Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2704 ดำเนินตามกฎ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2704 ดำเนินตามกฎ

ตอนที่ 2704 ดำเนินตามกฎ

การทดสอบรอบที่สองดำเนินต่อไป

เพียงแต่หลังผ่านการโจมตีครั้งใหญ่ที่หลินสวินเอาชนะลี่จงหย่วน แม้ว่าการประลองถัดจากนี้จะยังคงเรียกได้ว่าดุเดือดและอลังการ แต่ทุกคนมักรู้สึกว่าค่อนข้างจืดชืดจำเจ

จนกระทั่งหลายชั่วยามให้หลัง

การทดสอบรอบที่สองสิ้นสุดลง ในบรรดายี่สิบเจ็ดคนที่เข้าร่วมการทดสอบ มีคนผ่านการทดสอบทั้งหมดสิบหกคน อีกสิบเอ็ดคนถูกคัดออก

การทดสอบรอบที่สามจะเริ่มในอีกหนึ่งวันให้หลัง

วังกระบี่หมื่นยอด

ภายในโถงรับรองชั้นที่หนึ่ง มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสิบหกคนอย่างพวกหลินสวินถูกจัดให้เข้าไปพักผ่อนในโถงรับรองที่แตกต่างกัน

หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจัดเตรียมโอสถเทพรักษาอาการบาดเจ็บและของจำเป็นสำหรับการฝึกปราณไว้ให้ทุกคนโดยเฉพาะ โอสถเทพและทรัพยากรฝึกปราณเหล่านั้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าหายากในโลกภายนอก

ฟู่!

ในโถงหนึ่งในนั้น หลินสวินถอนหายใจยาว รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว

ท่าทีที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดแสดงออกในการทดสอบรอบที่สองทำให้เขาเบาใจโดยสิ้นเชิง

อย่างน้อยนี่ก็หมายความว่าขอเพียงกลายเป็นผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ก็ไม่ต้องสนใจภัยคุกคามจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะอีกต่อไป

แต่หลินสวินก็รู้ดีว่าภายในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดมีคนใหญ่คนโตจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะ คนจากขุมอำนาจศัตรูเหล่านี้ไม่มีทางนิ่งดูดายเป็นแน่

และนี่ก็หมายความว่า วันเวลาภายหน้าที่เขาอยู่ในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดย่อมไม่มีทางสงบสุข

แต่หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้

เขาไม่เชื่อว่าภายในลัทธิแรกกำเนิด ใครจะใจกล้าถึงขั้นลงมือสังหารตนเองกับมือ!

“สหายน้อย ขอคุยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”

ทันใดนั้นเสียงของเซียวเหวินหยวนดังขึ้นจากนอกโถง

หลินสวินอึ้งไป จากนั้นหยัดตัวลุกขึ้นต้อนรับเซียวเหวินหยวนที่ยืนอยู่ให้เข้ามา

“วันนี้ต้องขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่กล่าวทวงความเป็นธรรม โปรดรับการคารวะจากผู้น้อย”

หลินสวินโค้งคารวะก่อนโดยไม่เอ่ยถามจุดประสงค์การมาของเซียวเหวินหยวน กล่าวขอบคุณจากใจ

เซียวเหวินหยวนอึ้งไป ยิ้มกล่าว “วันนี้สิ่งที่ข้า รองหัวหน้าหอฟาง และผู้อาวุโสหลีเจินปกป้อง คือกฎของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ไม่ใช่การออกหน้าแทนเจ้า”

หลินสวินกล่าว “ข้าเข้าใจ”

ทั้งคู่นั่งลง กล่าวถามทุกข์สุขกันครู่หนึ่ง เซียวเหวินหยวนถึงเอ่ยว่า “หากไม่ผิดคาด ผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการทดสอบรอบที่สองทั้งสิบหกคนอย่างพวกเจ้า ล้วนสามารถผ่านการทดสอบรอบที่สามได้อย่างราบรื่น”

“และเพราะเป็นเช่นนี้ พวกตงหวงฉยงจึงเลือกประท้วงเจ้าในการทดสอบรอบที่สอง”

เป็นประโยคปุบปับ แต่หลินสวินคิดๆ ดูก็ไม่แปลกใจนัก

การทดสอบรอบที่สามชื่อว่า ‘เมฆครามฝากชื่อ’

ยามนั้นขอเพียงสามารถใช้พลังเจตจำนงของตนฝากชื่อไว้ในบริเวณสามพันจั้งเหนือวังกระบี่หมื่นยอดได้ ก็เท่ากับผ่านการทดสอบแล้ว

หากไม่สามารถไปถึงบริเวณสามพันจั้งเหนือวังกระบี่หมื่นยอดก็จะถูกคัดออก

จากความเข้าใจของหลินสวิน คนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบรอบที่สามครั้งนี้เหมือนเช่นเขา แทบไม่ต้องกังวลว่าจะเสี่ยงถูกคัดออกด้วยซ้ำ

และนี่ก็หมายความว่า พวกตงหวงฉยง ฉีทิงจื่อไม่มีโอกาสประท้วงเขาในการทดสอบรอบที่สามสักนิด

ดังนั้นพวกเขาได้แต่ทำเช่นนี้ในการทดสอบรอบที่สอง!

เซียวเหวินหยวนกล่าว “เดิมทีเจ้ายังไม่ใช่ผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดอย่างแท้จริง ไม่อาจบอกคำพูดเหล่านี้แก่เจ้า แต่ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว เรื่องบางอย่างเจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”

ในใจหลินสวินเย็นวาบ กล่าวว่า “ผู้อาวุโสโปรดแถลงไข”

เซียวเหวินหยวนคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรารู้ว่าเจ้าจะมาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว หรือกล่าวได้ว่า พวกเรารู้เรื่องนี้ก่อนเจ้าก้าวหนึ่งเสียอีก”

หลินสวินรู้สึกแปลกใจทันที ลอบกล่าวในใจ หรือว่านี่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่สามเป็นคนจัดการไว้แล้วล่วงหน้า

“เจ้าแค่ต้องจำไว้ว่า เป็นเพราะรู้ว่าเจ้าจะมาเข้าร่วมการทดสอบ เรื่องนี้จึงก่อให้เกิดคลื่นลมและข้อถกเถียงใหญ่โตภายในลัทธิแรกกำเนิด”

เซียวเหวินหยวนกล่าว “มีคนมากมายคัดค้าน คิดว่าเจ้าเป็นตัวหายนะ จะนำความวุ่นวายมาสู่ลัทธิแรกกำเนิด”

“และมีคนมากมายคิดว่าเรื่องของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ต้องใช้กฎของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดมาตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือผู้เข้าร่วมการทดสอบคนอื่นๆ ขอเพียงกลายเป็นผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด นั่นก็คือคนของลัทธิแรกกำเนิด”

หลินสวินเอ่ย “หรือกล่าวได้ว่า เพราะสองจุดยืนนี้ทำให้ภายในลัทธิแรกกำเนิดแบ่งออกเป็นสองฝ่ายหรือ”

เซียวเหวินหยวนยิ้ม “เรื่องราวมีหรือจะง่ายดายเช่นนี้ มีคนกอดอกดูอยู่ด้านข้าง ไม่ได้แสดงจุดยืนอะไรออกมา และมีคนไม่พอใจกับภัยเงียบและปัญหาเรื้อรังบางอย่างที่มีอยู่ในตอนนี้ของลัทธิแรกกำเนิดนานแล้ว และหวังให้มีตัวก่อกวนเหมือนอย่างเจ้าโผล่มา จะได้กวนน้ำให้ขุ่น เช่นนี้จึงจะสามารถอาศัยโอกาสไปกำจัดภัยเงียบและปัญหาเรื้อรังบางส่วนได้”

เซียวเหวินหยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างใคร่ครวญว่า “สรุปแล้วสำหรับการมาของเจ้า ทุกคนต่างมีความคิดและข้อพิจารณาของตัวเอง”

หลินสวินรู้สึกรับมือยากทันควัน ทุบหัวจนแตกก็คิดไม่ถึงว่าการมาของตนจะถึงกับเรียกคลื่นลมขึ้นในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้ขนาดนี้

หลังใคร่ครวญครู่หนึ่ง เขาเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นตามความเห็นของผู้อาวุโส หากข้ากลายเป็นผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจริงๆ ควรจะทำตัวอย่างไร”

คำตอบของเซียวเหวินหยวนง่ายดายยิ่ง มีเพียงประโยคสั้นๆ ว่า “กระทำตามกฎ”

หลินสวินไตร่ตรองคร่าวๆ และเข้าใจทันควัน ไม่ว่าพวกคนใหญ่คนโตของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นจะคิดเห็นอย่างไร ขอเพียงตนไม่ละเมิดกฎระเบียบของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดก็ไม่มีใครทำอะไรตนได้!

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่ชี้แนะ”

หลินสวินกล่าวพลางประสานหมัดคารวะ

เซียวเหวินหยวนโบกมือ “นี่เป็นคำที่รองหัวหน้าหอฟางไหว้วานให้ข้ามาบอกเจ้า หากเจ้าอยากขอบคุณควรไปขอบคุณเขาจึงจะถูก”

หลินสวินกล่าวหยั่งเชิง “ผู้อาวุโส ผู้น้อยขอบังอาจถามสักประโยค รองหัวหน้าหอฟางมีท่าทีอย่างไรกับการมาของข้า”

เซียวเหวินหยวนอดยิ้มไม่ได้ “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”

คราวนี้หลินสวินเข้าใจทันที กล่าวว่า “ตอนกลับไปรบกวนผู้อาวุโสบอกรองหัวหน้าหอฟางแทนผู้น้อยด้วย ผู้น้อยจะจดจำคำสั่งสอนของเขาให้ขึ้นใจ กระทำตามกฎ”

เซียวเหวินหยวนพยักหน้าอมยิ้ม

ยามจะออกไป จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “ในการทดสอบรอบแรก ข้าเคยติดหนี้น้ำใจเจ้าครั้งหนึ่ง หากเจ้าเชื่อใจข้า หลังผ่านการทดสอบข้าแนะนำให้เจ้าเลือกไปฝึกปราณที่ยอดเขาที่เก้า”

“ยอดเขาที่เก้าหรือ” แววตาหลินสวินแปลกไปจากเดิมน้อยๆ

ครานั้นยามอยู่เขตผนึกเร้น ผู้อาวุโสโม่หลันซานซึ่งเป็นผู้อาวุโสเยี่ยมยุทธ์ของยอดเขาที่เก้าก็เคยมอบหยกประดับชิ้นหนึ่งแก่เขา หวังว่าเขาจะเข้าร่วมการทดสอบของลัทธิแรกกำเนิด และเข้าไปฝึกปราณในยอดเขาที่เก้า

เพียงแต่หลินสวินไม่นึกว่าแม้แต่เซียวเหวินหยวนก็แนะนำยอดเขาที่เก้าให้ตนเช่นกัน

“ไม่ผิด ในเก้ายอดเขาใหญ่ แม้ความแข็งแกร่งโดยรวมของยอดเขาที่เก้าจะรั้งท้าย ห่างไกลไม่อาจเทียบอีกแปดยอดเขาที่เหลือ แต่เบื้องหลังของยอดเขาที่เก้าใสสะอาดที่สุด ไม่มีเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายมากมายขนาดนั้น”

เซียวเหวินหยวนกล่าวชี้แนะจากใจ “ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ อยู่ในยอดเขาที่เก้าเท่านั้นเจ้าจึงจะมีโอกาสเลื่อนขั้นสูงขึ้น”

จนกระทั่งเซียวเหวินหยวนออกไป หลินสวินเอาแต่ใคร่ครวญถึงคำว่า ‘โอกาสเลื่อนขั้น’ ที่เซียวเหวินหยวนพูดถึง

จุดประสงค์ที่เขามุ่งหน้ามาหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดครั้งนี้ง่ายดายยิ่ง ก็เพื่อไปยื้อแย่งโอกาสในการขึ้นเป็นหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ภายในหนึ่งร้อยปีตามที่ศิษย์พี่สามมอบหมาย!

และหากอยากขึ้นเป็นหัวหน้าหอที่กุมอำนาจล้นฟ้า ความยากก็ไม่ใช่แค่ยากธรรมดา

โดยเฉพาะในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด แต่ละคนกุมตำแหน่งของตน เหล่าเฒ่าชราและพวกระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าที่กุมอำนาจใหญ่เหล่านั้น ลำพังแค่พลังปราณของตนก็สามารถมีชีวิตอยู่ไม่รู้กี่หมื่นปี

หากไม่เกิดเหตุเหนือคาดอะไร ตำแหน่งอำนาจของพวกเขาก็แทบจะเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก

หากหลินสวินอยากบรรลุเป้าหมาย ก็ต้องเริ่มจากเป็นศิษย์สืบทอดแท้จริง ค่อยๆ เลื่อนขั้นทีละก้าวจากศิษย์แกนหลัก ศิษย์หอแรกพิสุทธิ์ รองผู้ดูแล ผู้ดูแล ผู้อาวุโส จนกระทั่งกลายรองหัวหน้าหอ จึงจะมีคุณสมบัติไปแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าหอ

หากหัวหน้าหอยังอยู่ดี และครอบครองตำแหน่งไม่ยอมปล่อยมาโดยตลอด เช่นนั้นโดยพื้นฐานก็ไม่มีโอกาสก้าวหน้าได้อีก

หลายปีก่อนหัวหน้าหอแห่งหอแรกพิสุทธิ์โหยวเป่ยไห่แสดงเจตจำนงว่าจะออกจากตำแหน่งหัวหน้าหอก่อนแจ้งมรรคนิรันดร์

โอกาสหายากในรอบหมื่นปีเช่นนี้ ย่อมถูกคนใหญ่คนโตไม่รู้เท่าไรภายในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหมายตา

‘หากยอดเขาที่เก้ามีโอกาสทำให้ข้าเลื่อนขั้นได้มากกว่า เช่นนั้นลองพิจารณาดูหน่อยก็ได้…’

หลินสวินทำท่าครุ่นคิด

คำแนะนำของเซียวเหวินหยวนมาทันเวลายิ่ง

ในเก้ายอดเขาใหญ่ก็มีคนใหญ่คนโตจากขุมอำนาจศัตรูไม่น้อยดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่

อย่างเช่นหัวหน้ายอดเขาที่สองอวิ๋นเทียนหมิง เป็นปู่ทวดคนหนึ่งของอวิ๋นมู่เจอ

หากเข้ายอดเข้าที่สอง นั่นเท่ากับแพะเข้าปากเสือชัดๆ

ด้วยความสามารถของอวิ๋นเทียนหมิง หากคิดกลั่นแกล้งและปองร้าย หมายจัดการผู้สืบทอดที่เพิ่งเข้าสำนักอย่างเขา เช่นนั้นก็ยากจะป้องกันอย่างแน่นอน

และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ในยอดเขาอื่นๆ ก็รับรองได้ยากว่าจะไม่เกิดเรื่องราวทำนองนี้ขึ้น

หากยอดเขาที่เก้าไม่มีเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างที่เซียวเหวินหยวนว่าจริง ต่อให้อยู่ลำดับรั้งท้ายในบรรดาเก้ายอดเขาใหญ่ หลินสวินก็เต็มใจไป!

เช้าวันรุ่งขึ้น

บนลานมรรคใหญ่หน้าวังกระบี่หมื่นยอด ผู้แข็งแกร่งสิบหกคนอย่างพวกหลินสวินรออยู่ที่นั่นแล้ว

วันนี้พวกเขาจะเริ่มการทดสอบรอบที่สามแล้ว!

การทดสอบครั้งนี้ง่ายดายยิ่ง ต่างจากการทดสอบก่อนหน้านี้ ไม่ใช่การต่อสู้และเข่นฆ่า หากแต่เป็นการทดสอบด้านมรรควิถีและพลังเจตจำนง

พลังผนึกด้านนอกของวังกระบี่หมื่นยอดในเวลานี้ถูกกำจัดไปแล้ว เผยให้เห็นลักษณะแท้จริงของวังกระบี่หมื่นยอด

สิ่งก่อสร้างดุจกระบี่เทพแห่งนี้ ทั่วตัวเรือนปรากฏกลิ่นอายประหนึ่งแรกกำเนิดอมตะ เมื่อไม่มีการบดบังของพลังผนึก กลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมากดดันจนคนไม่น้อยในที่นี้ล้วนอึดอัด

แม้จะเป็นระดับอมตะยังไหวหวั่นไม่หยุด

ลือกันว่าตัวเรือนของวังกระบี่หมื่นยอดแห่งนี้เป็นกระบี่คู่ใจของหัวหน้าลัทธิแรกกำเนิด ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว เพราะไอสังหารที่แปดเปื้อนกระบี่นี้ร้ายแรงเกินไปจึงถูกหัวหน้าลัทธิแรกกำเนิดผนึกไว้ที่นี่เองกับมือ

ถึงขั้นมีข่าวลือว่าอันที่จริงทั่วทั้งเมืองเทพหมื่นยอดก็สร้างขึ้นเพื่อกำราบกระบี่นี้!

แหงนมองจากลานมรรค วังกระบี่หมื่นยอดสูงเสียดฟ้าราวหมื่นจั้งเต็ม ทั่วตัวเรือนแผ่ไอแรกกำเนิดขุ่นมัวคลุมเครือ ลึกลับทำให้คนพรั่นใจ

สูงขึ้นไปเกินสามพันจั้ง เมฆาครามมหามรรคลอยเอื่อยเป็นปุยๆ เบียดเสียดเนืองแน่น แต่ยิ่งสูงขึ้นไป จำนวนของเมฆาครามมหามรรคนั่นยิ่งลดน้อยลง

เมฆาครามมหามรรคแต่ละก้อนล้วนเป็นสิ่งที่ผู้เข้าลัทธิแรกกำเนิดหน้าใหม่แต่ละคนฝากทิ้งไว้ในกาลเวลาที่ผ่านมา ถูกประทับไว้ที่นี่ คงอยู่จนถึงบัดนี้

การทดสอบรอบที่สามอยู่สูงขึ้นไปสามพันจั้งเหนือวังกระบี่หมื่นยอด ใช้พลังเจตจำนงในตัวควบรวมเมฆาครามมหามรรค ฝากชื่อไว้บนนั้น!

ฟางเต้าผิงกล่าวกำชับ “ผู้อาวุโสตงหวงชิง การทดสอบรอบที่สามนี้ให้เจ้าเป็นผู้ดูแลหลัก”

ตงหวงชิงดำเนินการตามคำสั่ง กวาดสายตามองพวกหลินสวินสิบหกคนแล้วกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “กฎการทดสอบพวกเจ้ารู้ชัดแล้ว จำไว้ ไม่ว่าใครล้วนมีโอกาสเพียงครั้งเดียว หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ประมาท”

“การทดสอบเริ่มต้น ณ บัดนี้!”

ฟึ่บ!

สายตาทุกคนที่อยู่นอกลานล้วนหันมองโจวจือจือเป็นจุดเดียว

การทดสอบรอบแรก เขาผ่านด่านเป็นคนแรก การทดสอบรอบที่สอง เขาก็ลงสนามต่อสู้ตัดสินเป็นคนแรกเช่นกัน

และตอนนี้ เขาจะกลายเป็นผู้เข้าสู่การทดสอบรอบที่สามเป็นคนแรก

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท