Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2713 วางอำนาจบาตรใหญ่

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2713 วางอำนาจบาตรใหญ่

ตอนที่ 2713 วางอำนาจบาตรใหญ่

เฉาจ้งหลินพูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโสเถาเหลิ่ง ศิษย์ไม่ได้จงใจกลั่นแกล้ง ความจริงเป็น…”

เถาเหลิ่งตัดบท “หากการอธิบายใช้ได้ผล จะมีหอแรกนภาไว้ทำไม”

เขาพลิกมือ ม้วนหยกหนึ่งพุ่งออกมา จากนั้นภาพมากมายปรากฏออกมาจากม้วนหยก

เป็นภาพเหตุการณ์ที่หลินสวินประสบหลังจากเข้าเรือนสมบัติสวรรค์ แม้แต่เสียงยังได้ยินอย่างชัดเจน

“ม้วนหยกนี้เป็นเหวยฟางผู้สืบทอดของผู้อาวุโสเจี่ยงเยี่ยแห่งหอแรกมายาให้ข้ามา ตอนนี้เจ้ายังคิดจะแก้ตัวต่อหรือ”

เถาเหลิ่งเสียงเย็นเยียบมาก

เฉาจ้งหลินสีหน้าขาวซีด “ผู้อาวุโสเถาเหลิ่ง เมื่อครู่นี้ท่านก็บอกว่าข้าถูกคนหลอกใช้ เป็นเพียงบริวารหน้ารถม้า ความรับผิดชอบที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ข้า”

เถาเหลิ่งมองเฉาจ้งหลินแล้วเอ่ยเรียบๆ “เป็นบริวารก็ควรจะรู้ตัว หากเจ้าเรียกคนพวกนั้นออกมาได้จริง พูดกันตามตรงด้วยอำนาจของข้าเกรงว่าคงไม่อาจทำอะไรคนพวกนั้นได้ และภายหน้าเจ้าจะยังยืนอยู่ในสำนักได้อย่างไร”

เฉาจ้งหลินแข็งทื่อไปทั้งตัว ราวกับตกถ้ำน้ำแข็ง พูดด้วยสีหน้าซีดเซียว “ผู้อาวุโสเถาเหลิ่ง ข้ายอมรับผิด”

เถาเหลิ่งกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คอยไปก่อนเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้สืบทอดหอแรกมายา และมีศักยภาพในการกลายเป็นอมตะ ฐานะเหนือกว่าผู้สืบทอดแกนหลักของเก้ายอดเขาใหญ่ จากที่ข้าดูต้องมีคนมาขอความเมตตาให้เจ้าอย่างแน่นอน”

สำหรับเขา แม้เฉาจ้งหลินเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่ในเรื่องทางโลก ในการต่อสู้ที่หลอกใช้กัน ถึงอย่างไรก็ยังอ่อนต่อโลกเกินไป

คิดๆ แล้วก็จริง คนที่สั่งการเฉาจ้งหลินในมุมมืด แต่ละคนล้วนเป็นใหญ่โต ต่อให้เฉาจ้งหลินเป็นศิษย์หอแรกมายาแล้วอย่างไร

ในสายตาของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ก็เป็นแค่บริวารหน้ารถม้าตัวเล็กๆ เท่านั้น

เถาเหลิ่งคร้านจะตัดสินตามกฎกับเฉาจ้งหลินด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาสงสัยในตอนี้คือ ใครจะมาช่วยเฉาจ้งหลิน

เวลาผ่านไปทีละนิด

ครู่ใหญ่เสียงแหบหนาหนึ่งดังขึ้นจากนอกโถง “พี่เถาเหลิ่งอยู่หรือไม่”

“เข้ามา”

เถาเหลิ่งพ่นคำพูดหนึ่งออกไป แสงประกายวาบผ่านในสายตาเงียบๆ

ประตูโถงถูกเปิดออก ชายหนุ่มที่เงาร่างผอมบาง ผิวพรรณขาวกระจ่างราวกับหญิงสาว สวมชุดดำทั้งตัว ดวงตาเรียวยาว รอยย่นตรงหางตาประทับร่องรอยแห่งประสบการณ์คนหนึ่งเดินเข้ามา

เฉาเป่ยโต้ว หนึ่งในผู้อาวุโสหอแรกนภา

“รองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีให้ผู้อาวุโสเฉามาหรือ” เถาเหลิ่งประสานมือน้อยๆ เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เฉาเป่ยโต้ว เป็นผู้ใต้ปกครองรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลี

และฝูเหวินหลีก็มาจากตระกูลฝู หนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะ!

เฉาเป่ยโต้วหรี่ตาเล็กน้อย ยิ้มพูด “ผู้ดูแลเถาเหลิ่ง ข้าเพียงแค่ผ่านมาดูสักหน่อย เกี่ยวอะไรกับรองหัวหน้าหอหรือ”

เถาเหลิ่งขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเฉาคิดจะดูอย่างไร”

“เฉาจ้งหลินควรถูกทำโทษ แต่จะเป็นโทษหนักไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์หอแรกมายา ยิ่งเป็นคนที่รองหัวหน้าหอแรกมายาเฟ่ยเผิงเลือกเข้ามาด้วยตัวเอง ครั้งนี้เรื่องที่เขาทำไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหญ่ ข้าว่าปรับเบี้ยประจำเดือนเขาเป็นเวลาสามเดือนก็พอแล้ว”

เฉาเป่ยโต้วพูดสบายๆ

เฉาจ้งหลินกล่าวอย่างดีใจ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา!”

ทั้งหมดนี้อยู่ในการคาดหมายของเถาเหลิ่ง ไม่ได้เป็นเรื่องแปลก ขณะกำลังเตรียมจะเอ่ยปาก

เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากนอกโถงกะทันหัน “ปรับเบี้ยประจำเดือนแค่สามเดือนอะไรกัน นี่แม่งยังไม่ใช่ว่าเป็นการตัดสินมั่วๆ หรือ มีข้าอยู่จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”

คนผู้นี้สวมชุดผ้าป่าน รูปลักษณ์งดงาม ใบหน้าเย่อหยิ่งยิ่ง

“เจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้าบุกมาที่นี่โดยพลการ ไม่รู้กฎหรือ”

เฉาเป่ยโต้วขมวดคิ้ว สีหน้าอึมครึมเล็กน้อย

“ก็เพราะข้าทำตามกฎ ถึงยอมให้คนอย่างพวกท่านทำลายกฎไม่ได้!”

เด็กหนุ่มชุดผ้าป่านแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา ชี้เฉาจ้งหลินแล้วเอ่ยว่า “กับคนแบบนี้ต้องลงโทษให้หนัก ไม่เช่นนี้จะให้ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดเชื่อมั่นได้อย่างไร”

“กำเริบเสิบสาน!”

ประกายเย็นเยียบวาบผ่านในดวงตาของเฉาเป่ยโต้ว มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิหนุ่มคนนี้ใบหน้าไม่คุ้นเคย ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนของหอแรกนภา

แต่ตอนนี้กลับกล้าบุกเข้ามาเอ่ยวาจาวางโตกับเขา กำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง!

เถาเหลิ่งที่อยู่ข้างๆ เตือนด้วยสีหน้าพิกล “ผู้อาวุโสเฉา นี่คือเสวียนจิ่วอิ้น ลื่อของรองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิง หนึ่งเดือนก่อนถูกรับเข้าสำนักของเรา ตอนนี้เป็นผู้ติดตามคนหนึ่งข้างกายรองหัวหน้าหอเสวียน”

ลื่อของเสวียนเฟยหลิง!

เฉาเป่ยโต้วสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย กล่าวว่า “แค่ผู้ติดตามที่เข้าลัทธิแรกกำเนิดเท่านั้น แม้เป็นลื่อของรองหัวหน้าหอเสวียนก็ไม่อาจทำตัวไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ได้”

เสวียนจิ่วอิ้นกลอกตาใส่ กล่าวว่า “เฒ่าชราอย่างท่านเอ่ยพูดแต่กฎไม่ขาดปาก ท่านก็รักษากฎหน่อยเถอะ เหตุใดต้องปล่อยคนผู้นี้ไปง่ายๆ เช่นนี้ ท่านให้เหตุผลข้าข้อหนึ่ง ไม่เช่นนั้นข้าจะไปถามท่านเทียดว่ากฎของลัทธิแรกกำเนิดตั้งขึ้นอย่างไรกันแน่!”

เฉาเป่ยโต้วเป็นระดับอมตะที่ก้าวสู่ขั้นดับเทพสัมบูรณ์นานแล้ว ว่ากันว่าไม่กี่ปีมานี้ เขาเตรียมจะทะลวง ‘ขั้นหลุดพ้น’ มาโดยตลอด

และตัวเขาก็เป็นผู้อาวุโสหอแรกนภา มีอำนาจในมือ ที่ผ่านมาเคยถูกมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งข่มขวัญเช่นนี้เสียเมื่อไหร่

ชั่วขระหนึ่งใบหน้าหล่อเหลาก็ขรึมเคร่ง กล่าวว่า “เอาฐานะของเทียดมาวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่อายหรือ”

“ข้ามีเทียดเป็นที่พึ่ง เหตุใดต้องอาย” คำตอบของเสวียนจิ่วอิ้นมั่นอกมั่นใจนัก

ทำเอาเถาเหลิ่งมุมปากกระตุกครู่หนึ่ง อุปนิสัยที่เย่อหยิ่งของเจ้าหมอนี่พิเศษเกินไปจริงๆ

ประโยคนี้ทำให้เฉาเป่ยโต้วโมโห พูดอย่างเย็นเยียบ “อำนาจบารมีของเทียดเจ้า ถูกลื่ออกตัญญูอย่างเจ้าทำลายไปหมดแล้ว!”

“ไม่ลำบากท่านเป็นห่วงเรื่องนี้” เสวียนจิ่วอิ้นพูดอย่างไม่ใส่ใจ

เพลิงขนาดใหญ่ลุกโชนในใจเฉาเป่ยโต้วอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ทอดสายตามองไปทั้งหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ศิษย์คนไหนกล้าเย่อหยิ่งและอวดดีอย่างเจ้าหนูนี่

แต่สุดท้ายเขาก็ทนเอาไว้ กล่าวว่า “ผู้ดูแลเถาเหลิ่ง เรื่องนี้เจ้าจัดการตามสมควรเถอะ!”

เขาทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

เขากังวลว่าขืนอยู่ต่อจะหมดความอดทนจนจัดการเสวียนจิ่วอิ้น

กลับเห็นเสวียนจิ่วอิ้นตบไหล่เถาเหลิ่งสบายๆ กล่าวว่า “ผู้ดูแลเถาเหลิ่ง ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องกดดัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าจะช่วยท่านรับเอง”

แม้เถาเหลิ่งเป็นผู้ดูแล แต่ก็เป็นระดับอมตะขั้นดับเทพที่มากประสบการณ์ อุปนิสัยเย็นชา ลงมือแข็งกร้าว ความโด่งดังของชื่อเสียงอันดุดันทำให้ผู้คนพูดถึงแล้วสีหน้าเปลี่ยน

ทว่าตอนนี้เสวียนจิ่วอิ้นกลับมีท่าทีเหมือนเป็นที่พึ่งให้เถาเหลิ่ง ทำเอาสีหน้าของเถาเหลิ่งแปลกพิกลเล็กน้อย ถึงขั้นมีความรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ บนโลกนี้มีคนที่วางอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร

ทว่าใครใช้ให้เขามีเทียดที่ดีคนหนึ่งเล่า

เห็นภาพเหล่านี้ เฉาจ้งหลินที่อยู่ไม่ไกลนักหน้าซัดไป ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

จบสิ้นแล้ว!

……

เรือนเมฆาคลั่ง

นี่คือสถานที่ฝึกปราณของรองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิง

หลังจากกลับมาที่นี่ เสวียนจิ่วอิ้นที่ก่อนหน้านี้อยู่เผชิญกับเฉาเป่ยโต้ว เถาเหลิ่งยังยโสโอหัง เย่อหยิ่งเผด็จการอย่างยิ่ง ตอนนี้งอมืองอเท้า เดินไปทางที่พักของตนอย่างลับๆ ล่อๆ

เพียะ!

ท้ายทอยถูกตบคราหนึ่ง เงาร่างของเสวียนจิ่วอิ้นเซ เกือบจะหน้าทิ่ม

เขาแสยะยิ้มร้องเจ็บ กล่าวว่า “เทียด ลงมือครั้งหน้าเบาหน่อยได้หรือไม่”

“ความรู้สึกของการโอหังเป็นอย่างไร” เสียงที่เบาแผ่วดังขึ้นในความว่างเปล่า

“สะใจ” เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะแฮะ

“ใช้ไม่ได้ หากเจ้าเหมือนอย่างหลินสวินที่สามารถเข้าสู่ลัทธิแรกกำเนิดได้ด้วยความสามารถของตนเอง ให้ข้าเรียกเจ้าว่าเทียด ข้ายังเต็มใจ”

“อย่า หากท่านเรียกข้าว่าเทียดจริง ข้าจะอายุสั้นนะ”

เพียะ!

ท้ายทอยเสวียนจิ่วอิ้นโดนตบอีกที เขาถอนหายใจคราหนึ่ง กล่าวว่า “เทียด หรือก่อนหน้านี้ข้าทำผิด เห็นชัดว่าพวกเขารังแกหลินสวินที่ไม่มีคนอยู่เบื้องหลัง”

“ขอเพียงแค่หลินสวินทำตามกฎ ในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ก็ไม่มีคนกล้าทำร้ายเขาแม้แต่ปลายเล็บ กลับเป็นเจ้าที่ตั้งแต่วันนี้ ห้ามไปจากเรือนเมฆาคลั่งอีกแม้แต่ก้าวเดียว!”

เสวียนจิ่วอิ้นอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นโอดครวญ “เทียด ท่านคิดจะขังข้าไว้ถึงเมื่อไหร่”

“ดูอารมณ์”

“…”

เสวียนจิ่วอิ้นงุนงง ดูอารมณ์หรือ เช่นนี้ก็ได้หรือ

“พี่ใหญ่เสวียน คุณชายตระกูลข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ไกลๆ เงาร่างที่งดงามเงาหนึ่งเดินออกมา ชุดดำดั่งหิมะ ผ้าทองคาดเอว ราวกับเทพธิดามาเยือนโลก

ก็คือจินเทียนเสวียนเยวี่ยนั่นเอง

“เขาดีกว่าข้ามาก”

เสวียนจิ่วอิ้นนึกขึ้นได้ว่าต่อไปตนจะถูกขังอยู่ที่นี่ ก็อดถอนหายใจยาวระลอกหนึ่งไม่ได้

“เช่นนั้นก็ดี”

บนดวงหน้าหยกที่งดงามไร้ที่ติของจินเทียนเสวียนเยวี่ยปรากฏรอยยิ้มจากใจจริง

“ยัยโง่ เจ้าไม่คิดจะให้ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่หรือ” เสวียนจิ่วอิ้นพูด

จินเทียนเสวียนเยวี่ยส่ายหน้า สีหน้าสงบ “ขอเพียงแค่รู้ว่าคุณชายปลอดภัย ในใจข้าก็มั่นคงและเพียงพอแล้ว ไม่กล้าใฝ่ฝันถึงเรื่องอื่นแล้ว”

ในใจเสวียนจิ่วอิ้นเกิดความเวทนาและเพลิงโกรธ กล่าวว่า “เจ้าวางใจได้ สักวันข้าจะให้หลินสวินอ้อนวอนให้เจ้าอยู่ข้างกายเขาด้วยตัวเอง!”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยเม้มปากยิ้ม ไม่ใส่ใจ

ในหลายปีมานี้ เสวียนจิ่วอิ้นเคยพูดเช่นนี้ไม่เพียงแค่ครั้งเดียว ความจริงนางไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้

……

ระหว่างทางที่หวนกลับยอดเขาที่เก้า

หลินสวินกำลังทบทวนเรื่องราวที่ประสบก่อนหน้านี้

สามารถมั่นใจได้ว่า นี่คือการกลั่นแกล้งจากศัตรู

แม้ครั้งนี้ข้าทนได้ แต่หลังจากนี้ การกลั่นแกล้งและท้าทายเช่นนี้ถูกกำหนดให้ยังคงอยู่ และมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งก็หมายความว่า อีกฝ่ายใช้ทุกวิถีทาง ‘หาเรื่อง’ ใช้เรื่องนี้เล่นงานและแก้แค้นตน

แม้ทนครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…จนจับจุดอ่อนได้ ล้มตนได้อย่างสิ้นเชิง!

เพราะฉะนั้นหลินสวินไม่ได้ทน

เขาจำคำพูดของเซียวเหวินหยวนได้แม่น

ทำตามกฎ!

แม้ต่อไปเจอ ‘การหาเรื่อง’ เช่นนี้อีก เขาก็จะไม่ทน แน่นอนว่า เขาจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ ที่จะฝ่าฝืนกฎและทำให้ตนถูกจับจุดอ่อนได้

ในใจหลินสวินเองก็รู้ดีว่า ถึงอย่างไรกฎก็เป็นสิ่งตายตัว อย่างครั้งแรกถ้าไม่ใช่เพราะเจี่ยงเยี่ยแทรกแซง แม้ไปที่หอแรกนภา สิ่งที่รอตนอยู่ ก็คือความไม่ยุติธรรม

ทว่าด้วยสถานการณ์และฐานะในตอนนี้ของเขา กลับจำต้องทำตามกฎ เพราะสำหรับเขาในตอนนี้ กฎก็คือยันต์พิทักษ์ที่ไร้รูป!

“เพียงแค่รับเบี้ยประจำเดือนเท่านั้น ก็กลั่นแกล้งให้ข้าเช่นนี้แล้ว ศัตรูเหล่านี้บ้าไปแล้วจริงๆ…”

หวนกลับยอดเขาที่เก้า มาถึงถ้ำสวรรค์แดนมงคลของตน หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง สลัดความคิดฟุ้งซ่าน

เขาในตอนนี้ ยังไม่มีพลังจะแก้แค้น

เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ ก็ยืนอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดให้มั่นคงโดยเร็ว ค่อยๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของพลังปราณและฐานะเป็นจริงทีละก้าว!

วันนั้นเอง

หอแรกนภามีข่าวเผยแพร่ออกมาว่า เฉาจ้งหลินศิษย์หอแรกมายาใช้ผลประโยชน์ของตำแหน่ง หักเบี้ยประจำเดือนของหลินสวินศิษย์สืบทอดแท้จริงแห่งยอดเขาที่เก้าโดยพลการ ถูกลากไปทำโทษอย่างรุนแรง

ปรับเบี้ยประจำเดือนเฉาจ้งหลินสามปี โบยสามสิบที กักตัวสำนึกในคุกหนึ่งปี!

ข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ภายในสามหอ เบื้องบนและเบื้องล่างเก้ายอดเขาใหญ่ล้วนตื่นตะลึง ดึงดูดเสียงฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วน

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท