอวิ๋นมู่เจอ ฝ่ายหลังสติเลือนรางราวกับวิญญาณหลุดลอย
เขายัดอวิ๋นมู่เจอเข้าเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งโดยไม่ได้ทรมานอีก สายตามองมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้น
“ใครยังอยากเล่นสนุกแบบตัวต่อตัวอีกหรือไม่”
หลินสวินถาม
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นนัยน์ตาหดรัด มองหน้าสบสายตากัน ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกถูกหลู่เกียรติ ทว่ามีอวิ๋นมู่เจอเป็นตัวอย่าง พวกเขามีหรือจะยังกล้าทำเช่นนี้อีก
หลินสวินกล่าวประโยคนี้เพราะกำลังถากถางและเหน็บแนมอย่างไม่ต้องสงสัย!
“พวกเราลงมือพร้อมกัน เกรงว่าเจ้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้”
คนผู้หนึ่งกล่าวเสียงเย็น
อวิ๋นมู่เจอถูกกำราบแล้ว นี่ทำให้พวกเขาสะท้านสะเทือน กริ่งเกรงแต่ไม่ได้เผ่นหนีเพราะเรื่องนี้
หนึ่ง เพราะความแข็งแกร่งของสภาวะจิตของพวกเขาเกินกว่าคนทั่วไปจะเทียบได้
สอง เป็นเพราะกำลังคนมาก ไม่อยากก้มหัวหนีไปทั้งอย่างนี้
เกรงว่าที่โลกภายนอกคงเห็นภาพทั้งหมดในสายตานานแล้ว หากพวกเขาที่มีคนมากขนาดนี้ยังเผ่นหนีไป ไม่เพียงพวกเขาจะไม่มีหน้าไปสู้ใคร ชื่อเสียงของตระกูลที่อยู่เบื้องหลังก็จะเสื่อมเสียไปด้วย
พวกเขาคิดเช่นนี้ และมีความมั่นใจว่าจะทำเช่นนี้
แต่เหล่าคนใหญ่คนโตสี่ตระกูลตงหวงที่เห็นภาพนี้จากโลกภายนอก แต่ละคนล้วนริมฝีปากสั่นกึก รู้สึกแน่นอกจนแทบไม่อาจหายใจได้
แค่เลือกเผ่นหนีในการทดสอบคัดเลือกของลัทธิแรกกำเนิดมีอะไรให้ขายหน้ากัน!?
ทำไมไม่หนี
ทำไมถึงไม่หนี!?
ความรู้สึกบ้าคลั่ง อัดอั้นทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตจากสี่ตระกูลตงหวงพวกนั้นรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
…
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสิบสามคนร่วมมือกัน สำแดงอานุภาพน่าสะพรึงทำให้คนใจสะท้านออกมา ทำเอาคนไม่น้อยที่โลกภายนอกล้วนตกใจไม่หยุด
ภาพที่สะเทือนอดีตถึงปัจจุบันเช่นนี้ ที่โลกภายนอกใครเคยเห็นบ้าง
เพียงแต่น่าเสียดาย หลังการต่อสู้เพิ่งดำเนินไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว
หลินสวินเริ่มใช้กายมรรคทั้งห้าทันทีที่เริ่มต่อสู้ ออกโจมตีพร้อมกับร่างต้นของตน ลงมืออย่างไม่เกรงใจสักนิด ใช้วิชาที่แข็งแกร่งยิ่งยวดของตนตรงๆ แหวกทลายวงล้อมแน่นหนาของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสิบสามคน
จากนั้นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ถูกซัดกระเด็นพวกนั้น แต่ละคนราวกับลูกไก่ถูกเหยี่ยวหมายตา ถูกกำราบลงและยัดเข้าเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งคนแล้วคนเล่า
แต่ก็มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิส่วนหนึ่งตระหนักได้ถึงความไม่เข้าที รีบเผ่นหนีตั้งแต่แรก แต่ละคนสีหน้าซีดขาว แทบอยากให้บิดามารดาคลอดขาเพิ่มให้อีกสองข้างใจจะขาด
สำหรับพวกเขาแล้ว ตัวแปรสำคัญที่สุดของการต่อสู้ครั้งนี้ก็คือห้าร่างแยกที่หลินสวินใช้
เดิมทีแค่จัดการหลินสวินคนเดียวก็ทำให้พวกเขารู้สึกกริ่งเกรงและกดดันแล้ว ใครจะคิดว่าพลังต่อสู้ของห้าร่างแยกนั่นของหลินสวิน แต่ละร่างล้วนไม่ด้อยไปกว่าร่างต้นสักนิด
หรือกล่าวอีกอย่างคือ พวกเขาสิบสามคนกำลังเผชิญหน้ากับหลินสวินหกคน!
เกือบจะเป็นสถานการณ์ต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง คิดอยากเอาชนะแทบไม่มีความหวังอะไรด้วยซ้ำ
และในสมรภูมิหมื่นยอดแห่งนี้ห้ามไม่ให้ใช้พลังระเบียบ ห้ามไม่ให้ใช้วิชาลับต้องห้ามและสมบัติที่เหนือกว่าระดับมกุฎบรรพจารย์
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้พวกเขาอยากอาศัยไพ่ตายพลิกสถานการณ์ล้วนไม่มีโอกาส
สรุปแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้สี่ตระกูลตงหวงพ่ายแพ้ยับเยิน สุดท้ายคนที่หนีไปได้มีเพียงสี่คน อีกสิบคนที่เหลือรวมถึงอวิ๋นมู่เจอล้วนถูกกำราบ
โลกภายนอกเกิดเสียงทอดถอนใจดังขึ้นเป็นระลอกๆ ไปอวดเก่งต่อหน้าหลินสวิน คุ้มแล้วหรือ
เมื่อมองสีหน้าคนใหญ่คนโตจากสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้นอีกครา ล้วนดำสนิทเหมือนก้นหม้อแล้ว รู้สึกอัดอั้นจนเกือบกระอักเลือด
คนจากสี่ตระกูลของพวกเขาที่เข้าร่วมการคัดเลือกของลัทธิแรกกำเนิดล้วนถูกกวาดเรียบแทบไม่เหลือ!
และการที่ไม่สามารถเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้ วาสนาที่หลุดลอยไปนั้นไม่อาจใช้คำว่ามูลค่ามาวัดประเมินได้สักนิด!
โลกภายนอกฮือฮาโกลาหล
จนถึงตอนนี้แม้แต่ยักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าหลินสวินที่ถูกพวกเขามองเป็นเศษเดนคีรีดวงกมลน่าสะพรึงมากจริงๆ
อย่างน้อยก็มีอานุภาพเกือบจะไร้ศัตรูในหมู่คนระดับมกุฎบรรพจารย์!
ความจริงข้อนี้ทำให้สีหน้าพวกเขาอึมครึมลงไม่น้อย
…
สมรภูมิหมื่นยอด
หลินสวินหาสถานที่เงียบๆ เริ่มพักผ่อน
เขาตรวจสอบเชลยในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก่อนเป็นสิ่งแรก
ในสิบวันมานี้ตั้งแต่การทดสอบเริ่มจนบัดนี้ จำนวนคนตั้งแต่กู้หลิวไห่ที่ถูกกำราบเป็นคนแรก เรื่อยมาถึงมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงสิบคนอย่างพวกอวิ๋นมู่เจอ รวมกันแล้วมีทั้งสิ้นยี่สิบสี่คน
จำนวนนี้น่าตกใจยิ่งนัก!
ควรรู้ว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น
และจนถึงตอนนี้ ลำพังแค่คู่ต่อสู้ที่ถูกหลินสวินกำราบก็คิดเป็นสองส่วนของจำนวนคนทั้งหมดแล้ว!
หากแปลงเป็นจำนวนคนที่มีสิทธิ์ผ่านด่าน ก็จะมีแปดคนเต็มๆ!
นี่ก็หมายความว่าในการทดสอบครั้งนี้ สิทธิ์ที่สามารถผ่านด่านได้จำนวนแปดที่ ล้วนถูกหลินสวินครอบครองแต่เพียงผู้เดียว…
นี่ไม่เพียงทำให้ขุมอำนาจที่เป็นศัตรูเหล่านั้นเดือดดาลสุดขีด แม้แต่ขุมอำนาจที่ไร้แค้นไร้พยาบาทยังรู้สึกพูดไม่ออก
เพราะหากจำนวนสิทธิ์มากมายขนาดนั้นถูกยึดครองไปหมด นั่นหมายความว่าจำนวนสิทธิ์ที่คนอื่นๆ จะสามารถผ่านการทดสอบได้ก็จะลดลงไปมากเช่นกัน!
แน่นอนว่าขุมอำนาจที่ไร้แค้นไร้พยาบาทเหล่านี้ก็ไม่อาจตั้งตนเป็นศัตรูกับหลินสวินจริงๆ
เพราะในสิบวันนี้ หลินสวินทำเพียงกำราบคู่ต่อสู้ที่เป็นศัตรูเหล่านั้น ยังคงลงมืออย่างปรานีกับคนที่ไร้แค้นไร้พยาบาท เพียงแค่ปล้นสมบัติบนตัวพวกเขาไปก็เท่านั้น…
แต่เวลานี้ หลินสวินกลับรู้สึกสิ้นเปลืองขึ้นมาหน่อยๆ
เชลยยี่สิบสี่คนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจศัตรู แม้บอกว่าล้วนจะถูกคัดออกในที่สุด แต่ก็รู้สึกมาตลอดว่าทำเช่นนี้ช่างสบายคนพวกนี้เกินไป
เช่นนั้นควรดึงมูลค่าจากตัวเชลยพวกนี้ออกมามากขึ้นอย่างไรดี
หลินสวินจมสู่ภวังค์ความคิด
หืม?
ทันใดนั้นหลินสวินก็สัมผัสถึงกลิ่นอายแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งจากไกลๆ ในสมองปรากฏฐานะและที่มาของกลิ่นอายเหล่านี้ขึ้นในทันที
หลินสวินหยัดตัวลุกขึ้น ขณะตั้งใจจะจากไปเพราะคนเหล่านี้ไร้แค้นไร้พยาบาทกับเขา
แต่ใครจะคิดว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิกลุ่มนั้นกลับส่งเสียงอึงอล เผ่นหนีกันจ้าละหวั่นออกห่างไปไกลราวกับถูกเขย่าขวัญ
“เป็นเขา หลินสวิน!”
“เจ้าหมอนี่โหดเกินไปแล้ว เจอคนที่เป็นอริก็กำราบ เจอคนที่ไร้แค้นไร้พยาบาทก็ปล้นสมบัติ จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยแพ้สักครั้ง”
“รีบหนีเร็วๆ!”
…มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านี้แต่ละคนเผ่นหนีเร็วกว่าอีกคน ทำเอาหลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้ จากนั้นก็ยกยิ้ม ดูท่าว่าหลายวันมานี้เรื่องที่เกี่ยวกับตนค่อยๆ กระจายออกไปแล้ว
ในเวลาหลังจากนั้น หลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวในสมรภูมิหมื่นยอดต่อ ไม่ได้ปกปิดกลิ่นอายบนตัวเช่นเดิม
แต่ที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ก็คือ ตลอดทางขอเพียงมีคู่ต่อสู้เจอเขา ยังไม่ทันรอให้เขาเคลื่อนไหวใดๆ ก็รีบเผ่นหนีทันทีราวกับถูกทำให้ตกใจ ไม่ให้โอกาสเขาลงมือสักนิด
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้นก็เป็นเช่นนี้กันหมด รีบเผ่นหนีหัวซุกหัวซุนตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ห่างกันโข…
“ข้าน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ หรือ” หลินสวินหมดคำพูดไปชั่วขณะ
และผู้คนในโลกภายนอกที่เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้อยู่ในสายตา ต่างก็ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี และยังมีเสียงหัวเราะผสมโรงมากมายดังขึ้น
ตอนนี้ผลงานการต่อสู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับหลินสวินในสมรภูมิหมื่นยอดนั่นแพร่กระจายออกไปแล้ว ทำให้หลินสวินเป็นเหมือนสัตว์ร้ายภัยพิบัติ ใครเห็นเป็นต้องหนีจ้าละหวั่น!
ภาพนั้นดูเหลวไหลและน่าขันมากจริงๆ
เป็นระดับมกุฎบรรพจารย์เหมือนกัน แต่ที่ที่หลินสวินปรากฏตัว กลับไม่มีใครกล้าเผชิญหน้าต่อต้าน ทำให้เซียวเหวินหยวนที่รับผิดชอบการทดสอบรอบแรกยังรู้สึกว่าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แต่นี่ทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายล้วนถอนหายใจโล่งอก
ในมุมมองของพวกเขา วิธีการเช่นนี้จึงจะถูก อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลินสวินปล้นหมดตัวหรือถูกกำราบอีก
สมรภูมิหมื่นยอด
เมื่อหลินสวินบังเอิญพบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิกลุ่มหนึ่งอีกครั้ง ก็มองเห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งทันที
“แม่นางเสี่ยวหยวน อย่างเพิ่งไป ข้าเอง!” หลินสวินโบกมือ
ในเงาร่างที่เตรียมจะเผ่นหนีเหล่านั้น มีเซี่ยงเสี่ยวหยวนอยู่ด้วย
นางไม่ได้หนี และมองเห็นหลินสวินแล้วเช่นกัน เผยรอยยิ้มสดใสออกมาเอ่ยว่า “พี่หลิน พวกเราพบกันอีกแล้ว”
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน ไม่เจอกันหลายปี เซี่ยงเสี่ยวหยวนยังคงสง่างามมาดดีดังเดิม สวมอาภรณ์สีขาวทั้งชุด สะพายดาบศึกสีเขียวและม่วงสองเล่ม ท่าทางองอาจหาญกล้า
เขาเดินไปหาเซี่ยงเสี่ยวหยวน
สหายร่วมทางเหล่านั้นของเซี่ยงเสี่ยวหยวนล้วนถอยห่างไปไกลตามจิตใต้สำนึก สีหน้าเต็มไปด้วยแววระวังตัว ประหนึ่งเห็นเทพมารเข้าใกล้ก็ไม่ปาน
เซี่ยงเสี่ยวหยวนอดเม้มปากยิ้มกล่าวไม่ได้ “ทุกคน ข้าบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าข้ากับหลินสวินเป็นสหายกัน ด้วยนิสัยของเขา ไม่มีทางลงมือกับคนไร้แค้นไร้พยาบาทอย่างพวกเราแน่”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่สหายร่วมทางเหล่านั้นของนางก็ยังยืนอยู่ไกลๆ ระมัดระวังสุดขีด
หลินสวินไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เอ่ยถามกลั้วหัวเราะว่า “แม่นางเสี่ยวหยวน เจ้าเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เท่าไรแล้ว”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว ยิ้มขื่นกล่าวว่า “คนเดียว ต้องขอบคุณสหายร่วมทางเหล่านั้นของข้าที่ช่วยเหลือจึงเอาชนะอีกฝ่ายได้”
การทดสอบรอบแรกดำเนินมาถึงตอนนี้เป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว
ในช่วงเวลานี้มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิบางส่วนผ่านด่านได้อย่างราบรื่นเรื่อยๆ และออกจากสมรภูมิหมื่นยอดแห่งนี้ไปแล้ว
ส่วนมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ยังอยู่ในสมรภูมิหมื่นยอด เพราะคู่ต่อสู้ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ การแข่งขันระหว่างพวกเขาก็ยิ่งเข้มข้นดุเดือดขึ้นมากกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้คนรับมือยากที่สุดคือ พวกมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิในสมรภูมิหมื่นยอดตอนนี้แทบจะเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม แม้จะเปิดศึกก็ยากจะเอาชนะคู่ต่อสู้ภายในเวลาอันสั้นที่สุดได้
สหายร่วมทางของเซี่ยงเสี่ยวหยวนมีสามคน คนหนึ่งมาจากตระกูลหลิ่วเซียง นามว่าหลิ่วเซียงเหิน เป็นญาติผู้พี่ของนาง
อีกสองคนที่เหลือมาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลอื่น มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลิ่วเซียง
พวกเขาสี่คนเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม จนถึงตอนนี้พบเจออันตรายมาไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะหลายวันมานี้ความกดดันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
การเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
และสิ่งที่ทำให้หัวใจพวกเขารัดเกร็งคือ ยังต้องคอยระวังว่าจะถูกคู่ต่อสู้คนอื่นเอาชนะตนอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
“ว่าแต่เจ้าเถอะพี่หลิน พักนี้ชักโด่งดังใหญ่แล้ว คู่ต่อสู้หลายคนที่พวกเราพบเจอก่อนหน้านี้ พอเอ่ยถึงชื่อของเจ้าก็พากันหน้าเขียว ว่ากันว่าล้วนเคยถูกท่านปล้นหมดตัวเหมือนเป็นแพะอ้วน”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนหยอกล้ออย่างคล้ายทอดถอนใจ
ไม่เจอกันหลายปี การเปลี่ยนแปลงของหลินสวินยิ่งมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย คนยังคงเป็นคนนั้นคนเดิม แต่ความสำเร็จที่เขาไขว่คว้าบนมรรคาทิ้งห่างคนรุ่นเดียวกันไม่เห็นฝุ่นนานแล้ว!
“พวกเขาควรขอบคุณข้าจึงจะถูก ถึงอย่างไรก็แค่สูญเสียสมบัติบางส่วนไป ไม่ได้ถูกคัดออกจากการทดสอบรอบแรกนี้”
หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ก็เกิดความคิดในใจ จึงโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
เชลยสองคนกลิ้งร่วงลงพื้น
“แม่นางเสี่ยวหยวน ลงมือเถิด ฆ่าพวกเขาซะ เจ้าก็จะสามารถผ่านด่านไปสู่การทดสอบรอบที่สองได้อย่างราบรื่น ในสมรภูมิหมื่นยอดแห่งนี้ สิ่งที่ข้าช่วยเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้”
หลินสวินชี้เชลยที่ถูกฟาดสลบสองคนนี้
เซี่ยงเสี่ยวหยวนอึ้งค้างในทันที ตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง
สหายร่วมทางเหล่านั้นของนางก็เบิกตากว้างเช่นกัน สีหน้าไม่ยากเชื่อ ทะ… ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ
…………………..