Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2732 สร้างพันธมิตร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2732 สร้างพันธมิตร

ตอนที่ 2732 สร้างพันธมิตร

หอแรกนภา

หัวหน้าหอเหยียนจี้

รองหัวหน้าหอสามคน ได้แก่เสวียนเฟยหลิง ฝูเหวินหลี และฉีเซียวอวิ๋น

ในกลุ่มนี้ฝูเหวินหลีกับฉีเซียวอวิ๋นมาจากยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดตระกูลฝูและตระกูลฉี

ใต้รองหัวหน้าหอทั้งสาม มีผู้อาวุโสทั้งสิ้นเก้าคน

และต่ำลงไปอีกก็มีผู้ดูแลสิบสองคน รองผู้ดูแลยี่สิบสี่คน กับศิษย์สามสิบหกคน

เถาเหลิ่งก็คือหนึ่งในผู้ดูแลสิบสองคน

อาณาบริเวณของหอแรกนภาตั้งอยู่บนเขาแรกนภา เป็นหนึ่งในสามยอดเขาใหญ่ของแดนแรกเริ่ม อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเป็นที่สุด ขึ้นชื่อว่ามีสามร้อยหกถ้ำสวรรค์แดนมงคล ห่างไกลเงียบสงบ

ตอนนี้หัวหน้าหอเหยียนจี้เหลือแต่พลังจิต ปิดด่านมานานปี ธุระในหอแรกนภามีรองหัวหน้าหอทั้งสามร่วมกันดูแล

“นี่ก็คือถ้ำสวรรค์แดนมงคลของเจ้า รู้สึกอย่างไร”

เถาเหลิ่งพาหลินสวินมาที่ไหล่เขาเขาแรกนภา ที่นี่ไม้โบราณสูงต่ำลดหลั่น ธารน้ำตกไหลเชี่ยว เงียบสงบละโลกีย์

หากเทียบกับยอดเขาที่เก้า ถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่นี่ล้ำเลิศกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย หลินสวินยังรู้สึกได้ว่าในห้วงอากาศมีกลิ่นอายอมตะอบอวล พาให้จิตใจปลอดโปร่ง

“เป็นที่ที่ดี”

หลินสวินพยักหน้า

เถาเหลิ่งส่งป้ายคำสั่งสำนักใหม่ให้หลินสวิน “นี่เป็นป้ายสำนักของเจ้า ภายหน้าเบี้ยประจำเดือนแต่ละเดือนจะมีคนมาส่งให้เองถึงที่”

หลินสวินประหลาดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

บางทีนี่อาจเป็นสิทธิประโยชน์ที่ศิษย์สามหอจะได้รับ

หากอยู่ในเก้ายอดเขาใหญ่ ต่อให้เป็นศิษย์แกนหลักก็ทำได้เพียงไปรับเบี้ยประจำเดือนจากหอแรกมายาเองในแต่ละเดือน

“เจ้าเป็นคนใหม่ ทำความคุ้นเคยกับหอแรกนภาสักพักก่อน ภายหน้าค่อยจัดหาหน้าที่ให้เจ้า”

เถาเหลิ่งกำชับเสร็จ ขณะกำลังจะจากไปจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยขึ้นว่า “หอแรกนภาของพวกเราดูแลเรื่องกฎและการลงโทษ ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบเป็นที่สุด แต่เจ้าก็ควรจำไว้คำหนึ่งว่า กฎมิได้ห้ามย่อมทำได้”

พูดจบก็หันหลังจากไป

‘กฎมิได้ห้ามย่อมทำได้…’ หลินสวินตั้งใจขบคิด พอจะเข้าใจอยู่รางๆ แล้ว

เขาเดินเข้าไปในถ้ำสวรรค์แดนมงคลของตน

ภายในถ้ำสวรรค์แดนมงคลมีทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง มีของจำพวกตะเกียงหอม โต๊ะเตี้ย เบาะรองนั่ง ตู้ตำราวางประดับอยู่ นอกจากนี้ยังมีเรือนหลอมยา เรือนหลอมอาวุธ สวนโอสถโดยเฉพาะ…

ถึงกับยังมีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่เตรียมไว้เพื่อการหลอมโดยเฉพาะแห่งหนึ่ง ของเหลววิญญาณพวยพุ่งออกมา ภายในมีกลิ่นอายแรกกำเนิดที่เก่าแก่ดึกดำบรรพ์เป็นที่สุด รวมทั้งพลังของแกนเทพอมตะเป็นสายๆ

นี่ทำให้หลินสวินยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้

สิทธิประโยชน์ของศิษย์สามหอสูงผิดธรรมดาดังคาด

หลินสวินนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะรองนั่งที่อยู่ด้านหนึ่งของน้ำพุวิญญาณ นำม้วนหยกที่เถาเหลิ่งมอบให้ออกมา

ในม้วนหยกบันทึกเรื่องที่เกี่ยวกับหอแรกนภาเอาไว้

‘เบี้ยประจำเดือนของศิษย์มีแกนเทพอมตะหกพันจิน เจตวัตถุอมตะสามร้อยชั่ง แต่ละเดือนมีโอกาสยืมอ่านตำราจากเขาตำราได้สามครั้ง….’

หลินสวินยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงสิทธิประโยชน์ของการเป็นศิษย์หอแรกนภา ผู้สืบทอดเก้ายอดเขาเทียบไม่ติด

จนพลิกอ่านม้วนหยกจนจบ หลินสวินจมสู่ภวังค์ความคิดอย่างห้ามไม่ได้

เรื่องสำคัญตรงหน้าคือต้องรีบบรรลุระดับพลังปราณ หาไม่แล้วด้วยมรรควิถีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิย่อมไม่มีสิทธิ์เป็นรองผู้ดูแลอยู่แล้ว

เพราะตามกฎ หากต้องการเป็นรองผู้ดูแลจะต้องมีมรรควิถีระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้า เช่นนี้จึงผ่านการทดสอบเพื่อเป็นรองผู้ดูแลโดยเฉพาะได้

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าเป็นธรณีด่านแรกที่ตัดสินว่าจะมีสิทธิ์เลื่อนขั้นเป็นรองผู้ดูแลหรือไม่!

‘มหามรรคของข้าบรรลุขั้นสัมบูรณ์ของระดับนี้แล้ว ไม่ต้องฝืนไขว่คว้า จุดเปลี่ยนทะลวงระดับจะมาเอง…’

‘น่าเสียดาย ตั้งแต่เข้าลัทธิแรกกำเนิดมาจนตอนนี้ก็ยุ่งกับเรื่องจุกจิกมาตลอด ไม่ได้สงบใจหยั่งมรรค จดจ่อกับการฝึกปราณ จนขั้นทำให้โอกาสมากมายล่าช้าออกไป’

หลินสวินตัดสินใจว่าในช่วงเวลาหลังจากนี้จะตั้งใจฝึกปราณ เตรียมทะลวงระดับอมตะ

แต่เรื่องไม่เป็นดั่งใจ

ในค่ำวันที่เขากลายเป็นผู้สืบทอดหอแรกนภาก็มีคนมาเยี่ยมเยียน

เฟิงซีซี

นางแต่งกายชุดนักรบสีดำ ผมยาวดุจน้ำหมึกรวบเป็นหางม้า เผยให้เห็นคอเรียวระหงขาวดั่งหิมะ ใบหน้าเพริศแพร้วแจ่มกระจ่าง ดวงตางดงามเปล่งประกายดั่งดวงดารา ยืนอยู่ตามสบาย ขาเรียวยาวทั้งสองดูยวนตาผิดธรรมดา ทั้งร่างเผยท่วงทำนองเทพอันมีชีวิตชีวา สง่างามโดดเด่น

พอเห็นนางมาหา หลินสวินก็อดประหลาดใจไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมาเยือน

“ศิษย์น้อง ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดหอแรกนภาแล้ว ข้าจึงมาพบเจ้าเสียหน่อย”

เฟิงซีซีเปิดเผยและตรงไปตรงมานัก แสดงจุดประสงค์ที่มาอย่างชัดเจน “อีกอย่าง เจ้าเป็นถึงคนใหม่ของหอแรกนภา แต่ไม่คิดจะจัดงานเลี้ยงเชิญพวกเราเหล่าศิษย์พี่มาดื่นกินสักครั้งหรือ”

เถาเหลิ่งรับหลินสวินเข้าหอแรกนภา ทำให้หอแรกนภาครึกโครมไปหมด ผู้สืบทอดหอแรกนภาอย่างเฟิงซีซีต่างรู้เรื่องนี้ทันที

หลินสวินยิ้มเอ่ย “ในเมื่อศิษย์พี่เอ่ยปากแล้ว ข้าย่อมยินดีเป็นที่สุด”

“รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธ”

เฟิงซีซียิ้ม “ดังนั้นข้าเลยใช้ชื่อเจ้าเชิญศิษย์พี่หอแรกนภาของพวกเรามางานเลี้ยงในอีกหนึ่งชั่วยามเอาไว้ก่อนแล้ว ศิษย์น้องคงไม่โทษว่าข้าทำก่อนแล้วค่อยบอกใช่ไหม”

หลินสวินหัวเราะเอ่ย “ศิษย์พี่คิดใคร่ครวญแทนข้า ข้ายังซาบซึ้งใจไม่ทันด้วยซ้ำ จะไปกล่าวโทษได้อย่างไร”

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน หากเป็นคนใหม่ที่คิดอยากจะกลมกลืนก็ต้องผ่านกระบวนการหนึ่ง

หอแรกนภาแห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน

เห็นชัดว่าเฟิงซีซีทำเช่นนี้ก็เพราะอยากให้คนใหม่อย่างหลินสวินผสานเข้ากับหอแรกนภาให้เร็วที่สุด หลินสวินก็ย่อมดูออก

“ในใจศิษย์น้องคงสงสัยว่าทำไมข้าถึงทำเช่นนี้”

เฟิงซีซีนิสัยตรงไปตรงมานัก สดใสเป็นธรรมชาติ ดูออกว่าหลินสวินกังขาอยู่ในใจ พูดตรงๆ ว่า “ข้าก็แค่อยากให้ศิษย์น้องเห็นว่าวันนี้จะมีคนมางานเลี้ยงกี่คนกันแน่ เช่นนี้เจ้าก็จะพอระบุบางเรื่องได้ อาทิเช่น มีคนไม่ชอบเจ้ากี่คน”

นางหยุดไปแล้วเอ่ยต่อ “ส่วนข้า ย่อมต้องการสร้างพันธมิตรกับศิษย์น้องอย่างเจ้า”

หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงทำท่าเชื้อเชิญ “ศิษย์พี่ เชิญท่านเข้ามาคุยกันสักหน่อย”

เฟิงซีซีเผยรอยยิ้ม ท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้ถ้าหลินสวินยังไม่ตอบสนองแม้สักนิดอีกเช่นนั้นก็น่าผิดหวังแล้ว

ในถ้ำสถิต หลังจากทั้งสองนั่งลงหลินสวินก็รินชาให้เฟิงซีซีถ้วยหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ ข้าก็ไม่อยากปิดบังอะไร ขอถามท่านหน่อยว่าที่ว่าสร้างพันธมิตรหมายความว่าอย่างไร”

นิ้วเรียวยาวขาวสะอาดของเฟิงซีซียกถ้วยชาขึ้นมา สีหน้าเผยแววจนใจ เอ่ยว่า

“หลังจากข้าเป็นฝ่ายยอมแพ้เจ้าที่ลานมรรคสำแดงสวรรค์ของหอแรกพิสุทธิ์คราวก่อน บางอย่างก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังจากเข้าหอแรกนภา มีแต่คนไม่ชอบข้า คนใหญ่คนโตบางส่วนยังตำหนิข้าอยู่กลายๆ ทำให้สถานการณ์ของข้าในหอแรกนภายากเข็ญนัก”

พูดถึงตรงนี้เฟิงซีซียกถ้วยชาดื่มรวดเดียวหมด เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เป็นไรหรอก ไม่กระทบกับมรรควิถีข้าด้วย แต่ก็ต้องมีใจพึงระวัง ข้ากังวลว่าภายหน้าจะพบกับอุปสรรคและความลำบากอะไรอีก ดังนั้นจึงอยากสร้างพันธมิตรกับศิษย์น้อง”

หลินสวินถึงพอจะเข้าใจบ้างแล้ว

ว่ากันถึงที่สุด ความเย็นชาและการต่อต้านที่เฟิงซีซีได้รับก็เกี่ยวข้องกับตนชนิดแยกไม่ออก

หลินสวินยิ้มเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะทำให้ท่านลำบากอีกหรือ”

“ลำบากมาครั้งหนึ่งแล้ว จะมากขึ้นอีกหน่อยก็ไม่ต่างอะไร” เฟิงซีซียิ้มเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็คิดว่าศิษย์น้องจะมีอนาคตที่ดี”

หลินสวินไม่พูดมากอีก เอ่ยว่า “ในเมื่อศิษย์พี่ตัดสินใจแล้ว ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ ภายหน้าในหอแรกนภา ขอเพียงศิษย์พี่มีเรื่อง ข้าย่อมไม่นิ่งดูดาย”

เฟิงซีซีเก็บรอยยิ้ม พูดจริงจังว่า “ข้าก็เช่นกัน”

……

หนึ่งชั่วยามผ่านไป

หลินสวินจัดวางโต๊ะตัวแล้วตัวเล่าไว้บนลานหน้าผานอกถ้ำสวรรค์แดนมงคล บนโต๊ะมีผลไม้วิเศษ อาหารโอชะนานาชนิดวางอยู่ละลานตาไปหมด

นี่เป็นวันแรกที่เขาเข้าหอแรกนภา ในเมื่อต้องจัดงานเลี้ยงเชิญเหล่าศิษย์พี่มา ย่อมไม่อาจขายหน้าได้ ขนาดสุรายังเป็นสุราชั้นดีที่เขาเก็บไว้หลายปี

เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับไม่มีใครมาสักคน…

หลินสวินที่รอมาโดยตลอด แม้สีหน้าสงบนิ่งแต่หว่างคิ้วกลับมุ่นขึ้นเล็กน้อย

ตอนนี้หากรวมเขาเข้าไปด้วย หอแรกนภามีศิษย์ทั้งสิ้นสามสิบเจ็ดคน มิหนำซ้ำเทียบเชิญที่เฟิงซีซีส่งออกไปก็ส่งออกไปด้วยชื่อเขาหลินสวินทั้งนั้น

แต่ตอนนี้เกินเวลาหนึ่งชั่วยามที่นัดไว้ไปครึ่งชั่วยามแล้ว กลับไม่มีใครมาสักคน นี่ทำให้ในใจหลินสวินยังรู้สึกชอบกลอยู่กลายๆ

“ดูท่าการมาของศิษย์น้องจะไม่เป็นที่ต้อนรับยิ่งกว่าข้าเสียอีก” อีกด้านหนึ่งเฟิงซีซีมองดูงานเลี้ยงอันเงียบเหงาแล้วเอ่ยขึ้น “รู้สึกโมโหหรือไม่ เสียหน้ามากหรือเปล่า”

หลินสวินยิ้ม เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “ไม่ถึงกับโมโห หน้าตาเป็นสิ่งที่ต้องช่วงชิงมาเอง ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมอบให้ แต่ที่ศิษย์พี่พูดก่อนหน้านี้ก็ถูก จากงานเลี้ยงคราวนี้ก็ทำให้ข้าดูออกว่ามีคนไม่ชอบข้ามากน้อยเท่าไรจริงๆ”

เฟิงซีซีคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “คนไม่มาเยอะขนาดนี้ ใช่ว่าจะมองเจ้าเป็นศัตรูเสมอไป เกรงว่าในกลุ่มนี้จะมีศิษย์พี่บางคนไม่อยากหาเหาใส่หัว จึงไม่ต้องการมาคบค้ากับเจ้า ถึงอย่างไรถ้าพวกเขามาร่วมงานเลี้ยง ถูกคนที่มองเจ้าเป็นศัตรูพวกนั้นรู้เข้าจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากบางอย่าง ส่งผลเสียกับสถานการณ์ของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ใจมนุษย์ล้วนมุ่งหาผลประโยชน์ หลีกเลี่ยงอันตราย ตั้งแต่โบราณก็เป็นเช่นนี้หมด”

หลินสวินรินเหล้าให้ตัวเองเต็มจอก ดื่มรวดเดียวหมดแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่อยากให้ความซวยมาตกอยู่กับตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกเขาเลือกเป็นพวกเดียวกับศัตรู เช่นนั้นก็ย่อมเป็นศัตรูของข้า”

เฟิงซีซีหัวเราะออกมา เนตรงามวูบไหว “ศิษย์น้อง เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงสร้างพันธมิตรกับเจ้า ก็เพราะต่อให้เจ้าอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดที่มีแต่ปีศาจรวมตัวแห่งนี้ ก็ยังมีจุดที่ไม่เหมือนใคร”

หลินสวินอึ้งไป เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ยกยอแล้ว”

เฟิงซีซีถาม “ยังจะรอต่อไหม”

“ไม่ต้องรอแล้ว คราวนี้นอกจากข้าก็ไม่มีใครมาอีก”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นไกลๆ ก็พบว่าเงาร่างผอมบางร่างหนึ่งเดินมา เขาผิวสีทองแดง ใบหน้าหนักแน่นราวกับสลักด้วยมีดและค้อน ประหนึ่งภูเขาไฟที่จะปะทุเมื่อไรก็ได้ ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายน่าสะพรึงถึงขีดสุด

เป็นผู้สืบทอดยอดเขาที่สามหลิวอวิ๋นเฟิง!

หลินสวินพลันเผยสีหน้าประหลาดใจ เจ้าหมอนี่มาได้อย่างไร

“ศิษย์น้องหลินสวิน ข้าลืมบอกเจ้าว่าหลิวอวิ๋นเฟิงเข้าหอแรกนภามาพร้อมกันข้า อีกทั้งเขายังถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาไม่ต่างจากข้า”

เฟิงซีซียิ้มพลางอธิบาย นางคล้ายไม่ประหลาดใจกับการมาของหลิวอวิ๋นเฟิงสักนิด

หลินสวินเองก็กระจ่าง ลุกขึ้นไปต้อนรับทันที “ศิษย์พี่หลิวเชิญเร็ว”

หลิวอวิ๋นเฟิงนิสัยเย็นชาดุดัน แต่ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินที่มาต้อนรับสีหน้าก็อ่อนลงไม่น้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “ศิษย์น้องไม่ต้องเกรงใจ”

เฟิงซีซียิ้มหยอกเอิน “พวกเราสามคนสถานการณ์คล้ายๆ กัน เข้าใจหัวอกเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท