GGS:บทที่ 1071 ติดตาม
ในช่วงเย็น ชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทได้ก้าวเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เขาทำการมองไปจนทั่วร้านหนึ่งรอบ ก่อนที่จะไปจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มร่างสูงสองคนที่อยู่ในชุดสูท เขาตรงไปที่ทั้งสองคนนั้นและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับทั้งสอง
“จินเชาหวู่” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดออกมา
ชายหนุ่มสองคนไม่พูดอะไร และเป็นชายหนุ่มคนเดิมได้ถลกแขนเสื้อให้ได้เห็นเกล็ดงูสีเขียวที่อยู่บนแขนของเขา หลังจากชายวัยกลางคนได้เห็นมันแล้ว เขาก็ได้จัดแขนเสื้อให้ปกปิดเกล็ดนี้ไว้เหมือนเดิม
“สวัสดี ฉันเป็นผู้สนับสนุนของจินเชาหวู่ ยินดีที่ได้พบ” ชายวัยกลางคนพูดออกมาแสดงว่าเขานั้นต้องการพบกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้จริงๆ
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็รู้สึกหัวหมุนและแทบจะสิ้นสติสัมปชัญญะในทันที ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแต่ก็ยังคงฝืนไม่ให้หมดสติไปทั้งแบบนี้
เขายังคงพยายามทำให้มีท่าทีปกติเข้าไว้และได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ก่อนที่จะค่อยๆกดปุ่มโทรด่วนของโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้ให้ส่งข้อความที่ตั้งไว้แล้วในทันที
แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั้นและได้สูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้วทั้งๆที่ตายังคงลืมอยู่
ในตอนนั้นเองก็ได้มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ดูธรรมดามานั่งข้างๆชายวัยกลางคนผู้นี้ เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “เอาโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรกลับไปยังคนที่แกพึ่งจะส่งข้อความไปซะ แล้วก็ทำเสียงให้ดูเหมือนว่าทุกอย่างดูปกติ ที่ส่งข้อความไปเมื่อกี้เป็นเพียงความเข้าใจผิด”
ชายคนนี้ก็คือซูจิ้ง ที่ได้ใช้ผงแปลงโฉมที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจในการแปลงรูปลักษณ์ภายนอกนั่นเอง
ซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตชายวัยกลางคนผู้นี้ตั้งแต่ตอนที่เขามานั่งลงที่นี้แล้ว เขาเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่าชายคนนี้ได้ล้วงมือจับมือถือของตัวเองตลอดเวลาตั้งแต่มาถึง
แต่ด้วยการที่มันกระชั้นเกินไปทำให้เขานั้นหยุดเอาไว้ไม่ได้ นั่นก็เพราะต่อให้สะกดจิตได้เร็วยังไงแต่ก็ยังช้าเกินกว่าจะควบคุมได้สมบูรณ์ทันปลายนิ้วของชายคนนี้ ซูจิ้งจึงให้เขาใช้วิธีนี้แทน
ชายวัยกลางคนที่ได้ยินก็ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เขาทำการโทรไปหาเบอร์ๆหนึ่ง ที่ปลายสายได้ถามด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “ทำไมถึงได้โทรมาได้เร็วนัก นี่เป็นกับดักรึ”
“ไม่ใช่ครับ ผมเองที่ตื่นเต้นเกินไปจนเผลอกดเบอร์ไป” ชายวัยกลางคนได้พูดออกมา ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งก็ส่งข้อความไปให้ซูฉือเพื่อให้เธอและหลัวฉือหลินติดตามปลายสายในทันที
“ผิดพลาด?” ที่ปลายสายนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนที่จะพูดกลับมาว่า “เฒ่าจาง คุณคงไม่ได้คิดจะเล่นตุกติกหักหลังผมใช่รึเปล่า อย่าลืมว่าผมเองก็ช่วยคุณไว้เยอะไม่น้อย ไหนจะเรื่องภรรยาและลูกของคุณ หากคุณหักหลังผม รับรองว่าทั้งสองจะรู้สึกได้เลยว่าตายเสียดีกว่าอยู่”
“ผมจะไปหักหลังคุณได้ยังไง มันแค่เรื่องผิดพลาดเองนะ อ่อ แล้วก็คนจากองค์กรเกล็ดงูบอกว่าสนใจที่จะร่วมงานกับพวกเรา ผมเลยจะโทรมาถามด้วยว่าจะเอายังไงเพราะพวกเขาอยากจะพบคุณเพื่อที่จะได้คุยเรื่องรายละเอียดได้สักที” ชายวัยกลางคนพูดออกมา
“เยี่ยม ที่เดิม” ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบลื่นราวกับดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“ดี ผมจะพาคนทั้งสองนี้ไป” ชายวัยกลางคนพูดออกมา
หลังจากวางสาย ซูจิ้ง สองหนุ่มองค์กรเกล็ดงู และชายวัยกลางคน ได้ขับรถตรงไปยังที่เดิมที่ปลายสายได้พูดถึง แน่นอนว่าซูจิ้งได้ให้ซูฉือและหลัวฉือหลินคอยสืบสวนต่อไปเพื่อไว้ว่าทางฝั่งเขาจะพลาดขึ้นมา
ระหว่างทาง ซูจิ้งยังถามเรื่องราวต่างๆของชายวัยกลางคนผู้นี้ แล้วก็พบว่าชายคนนี้เอาจริงๆแล้วไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่น้อย ที่เขาไปในวันนี้นั้นก็เพื่อติดต่อกับองค์กรเกล็ดงูเพียงอย่างเดียว
แต่หากซูจิ้งต้องการรู้เรื่องราวอย่างอื่น คนที่พวกเขากำลังจะเดินทางไปพบนี้น่าจะรู้เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างดี
ในขณะเดียวกับหลังจากที่ชายวัยกลางคนได้วางสายไป ชายหนุ่มปลายสายได้หยิบข้อความในโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง มันคือข้อความแจ้งเตือนตามที่ตกลงกันไว้ด้วยท่าทีคิ้วขมวดเล็กน้อย
เขารู้ดีว่าเฒ่าจางผู้นี้มีความสุขุมอย่างมาก ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ส่งให้ไปทำเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่เขากลับโทรมาบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจส่งข้อความเตือนนี้มาเพราะประหม่าจนเผลอกดปุ่มนี่นั้นมันยากที่จะเชื่อจริงๆ
แต่หากจะให้เขาคิดว่าเฒ่าจางผู้นี้กล้าที่จะทรยศเขานั้นเขาก็ไม่มีทางเชื่อเช่นเดียวกัน เพราะเขารู้ดีว่าเขากุมจุดอ่อนของเฒ่าจางผู้นี้เอาไว้
ถึงแม้หัวใจของเขาจะบอกว่ามันน่าจะมีปัญหาแบบสุดๆก็ตามจนไม่อยากจะไปเลยแม้แต่น้อยที่จะไปที่เดิมตามที่นัดกันไว้
“เป็นไปได้ไหมว่าเฒ่าจางจะถูกขู่อยู่ ถ้ายังนั้นก็หมายความว่าเขาไม่ได้ทรยศแต่โดนข่มขู่ให้ทำตามอย่างช่วยไม่ได้ เมื่ออย่างตอนที่เกิดเรื่องแปลกๆกับนายน้อยตระกูลจ้าวที่ต้องกระโดดลงมาฆ่าตัวตายในตอนนั้น
เหตุการณ์นั้นฉันเองก็ยังไม่เชื่อเลยว่าคนอย่างจ้าวฉือหลงจะกล้าฆ่าตัวตายแบบนั้นไปได้ ลูกพี่หยวนเองก็กำชับฉันไว้ซะด้วยสิว่าไม่ให้ออกหน้าเอง….ฉันคงจะไปที่นั่นไม่ได้แล้วสินะ…” หลังจากคิดไปได้สักพัก ชายหนุ่มคนนั้นก็ได้ทำการตั้งค่าบางอย่างในโทรศัพท์ของตัวเองก่อนที่จะวางไว้บนโต๊ะเฉยๆ หลังจากนั้นเขาก็อาจไปจากห้อง เดินลงบันไดและขับรถออกไป
เพียงไม่นาน เงาสายหนึ่งก็ได้ปรากฎในห้องที่ชายหนุ่มพึ่งจะจากออกไป หลัวฉิหลินและซูฉือได้แกะรอยโทรศัพท์และพบว่าเป็นที่นี่
เขาจึงได้มาที่นี่ในทันที เมื่อพบโทรศัพท์ หลัวฉือหลินได้เปิดโทรศัพท์ขึ้นดูจนแน่ใจว่าเป็นของคนที่อยู่เบื้องหลังจากร่องรอยที่หลงเหลือของข้อความและเบอร์โทรที่บันทึกไว้
และไม่นานเขาก็พบว่าโทรศัพท์ได้ส่งข้อความอัตโนมัติเอาไว้ มันเป็นข้อความที่แจ้งเตือนไปยังอีกเบอร์หนึ่งเมื่อมีคนเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้
“ไม่ดีแล้ว” หลัวฉือหลินที่เห็นก็รู้ในทันทีว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้กลัวว่าจะผิดพลาดจนต้องป้องกันจนถึงที่สุดจริงๆ
เขารีบบอกซูฉือให้ติดตามเครื่องที่รับข้อความนี้ในทันทีพร้อมทั้งไปบอกซูจิ้งถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มขับรถออกมาได้ไกลพอสมควรแล้วก็ได้เปิดข้อความออกดู เพียงเมื่อเห็นข้อความนี้เขาเองถึงกับปากสั่นในทันที
สถานที่ที่เขาพึ่งออกมานี้มีเพียงเขาคนเดียวที่เข้าไปได้ มันจึงไม่มีทางเลยที่คนของเขาหรือเพื่อนคนใดจะไปเปิดโทรศัพท์เครื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่นี่ เพียงเขาออกมาไม่นาน โทรศัพท์กับส่งข้อความมาบอกว่ามีคนเปิดเครื่อง นี่จะหมายความเป็นอื่นได้ยังไงนอกจากว่ามีคนกำลังติดตามเขา
หัวใจของชายหนุ่มคนนี้รู้สึกบีบรัดในทันที พร้อมกับหัวสมองที่พยายามคิดความเป็นไปได้ต่างๆนาๆว่าคนพวกนี้ทำไมถึงติดตามเขาได้เร็วนักและทำได้แม้กระทั่งรู้ที่อยู่ของเขา
จนรู้สึกตัว ชายหนุ่มคนนี้ก็โยนโทรศัพท์ทิ้งออกไปทางหน้าต่างในทันทีและรีบแวะเข้าปั๊มน้ำมันและแอบหลบออกมา ก่อนที่จะนำโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งโทรหาหยวนหยินหนิง
….
ในห้องพักแห่งหนึ่ง ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิง กำลังนั่งพูดคุยกัน ฟูฮงซิ่วได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “หยวนหยินหนิง ที่เว่ยเสี่ยวหยวนตกมาจากตึกนั่นแล้วยังเรื่องของจินเชาหวู่นั่นอีก นายอยู่เบื้องหลังทั้งหมดสินะ ทำอะไรนี่ไม่บอกกันเลยน้า…”
“อย่างพึ่งรีบตื่นเต้นไปนักเลยน่า ฉันยังมีเรื่องอื่นที่น่าตื่นเต้นกว่านี้จะเล่าให้ฟัง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ลูกพี่หยวนจะไม่ให้พวกเราตื่นเต้นได้ยังไง พูดออกมาแบบนี้ไม่จริงใจกันเลยนี่นา เราร่วมมือกันแล้วนะ อย่างน้อยๆลูกพี่ก็ควรจะบอกกันสักหน่อยว่ากำลังทำอะไรอยู่
พวกเราก็รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นต้องเป็นความลับ แต่เรื่องทั้งสองนี้ทำให้พวกเรานั้นสงสัยจนต้องโทรมาถามนี่แหล่ะ ถึงขนาดนี้แล้วยังคิดจะเก็บไว้เป็นความลับอีกอย่างนั้นเหรอ” ฮัวหยุนชูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ก็ไม่ใช่ว่าฉันนั้นอยากจะปิดบังพวกนายหรอกนะ แต่ฉันก็เคยบอกไปแล้วนี่นาว่าพวกเรานั้นไม่สามารถเล่นงานซูจิ้งได้ตรงๆ แถมเราต้องหลบเลี่ยงจากการเป็นเป้าสนใจของซูจิ้งอีก
ในช่วงหลายวันมานี้เป็นเพียงการเตรียมการในการจัดการซูจิ้งก็เท่านั้นเองจึงไม่ได้บอกออกไป แถมนายสองคนก็พึ่งที่จะมีเรื่องกับซูจิ้ง ไม่มากก็น้อยซูจิ้งต้องคอยสังเกตพวกนายไว้อยู่แล้ว
หากฉันบอกไปมีหวังหมอนั่นต้องรู้ตัวก่อนแหงๆ บอกตรงๆเลยว่ายิ่งบอกนายสองคนมากเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันต้องบอกพวกนายแล้วจริงๆ ต่อให้พวกนายไม่ฉันก็จะหาทางเล่าให้พวกนายฟังอยู่ดี” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
หลังจากฟังเหตุผลของหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชูและฟูหงซิ่วก็ได้มีความรู้สึกที่ดีขึ้นมามากกว่าก่อนหน้านี้ ฮัวหยุนชูถึงได้ถามออกมาว่า
“ว่าแต่ลูกพี่หมายความว่ายังไงที่ว่าถึงเวลาน่ะ”
“พวกสัตว์ประหลาดเกล็ดงูออกมาแล้ว” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จริงเหรอ” ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วที่ได้ยินต่างก็มีสายตาที่เปล่งประกาย
“แน่นอน ฉันส่งคนของตัวเองไปติดต่อกับพวกนั้นแล้ว ฉันเชื่อว่าต้องมีข่าวดีในเร็วๆนี้”
หยวนหยินหนิงพยักหน้าและหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดั่งขึ้นมา