Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2714 สมัคร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2714 สมัคร

ตอนที่ 2714 สมัคร

ในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด เรื่องที่ศิษย์ถูกทำโทษเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก

ถึงอย่างไรในขุมอำนาจที่โดดเด่นเช่นนี้ ต่อให้เป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงก็ล้วนเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิชั้นเลิศยากจะในหมื่นคน ใช้เวลาฝึกปราณเนิ่นนาน ใครจะว่างไปทำผิดกฎสร้างความลำบากให้ตนเอง

ดังนั้นเมื่อข่าวที่เฉาจ้งหลินโดนทำโทษเผยแพร่ออกไปจึงทำให้ทุกคนตกใจ

โดยเฉพาะพวกที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่แตกต่างจากเรื่องนี้…

มีคนอยากเล่นงานหลินสวิน แต่ก็มีคนกำลังปกป้องหลินสวิน!

ดูภายนอกเหมือนว่าเฉาจ้งหลินสะดุดไปในการปะทะกับหลินสวินครั้งนี้ แต่ความจริงเบื้องหลังคือเหล่าผู้ยิ่งใหญ่หลังม่านเหล่านั้นกำลังประชันกัน

เห็นชัดมากว่าขุมอำนาจที่พยายามเล่นงานหลินสวินเหล่านั้น ล้วนประสบความพ่ายแพ้ในการประชันกันครั้งแรกนี้!

……

ในถ้ำสวรรค์

หลินสวินกำลังสังเกตแกนเทพอมตะ

นี่เป็นของเหลวเจตะที่เข้มข้นอย่างหนึ่ง เป็นสีขุ่น แผ่กลิ่นอายอมตะที่เข้มข้นบริสุทธิ์ เป็นสมบัติที่จำเป็นต่อการฝึกปราณของระดับอมตะ

สำหรับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ สมบัติเช่นนี้เป็นสมบัติที่เรียกได้ว่าล้ำค่า ใช้สิ่งนี้ฝึกปราณยังเหนือกว่าไปหลอมไอวิญญาณแรกกำเนิด

ยามฝึกปราณตามปกติ หากต้องใช้เวลาหกชั่วยามจึงจะสามารถหลอมชำระมรรควิถีถึงสภาวะสูงสุด

เช่นนั้นการใช้แกนเทพอมตะฝึกปราณก็สามารถร่นเวลาให้เหลือครึ่งชั่วยาม

อีกทั้งหลังจากมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิหลอมแกนเทพอมตะ เท่ากับเป็นการหลอมชำระร่างกายด้วยพลังอมตะ พลังปราณ พลังกายและจิตวิญญาณจะได้รับผลประโยชน์ใหญ่ยิ่ง

ว่ากันว่าหากใช้แกนเทพอมตะหลอมฐานมรรคในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ยามทะลวงสู่ระดับอมตะ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!

นี่จึงจะเป็นคุณค่าหลักของแกนเทพอมตะ

หลินสวินลองหลอมดู ในเวลาสั้นๆ ก็สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์ของแกนเทพอมตะแล้ว และอดหวั่นไหวไม่ได้

‘หนึ่งเดือนแกนเทพอมตะหนึ่งพันชั่ง มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิทั่วไป แต่ละวันสามารถหลอมแกนเทพอมตะได้ประมาณสามสิบชั่ง หนึ่งพันชั่งสามารถตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณได้หนึ่งเดือนพอดี แต่ก็เพียงเท่านี้…’

หลินสวินใคร่ครวญ ‘ด้วยมรรควิถีของข้า หนึ่งวันสามารถหลอมแกนเทพได้ประมาณหนึ่งร้อยชั่ง หากคำนวณเช่นนี้ หนึ่งพันชั่งเพียงพอต่อความต้องการในการฝึกปราณสิบวันเท่านั้น ไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงหนึ่งเดือน’

“ดูท่าจะต้องรีบเป็นศิษย์แกนหลักให้เร็วที่สุด”

เมื่อกลายเป็นศิษย์แกนหลัก ทุกเดือนจะได้รับแกนเทพอมตะสองพันชั่ง เป็นเท่าตัวของศิษย์สืบทอดแท้จริง

ทว่าต่อให้เป็นแกนเทพอมตะสองพันชั่ง ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณหนึ่งเดือนของหลินสวินได้เช่นเดิม

เขาวางแผนว่าหลังจากกลายเป็นศิษย์แกนหลักก็จะไปรับภารกิจของสำนัก!

ผลงานที่ได้มาจากการทำภารกิจสำเร็จ สามารถแลกแกนเทพอมตะได้

อีกทั้งหลินสวินยังไม่ลืมว่าหากอยากเข้าไปอ่านมรดกอมตะที่เขาตำรา หนึ่งในเงื่อนไขก็คือสำเร็จภารกิจเก้าดาราสามชิ้น!

เมื่อรัตติกาลมาเยือน เย่ฉุนจวินมาเยือน

“พี่หลิน ได้ยินว่าเจ้าล่วงเกินผู้อาวุโสเจิ้งเฉียนหรือ” เย่ฉุนจวินกล่าวตรงไปตรงมา

หลินสวินส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้าล่วงเกินเขา แต่เป็นเขาที่กระโดดออกมาล่วงเกินข้าก่อน เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเฒ่านั่นทำตัวแย่แค่ไหน นามอยู่ในเรือนสมบัติสวรรค์ถึงขั้นช่วยผู้ดูแลหอแรกมายาซวีเหวินกดข่มข้า”

พูดถึงตรงนี้ในใจเขากระตุกวูบ “พี่เย่ หรือเจ้าเฒ่านั่นคิดจะเล่นตุกติกอะไรอีก”

เย่ฉุนจวินยิ้มขื่น “เจ้าเดาถูกแล้ว หลังจากผู้อาวุโสเจิ้งเฉียนกลับมาก็ไปฟ้องผู้นำยอดเขา บอกว่าเจ้าไม่เห็นหัวผู้อาวุโส ทำตัวเหลวไหลไร้ระเบียบ หากให้เจ้าอยู่ยอดเขาที่เก้าต่อ สักวันจะต้องก่อเรื่องใหญ่ ทำให้ทั้งบนล่างยอดเขาที่เก้าต้องลำบากไปด้วย”

ประกายเย็นเยียบวาบผ่านในดวงตาหลินสวิน “เขาที่เป็นระดับอมตะคนหนึ่ง กลับโบ้ยความผิดให้ผู้อื่นเหมือนอันธพาล จะต่ำช้าเกินไปแล้ว! ผู้นำยอดเขาว่าอย่างไรบ้าง”

เย่ฉุนจวินกล่าว “ผู้นำยอดเขาพูดเพียงว่า หอแรกนภาตัดสินออกมาแล้ว พี่หลินไม่มีความผิด แต่เห็นชัดว่าผู้อาวุโสเจิ้งเฉียนจะไม่หยุดแค่นี้”

หลินสวินเอ่ย “พี่เย่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ใช้วิธีอะไรจึงจะสามารถลงโทษผู้อาวุโสอย่างเจิ้งเฉียน”

เย่ฉุนจวินตกใจกล่าวว่า “พี่หลิน เจ้าอย่าวู่วามเชียว ผู้อาวุโสเจิ้งเฉียนเป็นระดับอมตะ ในมือกุมอำนาจอยู่ ต่อให้เป็นผู้นำยอดเขาก็ทำได้เพียงกล่าวโทษเขา ไม่อาจขับไล่ผู้อาวุโสเจิ้งเฉียนออกจากยอดเขาที่เก้าได้อย่างแท้จริง เจ้าเพิ่งเข้าสำนักมา ไปปะทะกับผู้อาวุโสเจิ้งเฉียนตอนนี้เป็นการกระทำที่โง่เขลา”

หลินสวินยิ้มกล่าว “ข้าเพียงถามดูเท่านั้น จะโง่ถึงขั้นไปหาเรื่องเจิ้งเฉียนตอนนี้ได้อย่างไร”

เย่ฉุนจวินโล่งอก เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี จากที่ข้าดู ด้วยรากฐานและมรรควิถีของพี่หลิน ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้เป็นศิษย์แกนหลักสักนิด และขอเพียงเป็นศิษย์แกนหลัก ก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการถกมรรคของเก้ายอดเขา…”

“จริงสิ อีกสิบสามปีการถกมรรคเก้ายอดเขาที่จัดขึ้นทุกพันปีจะเริ่มขึ้น หากนับเช่นนี้ สิบปีให้หลังพี่หลินย่อมสามารถเลื่อนขั้นเป็นศิษย์แกนหลักได้อย่างราบรื่น และอีกสามปีก็สามารถเข้าร่วมการถกมรรคเก้ายอดเขาได้แล้ว”

“ขอเพียงแค่อยู่สิบอันดับแรกของการถกมรรคเก้ายอดเขา ก็จะได้รับการให้ความสำคัญจากสำนัก ทางสำนักจะมอบทรัพยากรฝึกปราณจำนวนมากเพื่อช่วยให้ศิษย์สิบอันดับแรกได้ทะลวงมรรคอมตะ”

พูดถึงตรงนี้เย่ฉุนจวินอดยิ้มพูดไม่ได้ “การถกมรรคเก้ายอดเขาในอีกสิบสามปี ด้วยพลังต่อสู้ของพี่หลิน ย่อมสามารถสร้างชื่อให้ยอดเขาที่เก้าของพวกเราได้!”

หลินสวินไม่สนใจการถกมรรคเก้ายอดเขา และเขาก็จะไม่รอกลายเป็นศิษย์แกนหลักในการทดสอบอีกสิบปีข้างหน้า

“พี่เย่ พูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าตั้งใจจะไปเข้าร่วมการทดสอบที่หอแรกพิสุทธิ์” หลินสวินกล่าว

เย่ฉุนจวินอึ้ง “การทดสอบอะไร”

“การทดสอบเลื่อนขั้นเป็นศิษย์แกนหลัก”

เย่ฉุนจวินสูดหายใจสะท้านโดยพลัน เอ่ยว่า “เส้นทางนี้ไม่ใช้เดินได้ง่ายๆ ศัตรูของพี่หลินมากขนาดนั้น หากพวกเขารู้ว่าเจ้าเลือกวิธีเช่นนี้ จะต้องส่งผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดมาขวางเจ้าแน่”

หลินสวินยิ้มกล่าว “พี่เย่คิดว่าข้าจะใส่ใจหรือ”

เย่ฉุนจวินสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา นึกถึงความสามารถที่หลินสวินเผยออกมาในการทดสอบเข้าสำนักทั้งสามรอบ และนึกถึงลี่จงหย่วนที่ถูกหลินสวินเอาชนะ…

เช้าวันถัดมา

เขาแรกพิสุทธิ์ เรือนยุทธ์สวรรค์

นี่คือสถานที่สำหรับจัดการเรื่องการคัดเลือกและทดสอบของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด มีหอแรกพิสุทธิ์เป็นผู้ดูแล

ตอนที่หลินสวินไปถึง ในเรือนยุทธ์สวรรค์เงียบเหงามาก

หรือพูดอีกอย่างว่า ในสถานการณ์ทั่วไปเรือนยุทธ์สวรรค์เงียบเหงามาโดยตลอด นอกจากมีการทดสอบหรือคัดเลือกจึงจะคึกคักมาก

แน่นอนว่าเงียบเหงาไม่ได้หมายความว่าไม่มีอำนาจ

หอแรกพิสุทธิ์กุมอำนาจการแต่งตั้งบุคลากร การเลื่อนขั้นและถอดถอนผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ การทดสอบของผู้นำยอดเขาและผู้อาวุโส ล้วนมีหอแรกพิสุทธิ์เป็นผู้ควบคุมดูแล

ถึงขั้นที่หากต้องการเป็นผู้สืบทอดสามหอ ก็จะต้องให้หอแรกพิสุทธิ์คัดเลือก!

“หลินสวิน!”

ยามเห็นหลินสวินมาเยือน ผู้สืบทอดหอแรกพิสุทธิ์คนหนึ่งในเรือนยุทธ์สวรรค์อดประหลาดใจไม่ได้ นี่เป็นชายสวมชุดขาว บุคลิกสง่าราวกับบัณฑิตคนหนึ่ง

เขานามว่าไฉจวิน เป็นผู้สืบทอดหอแรกพิสุทธิ์

ไฉจวินในตอนนี้ประหลาดใจมาก เรื่องที่เกิดขึ้นในหอแรกมายาเมื่อวานยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดในลัทธิแรกกำเนิด และในวันต่อมาหลินสวินก็ปรากฏตัวในอาณาเขตของหอแรกพิสุทธิ์แล้ว

นี่เขามาทำอะไร

หลินสวินหยิบป้ายคำสั่งสำนักออกมา ประสานหมัดกล่าว “ข้าอยากทำการทดสอบเลื่อนขั้นเป็นศิษย์แกนหลัก ขอศิษย์พี่ช่วยดำเนินการให้ข้าด้วย”

ไฉจวินนั่งไม่ติดทันที พูดอย่างยากจะเชื่อ “ศิษย์น้อง เขาเพิ่งเข้าสำนักไม่กี่วัน เหตุใดจึงอยากเป็นผู้สืบทอดแกนหลักแล้ว”

เขาสงบใจลงแล้วยิ้มกล่าว “เอ้อ เจ้าอย่าโทษที่ข้าแปลกใจ ข้าแค่ไม่เคยเห็นคนมาขอทดสอบเช่นนี้นานแล้ว อืม… เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

หลินสวินพยักหน้า

เห็นหลินสวินที่สีหน้าสงบนิ่งราบเรียบ ไฉจวินอดกล่าวเตือนไม่ได้ “ในเกือบหมื่นปีมานี้ มีศิษย์สืบทอดแท้จริงเพียงคนเดียวที่ผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น ส่วนศิษย์สืบทอดแท้จริงคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการทดสอบ ล้วนจบลงด้วยความพ่ายแพ้โดยไม่มีข้อยกเว้น ศิษย์น้องหลินเจ้า… ยืนยันจะทำการทดสอบจริงๆ หรือ”

หลินสวินยิ้มพูด “แน่นอน”

ไฉจวินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “การดำเนินการทดสอบเช่นนี้ หากพ่ายแพ้ก็หมายความว่า อย่างน้อยในพันปีศิษย์น้องจะไม่มีโอกาสทำการทดสอบเป็นครั้งที่สอง เจ้าเข้าใจหรือไม่”

หลินสวินพยักหน้า

เห็นเช่นนี้ไฉจวินก็ไม่เกลี้ยกล่อมอีก เขาดูออกว่าหลินสวินจะไม่เปลี่ยนใจ

“ศิษย์น้อง เจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปรายงานผู้ดูแลที่รับผิดชอบเรื่องการทดสอบโดยเฉพาะ”

ไฉจวินจากไปอย่างเร่งรีบ

ไม่นานไฉจวินก็เดินกลับมาพร้อมชายชุดเทาที่รูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าเย็นชาคนหนึ่ง

ไฉจวินแนะนำ “ศิษย์น้องหลินสวิน ท่านนี้คือผู้ดูแลจวงซื่อหลิว ได้ยินว่าเจ้าจะขอทำการทดสอบจึงมาพบเจ้าด้วยตนเอง”

จวงซื่อหลิว!

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย

คนผู้นี้คือผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจวงแห่งแดนมงคลไผ่เขียว หลินสวินจะลืมชื่อนี้ได้อย่างไร

“ไฉจวิน เจ้าถอยไปก่อน”

จวงซื่อหลิวเอ่ยปาก จนกระทั่งเงาร่างของไฉจวินหายไปในเรือนยุทธ์สวรรค์ เขาถึงกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ข้าเคยได้ยินคนในตระกูลพูดถึงเจ้า ตอนนี้ข้าขอถามเพียงว่า จวงซิวอู่ที่ถูกเจ้าและจวินหวนจับตัวไปเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

หลินสวินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ผู้ดูแลจวง ข้ามาขอทำการทดสอบ เรื่องอื่นๆ ไม่อยากพูดมาก”

จวงซื่อหลิวสีหน้าอึมครึม อานุภาพน่าสะพรึงกระจายออกมาทั้งตัว

หลินสวินไม่สะทกสะท้าน ไร้ซึ่งความไหวหวั่น

ที่นี่คือหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ต่อให้จวงซื่อหลิวเป็นผู้ดูแลหอแรกพิสุทธิ์ ต่อให้เป็นระดับอมตะ ก็ไม่กล้าทำตามอำเภอใจ

เห็นหลินสวินไม่สนทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเช่นนี้ จวงซื่อหลิวอดทนข่มความโกรธในใจ เอ่ยพูดเสียงต่ำลึก “เจ้าหนุ่ม อย่าคิดว่าเข้ามาในลัทธิแรกกำเนิดแล้วจะไร้กังวล!”

หลินสวินกล่าว “นี่ท่านกำลังขู่ข้าหรือ”

จวงซื่อหลิวแค่นเสียงเย็น “คนที่อยากฆ่าเจ้ามากขนาดนั้น ต่อให้ไม่เพิ่มข้าเข้าไปด้วย ข้าอยากดูนักว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเจ้าจะกระโดดโลดเต้นได้ถึงเมื่อไหร่”

หลินสวินยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างดี ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งจะไปรับแดนมงคลไผ่เขียวกลับมา จัดการพวกตระกูลจวงที่ไม่รู้บุญคุณ ตอบแทนคุณด้วยึวามแค้นให้สิ้นซาก”

จวงซื่อหลิวสีหน้ายิ่งอึมครึมกว่าเดิม จับจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าจะทำการทดสอบไม่ใช่หรือ ย่อมได้ อีกสามวันเจ้าค่อยมาที่เขาแรกพิสุทธิ์อีกครั้ง ข้าจะจัดการทดสอบครั้งนี้ให้เจ้าด้วยตัวเอง เจ้าอย่าแพ้จนน่าเกลียดเกินไปจะดีที่สุด!”

พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

“ผู้ดูแลจวง ในฐานะผู้ดูแลหลัก หากท่านกล้าทำเรื่องผิดกฎบางอย่าง ระวังจะซ้ำรอยเฉาจ้งหลิน” หลินสวินกล่าวเสียงกังวาน

เงาร่างของจวงซื่อหลิวที่อยู่ไกลๆ ชะงักไป แค่นเสียงเย็นชาแล้วจากไป

วันนั้นข่าวเรื่องที่หลินสวินจะทำการทดสอบในหอแรกพิสุทธิ์ก็กระจายออกไป เรียกคลื่นครั้งใหญ่ในเก้ายอดเขาใหญ่

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท