Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2728 ทั้งสำนักล้วนป่าเถื่อน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2728 ทั้งสำนักล้วนป่าเถื่อน

ตอนที่ 2728 ทั้งสำนักล้วนป่าเถื่อน

หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด!

หลินสวินผงะในใจวูบหนึ่ง

เรือรบกระดูกเทพลำนั้นใหญ่มาก ถูกแสงมรรคชั้นหนึ่งห่อหุ้มไว้ ทำให้มันดูลึกลับหาใดเปรียบ เหมือนยานสมบัติโลกเทพลำหนึ่งที่ขับเคลื่อนมาจากแดนแรกกำเนิด

บนเรือรบมีชายหญิงรูปร่างเหมือนหนุ่มสาวสองสามคน ทั้งหมดล้วนท่าทางโดดเด่น แต่ละคนต่างนัยน์ตาเฉียบคม บนตัวล้วนมีแสงมรรคอบอวล ดูแล้วน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง

ไม่ว่าชายหญิง บนตัวพวกเขาล้วนมีท่วงทำนองกระหายเลือดอย่างหนึ่ง กร้าวแกร่งดุดัน แต่ละคนราวกับราชันที่ผงาดจากภูเขาศพทะเลเลือด แค่มองก็รู้ว่าเป็นพวกร้ายกาจที่ผ่านการนองเลือดมามาก

‘อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม’

โม่หลันซานสีหน้าราบเรียบ สื่อจิตเตือนหลินสวิน

หลินสวินพยักหน้า

เขาเพิ่งเคยเจอผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดเป็นครั้งแรก

หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดเก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง มองว่าพลังคือสิ่งที่อยู่สูงสุด ยกย่องเทิดทูนพลัง ผู้สืบทอดสำนักแต่ละคนล้วนแข็งกร้าวดุดันหาใดเปรียบ พลังต่อสู้สะเทือนใต้หล้า

หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดไม่เหมือนลัทธิแรกกำเนิด มีความลึกลับกว่า มรดกสำนักล้วนเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘พลัง’ เน้น ‘พลัง’ ไม่เน้น ‘ใจ’

พวกเขาไม่สนมารยาท ไม่มองกฎเกณฑ์ ไม่เคารพเทพผี ใช้พลังแบ่งสูงต่ำ มองการต่อสู้เป็นสิ่งสำคัญในการฝึกปราณ

ถึงขั้นว่าในสายตาของลัทธิแรกกำเนิดและลัทธิวิญญาณ ทั้งลัทธิพ่อมดล้วนเหมือน ‘คนเถื่อน’

ทัศนคติส่วนทัศนคติ ในโลกยอดนิรันดร์ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธความแข็งแกร่งและน่ากลัวของลัทธิพ่อมดได้

และในสี่หอบรรพจารย์ หากพูดถึงพลังต่อสู้ ลัทธิพ่อมดก็มีชื่อเสียงที่สุด

เรือรบกระดูกเทพมาถึงริมทะเลสาบ

“ดูท่าพลังระเบียบที่นี่จะถูกคนชิงไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว”

ชายสวมชุดหนังสัตว์ โครงร่างหยาบใหญ่ ท่าทางกร้าวแกร่งคนหนึ่งกล่าวเย็นชา สายตาจ้องมองหลินสวินกับโม่หลันซานที่อยู่ห่างไป

พร้อมกันนี้หนุ่มสาวคนอื่นบนเรือรบก็เหลือบสายตามองมา

“ระดับอมตะขั้นดับเทพคนหนึ่ง ระดับมกุฎบรรพจารย์อีกคน ดูเหมือนว่ามาจากขุมอำนาจใหญ่สักแห่งเช่นกัน”

“ฮึ แย่งของที่พวกเราหมายตาไป ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องส่งมา!”

สายตาชายหญิงเหล่านี้กำเริบเสิบสาน ยามสนทนาท่าทีที่เผยออกมายังแข็งกร้าวเป็นอย่างยิ่ง

ต่อให้รู้ว่าโม่หลันซานเป็นระดับอมตะขั้นดับเทพก็ไม่สำรวมแม้แต่น้อย แต่ละคนแววตาเยียบเย็น แฝงความกระหายเลือดที่อยู่ในที

นี่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้ว ผู้สืบทอดของลัทธิพ่อมดเหมือนคนเถื่อนจริงดังคาด ป่าเถื่อนแข็งกร้าว ไม่หวาดกลัวสิ่งใด

แต่พอนึกว่าสำนักของพวกเขาไม่ยกย่องฟ้าดิน ไม่เคารพเทพผี ไม่สนมารยาท ศรัทธาและเลื่อมใสแค่พลัง จะแสดงออกเช่นนี้ก็ไม่ทำให้คนผิดคาด

เห็นชัดว่าโม่หลันซานก็รู้นิสัยของผู้สืบทอดลัทธิพ่อมด เขาจึงไม่ได้เอาความ สายตามองห้องโดยสารที่ปิดสนิทนั้นแล้วเอ่ยปากเสียงขรึม “ผู้อาวุโสยอดเขาที่เก้าแห่งลัทธิแรกกำเนิดโม่หลันซาน คารวะสหายลัทธิพ่อมด ไม่ทราบว่าคนที่พาศิษย์ออกเดินทางมาครั้งนี้เป็นสหายยุทธ์ท่านไหน”

ลัทธิแรกกำเนิด!

เพียงชั่วขณะแววตาของเหล่าหนุ่มสาวลัทธิพ่อมดนั้นเปลี่ยนไปทันที เจือความกระจ่างใจ ทั้งแฝงจิตต่อสู้ที่คล้ายอยากรู้อยากลองเสี้ยวหนึ่ง

พวกเขาล้วนเคลื่อนสายตาจากโม่หลันซานมาทางหลินสวิน พินิจพิเคราะห์อย่างกำเริบเสิบสาน ราวกับสำรวจเหยื่อตัวหนึ่ง

ในใจหลินสวินไม่ชอบใจขึ้นมาทันที หรือคนพวกนี้อยากสู้กับตนสักตั้ง

“ไม่เจอกันนานนะ สหายยุทธ์โม่”

ในห้องโดยสารที่ปิดสนิทของเรือรบกระดูกเทพมีเสียงแหบชราหนึ่งดังออกมา

จากนั้นประตูห้องโดยสารจึงเปิดออก ผู้อาวุโสคนหนึ่งก้าวออกมา ดูแก่ชราอย่างยิ่ง ผมร่วงแทบหมดหัว เต็มไปด้วยริ้วรอย เหมือนกระดาษถูกขยำเป็นก้อน

แต่เขากลับดูกระชุ่มกระชวย นัยน์ตาดุจโคมทอง ภายในร่างหล่อเลี้ยงพลังชีวิตชวนตะลึง แข็งแกร่งอย่างมาก

อีกทั้งนี่ยังเป็นผลจากการที่เขาตั้งใจเก็บงำพลังขับเคลื่อน ไม่อย่างนั้นเมื่อคลื่นพลังที่แท้จริงของเขาแผ่ออกมา เกรงว่าคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดคงกระอักเลือดล้มลงกับพื้นเพราะยากจะแบกรับเป็นแน่

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย บนตัวชายชราท่าทางเชื่องช้าคนนี้มีกลิ่นอายน่าอันตรายยิ่งยวด ไม่มีทางด้อยกว่าผู้อาวุโสโม่หลันซานแน่

“ที่แท้ก็เป็นพี่เหมิง”

นัยน์ตาโม่หลันซานหดรัดเล็กน้อย จากนั้นก็กลับสู่ความราบเรียบ

แต่ข้างหูหลินสวินกลับมีเสียงสื่อจิตของโม่หลันซานดังขึ้น ‘เจ้าเฒ่านี่ชื่อเหมิงซาน เป็นผู้อาวุโสสายพ่อมดอสนี หนึ่งในลัทธิพ่อมดสิบสองสาย แม้ฐานะเท่าข้า แต่พลังต่อสู้กลับดุดันน่ากลัวยิ่ง ทว่าเจ้าไม่ต้องตื่นตระหนก มีข้าอยู่’

ในใจหลินสวินเครียดขมึง

เขาฟังความตื่นตัวระแวดระวังที่คล้ายมีคล้ายไม่มีในน้ำเสียงของโม่หลันซานออก

แต่คำว่า ‘มีข้าอยู่’ จากปากโม่หลันซานก็ทำให้หลินสวินรู้สึกได้ถึงความมั่นคงอย่างบอกไม่ถูก สภาวะจิตก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบเช่นกัน

“หึๆ ในเมื่อทุกคนต่างรู้จักกัน เช่นนั้นก็พูดง่ายแล้ว”

เหมิงซานที่ริ้วรอยเต็มหน้า ผมบางประปราย ร่างสั่นงันงกถือไม้เท้ามาถึงหัวยาน พูดเสียงแหบพร่า “เฒ่าชราอย่างข้ามาครานี้ก็เพื่อให้เหล่าเด็กๆ พวกนี้ได้ฝึกประสบการณ์ และถือโอกาสกำราบพลังระเบียบ แต่ดูเหมือนว่าพลังระเบียบนี้คงถูกสหายยุทธ์โม่เก็บไปแล้วกระมัง”

โม่หลันซานกล่าว “ไม่ผิด”

“เก็บไปแล้วอย่างไร ขอแค่คนไม่ไป พลังระเบียบนี้ก็ยังไม่ใช่ของพวกเจ้าลัทธิแรกกำเนิด!”

ชายร่างผอมบางที่ผิวราวหล่อจากสำริดเหลว เปลือยท่อนบน กลิ่นอายแกร่งกร้าวคนหนึ่งกล่าวเย็นชา

นี่ดูไม่ให้ความเคารพนัก แววท้าทายเต็มเปี่ยม

เหมิงซานตำหนิ “อย่าเสียมารยาท”

ชายร่างผอมบางกล่าวอย่างไม่สนใจ “ผู้อาวุโสเหมิง มารยาทของพวกเราลัทธิพ่อมดก็คือศักยภาพ เรื่องอื่นล้วนเป็นเพียงมายา”

ชายหญิงคนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่รู้สึกว่าแปลกเท่าไหร่

เหมิงซานหัวเราะหึพลางกล่าวกับโม่หลันซาน “สหายยุทธ์โม่โปรดอย่าถือสา นิสัยของผู้สืบทอดลัทธิพ่อมดข้าเป็นเช่นนี้มาตลอดจริงๆ”

คำพูดเจือความหยิ่งทะนงอยู่รางๆ

โม่หลันซานกล่าวเรียบๆ “ตอนเด็กใครไม่เป็นเช่นนี้บ้าง คนรุ่นหลังมีแรงขับเคลื่อนและเลือดร้อน ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร”

“เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว ข้าไม่เคยรู้สึกดีกับลัทธิแรกกำเนิดของพวกเจ้า รีบส่งพลังระเบียบมา!”

ชายร่างผอมบางคนนั้นตวาด

ไม่รอให้โม่หลันซานเอ่ยปาก หลินสวินก็กล่าวอย่างเย็นชาแล้ว “ยังกล้าถามหาพลังระเบียบอีก ไม่ดูเลยว่าเจ้านับเป็นตัวอะไร! ในลัทธิพ่อมดของพวกเจ้า พวกเจ้าจะกร่างอย่างไรก็ได้ แต่ที่นี่ไม่ใช่ลัทธิพ่อมด!”

ท่าทางของผู้สืบทอดลัทธิพ่อมดพวกนี้กำเริบเสิบสานถึงขีดสุดจริงๆ แม้แต่ระดับอมตะขั้นดับเทพอย่างโม่หลันซานยังไม่อยู่ในสายตา เหิมเกริมอะไรปานนี้

สิ่งที่ทำให้หลินสวินคิดไม่ถึงคือ คำพูดนี้ของเขาไม่ทำให้ผู้สืบทอดลัทธิพ่อมดพวกนั้นบันดาลโทสะ กลับทำให้พวกเขาหัวเราะขึ้นมา

“ฮ่าๆ เจ้าตัวจ้อยนี่ไม่เชื่องเสียด้วย”

“กล้าพูดกับพวกเราเช่นนี้ ความกล้าต้องมากกว่าคนทั่วไปแน่ ก็ไม่รู้ว่าความสามารถเป็นอย่างไร”

“นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้จุดจบของการล่วงเกินพวกเรา”

คำพูดพวกนี้ยังจองหองและตรงไปตรงมาเหมือนเดิม ใครได้ยินเข้าคงไม่ชอบใจนัก

ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจว่าทำไมลัทธิแรกกำเนิดถึงมองลัทธิพ่อมดทั้งสำนักเป็นคนเถื่อน

คนพวกนี้ไม่สนกฎเกณฑ์ ไม่หวาดกลัวสิ่งใดโดยแท้!

‘อย่าหาความกับพวกเขา ทั้งหนุ่มแก่ของลัทธิพ่อมดล้วนเหมือนกัน เป็นเช่นนี้มาตลอด พวกเขาแค่เชิดชูในพลัง สร้างชื่อจากความป่าเถื่อน’ โม่หลันซานสื่อจิต

หลินสวินสื่อจิตกล่าว ‘ผู้อาวุโส เรื่องในวันนี้ผิดปกติอยู่บ้าง จากมุมมองของข้า ต่อให้พวกเราอดทน พวกเขาก็ไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวแค่นี้แน่ มิสู้ให้ข้าออกตัวจัดการพวกเขาดีกว่า’

เขาพูดพลางกวาดตามองผู้สืบทอดลัทธิพ่อมดพวกนั้นแล้วกล่าวเรียบๆ “ต้องการพลังระเบียบก็ได้ ส่งคนมาสู้กับข้าสักรอบ หากข้าแพ้จะมอบพลังระเบียบให้ หากข้าชนะ พวกเจ้ารีบหายไปจากสายตาข้าจะดีที่สุด!”

วาจาคล้ายไม่ใส่ใจ แต่กลับแข็งกร้าวหาใดเปรียบ เท่ากับเป็นการประกาศศึก!

ผู้สืบทอดลัทธิพ่อมดพวกนั้นล้วนอึ้งงัน

ผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

จากนั้นทั้งตัวพวกเขาล้วนมีจิตต่อสู้โหมกระหน่ำแผ่ออกมา กระเหี้ยนกระหือรือ แววตาที่มองมาทางหลินสวินแฝงความเพลิดเพลินและเยียบเย็น

“ในเมื่อเป็นการต่อสู้ เจ้ากล้าตัดสินเป็นตายหรือไม่” ชายร่างผอมบางนั้นตวาด

โม่หลันซานขมวดคิ้ว อยากจะพูดแต่ก็หยุดปากไว้

เป็นอย่างที่หลินสวินกล่าวก่อนหน้านี้ เขาก็มองออกว่าเรื่องในวันนี้ไม่อาจปรองดองได้แล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้หลินสวินลงมือมอบบทเรียนแก่อีกฝ่ายอย่างหนักก็ดี

ตั้งแต่ต้นจนจบเหมิงซานไม่พูดอะไรอีก เขายิ้มพลางมองทุกอย่างนี้

“อยากตัดสินเป็นตายก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะมีคนเข้ามาสอดมือหรือไม่”

หลินสวินพูดพลางเหลือบสายตามองเหมิงซานเล็กน้อย

ชายร่างผอมบางสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเหมิง ประเดี๋ยวยามต่อสู้ ไม่ว่าเป็นหรือตายขอท่านอย่าแทรกแซง!”

เหมิงซานหรี่ตาลงแล้วกล่าว “สหายยุทธ์โม่คิดว่าแบบนี้เป็นอย่างไร”

โม่หลันซานกล่าวราบเรียบ “ไม่ตัดสินเป็นตายจะดีกว่า แน่นอนว่าหากต้องตัดสินเป็นตายจริง ข้าก็ไม่ขวางหรือแทรกแซง”

เหมิงซานร้องอ้อคราหนึ่งพลางกล่าว “ก็ดี ระหว่างพวกเราผู้สืบทอดสองหอบรรพจารย์ ไม่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มานานแล้ว ในเมื่อเจอกันที่นี่ก็ไม่ควรพลาดโอกาสนี้ เอาอย่างนี้ อีกเดี๋ยวยามต่อสู้ห้ามใช้พลังระเบียบแล้วกัน”

ชายร่างผอมบางหัวเราะเยาะขึ้นมา “ข้าไม่มีปัญหา แต่ห่วงว่าหากไม่มีพลังระเบียบ เกรงว่าสหายลัทธิแรกกำเนิดคนนี้คงตายอนาถ”

ชายหญิงใกล้เคียงพลันหัวเราะขึ้นมา

หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “จำประโยคนี้ของเจ้าไว้”

ชายร่างผอมบางไม่พูดมากอีก หรือกล่าวได้ว่าเขาเก็บกลั้นจิตต่อสู้และไอสังหารในใจไว้ไม่อยู่แล้ว พุ่งออกมาจากเรือรบนั่นทันที

“ก่อนเจ้าจะตาย จำชื่อของข้าไว้ เหยียนถู!”

ชายร่างผอมบางเอ่ยปากเนิบช้า เขาแบกทวนศึกเปี่ยมไอสังหารเล่มหนึ่ง มือถือคันธนูกระดูกสัตว์ หยิบศรสำริดดอกหนึ่งออกมาจากซองธนู

แววตาเขาดุจดาวทองสองดวง นัยน์ตากลายเป็นเลขสิบ (十) ส่องประกายดุจคมกระบี่ ใบหน้าตอบคมคาย มีบุคลิกหนักแน่นและป่าเถื่อน อ้าปากเปล่งเสียงออกมา

“ไป!”

ซูม!

ศรสำริดดอกหนึ่งพุ่งมา กรีดแหวกห้วงอากาศจนแตกระเบิด เจือกลิ่นอายเรียบง่าย ทั้งมี ‘อานุภาพ’ ที่ไม่อาจต้านอย่างหนึ่ง เพียงชั่วขณะก็พุ่งมาเบื้องหน้า

เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งอหังการหาใดเปรียบ

หลินสวินตบฝ่ามือออกไป ศรสำริดที่พุ่งมานี้พลันโคจรคลาดเคลื่อนทันที พุ่งไปข้างตัวหลินสวิน

ตึง!

ห่างไปไม่ไกลภูเขาเทพมหึมาลูกหนึ่งถูกศรเดียวพุ่งใส่จนระเบิดกระจุยทันใด กลายเป็นเถ้าธุลี

“เอ๋ เจ้าหมอนี่น่าสนใจอยู่บ้าง ถึงขั้นหลบศรนี้ของข้าได้” กลางอากาศมีเสียงแปลกใจของเหยียนถูดังขึ้น

แม้จะพูดเช่นนี้การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ช้า ยิงธนูออกไปโดยไม่ลังเล ลูกศรดุจสายรุ้งทะลวงฟ้าดิน คมกริบเด็ดขาด

ทั้งครั้งนี้เขายังใช้พลังทั้งหมด ศรเทพดุจสายรุ้ง ศรสำริดแต่ละดอกล้วนส่งเสียงครวญคร่ำ สะเทือนท้องนภาจนแหลกละเอียด ล้วนเป็นสมบัติเทพลึกลับที่ยากพบเห็น

“เหยียนถูฆ่าเขาเลย จัดการผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิด มีเพียงกำราบเขา ลัทธิพ่อมดของเราจึงยิ่งร้ายกาจ!”

“ใช้ศรเทพยิงสังหาร ระเบิดร่างเขาเป็นบุปผาโลหิต!”

พวกพ้องของเขากำลังตะโกนลั่น เสริมอานุภาพให้เขา

………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท