Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2736 หายนะอย่างต่อเนื่อง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2736 หายนะอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 2736 หายนะอย่างต่อเนื่อง

เดือนที่เจ็ด

เจี่ยงเยี่ยที่หลับตานอนงีบอยู่บนเก้าอี้โยกถูกเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งปลุกให้ตื่น

เขาลุกขึ้น ก็พบเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกของตำหนัก เป็นหลินสวินนั่นเอง

เพียงแต่พริบตาที่เห็นหลินสวิน เจี่ยงเยี่ยก็อึ้งไปเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้

เทียบกับเมื่อเจ็ดเดือนก่อน มรรควิถีของหลินสวินในตอนนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป แต่กลิ่นอายของเขากลับแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง

คลุมเครือลึกลับ ไหววูบไม่แน่นอน

ด้วยมรรควิถีขั้นดับเทพของเขาในตอนนี้ ถึงกับไม่อาจมองขาดได้!

เจี่ยงเยี่ยถึงขั้นรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามอันไร้รูปจากตัวหลินสวินอยู่รางๆ

“เจ้าหยั่งรู้นัยเร้นลับบางส่วนในมรรคาอมตะได้หรือ” เขาอดถามไม่ได้

หลินสวินเอ่ย “มหามรรครอได้”

เพียงไม่กี่คำกลับทำให้เจี่ยงเยี่ยอึ้งไปก่อน จากนั้นตาเป็นประกายเอ่ยว่า “ถ้าไม่ถือ จะบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าได้เห็นอะไรในตำรายุคสมัย”

หลินสวินคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พูดไปก็มีมากนัก สรุปง่ายๆ คือข้าเห็นยุคสมัยผันเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ ได้เห็นอมตะ เห็นวัฏจักรแห่งความเป็นตาย และได้เห็นมรรคาที่ข้าควรไขว่คว้า”

เจี่ยงเยี่ยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แววตายังเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล “เจ้ารู้ไหมว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่ได้เห็นยุคสมัยผันเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์”

คำว่าสมบูรณ์ถูกเขาเน้นหนักยิ่งนัก

หลินสวินกลับอึ้งไป “เมื่อก่อนไม่มีหรือ”

“ไม่มี” เจี่ยงเยี่ยยืนยันหนักแน่น

หลินสวินลอบเอ่ยในใจ ถ้าพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าในอดีตก็ไม่มีใครได้เห็นร่องรอยของนิรันดร์ที่อยู่ในยุคสมัยดับสิ้นหรอกหรือ

เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกเจี่ยงเยี่ย เดิมก็คิดว่าจะเก็บงำไว้อยู่แล้ว

แต่ใครจะคิดว่าแค่การเห็นยุคสมัยผันเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ ยังมีเพียงแค่คนเดียวตั้งแต่อดีตจวบจนตอนนี้!

“ข้าไม่รู้ว่ามรรคาที่เจ้าต้องการเสาะแสวงเป็นเช่นไร แต่ข้ากล้ามั่นใจว่าเกรงว่านัยเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในตำรายุคสมัยจะถูกเจ้าเข้าใจหมดแล้ว”

เจี่ยงเยี่ยยังอดทอดถอนใจไม่ได้

“ผู้อาวุโสยกยอแล้ว” หลินสวินยิ้มพลางกุมมือคารวะ

ในการหยั่งรู้เจ็ดเดือน เขาได้สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งเวียนว่ายในยุคสมัยครั้งแล้วครั้งเล่า ความลับและปริศนาในนั้นทำให้เขาดำดิ่งไม่อาจถอนตัวได้อยู่หลายครั้ง

การหยั่งรู้นี้หายากนัก

จนสุดท้ายหลังจากตระหนักได้ถึงแก่นแท้ของมรรคาอมตะที่ตนต้องการเสาะแสวงในที่สุด ก็เหมือนคว้ากุญแจดอกหนึ่งไว้มั่น ทำให้หลินสวินรู้แจ้งทันที

ยุคสมัยผันเปลี่ยนอะไร การเปลี่ยนแปลงของโลกอะไร วิวัฒนาการมหามรรคอะไร ความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของสรรพสิ่งอะไร เคราะห์มรรคห้าเสื่อมอะไร ร่องรอยนิรันดร์อะไร…

ตัวข้าไขว่คว้ามรรคตน เพียงพอแล้ว

“เจ้าคิดจะแจ้งมรรคเมื่อไร”

เจี่ยงเยี่ยยังรู้สึกตั้งตาคอยอยู่บ้าง

“เมื่อไรก็ได้” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ

คำตอบนี้เหนือความคาดหมายของเจี่ยงเยี่ยอีกหน เขาเป็นถึงระดับอมตะขั้นดับเทพ ทั้งชีวิตเคยเห็นภาพผู้สืบทอดแจ้งมรรคอมตะไม่รู้เท่าไร

แต่ยังเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำตอบง่ายๆ ทั้งยังเปี่ยมด้วยความมั่นใจเช่นนี้

ราวกับว่าสำหรับเขาแล้ว การแจ้งมรรคอมตะก็เหมือนล้วงถุงหยิบของ

เจี่ยงเยี่ยทำใจให้นิ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “หลินสวิน มีบางอย่างที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดดีไหม หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าไม่บอกเจ้าตอนนี้ หากถูกเปิดเผยตอนทะลวงระดับ กลับเป็นไปได้สูงว่าอาจส่งผลกระทบไม่ดีกับการทะลวงระดับของเจ้า”

หลินสวินดวงตานิ่งขึงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ขอผู้อาวุโสบอกมาเถิด”

เจี่ยงเยี่ยถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าเตรียมใจไว้จะดีที่สุด ถึงอย่างไรเจ้าก็กำลังจะแจ้งมรรค ถ้าตอนนี้สภาวะจิตมีปัญหาจะได้รับผลกระทบได้ง่ายดายยิ่ง”

หลินสวินตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ต้องเป็นเรื่องที่ศัตรูพวกนั้นทำเรื่องส่งผลเสียกับข้ามากมายในช่วงนี้ พยายามโจมตีสภาวะจิตของข้าก่อนแจ้งมรรคใช่หรือไม่”

เจี่ยงเยี่ยพยักหน้า

เรื่องพวกนี้ไม่อาจปิดบังได้ เพราะทันทีที่หลินสวินแจ้งมรรค จะต้องถูกคนทั้งลัทธิแรกกำเนิดจับตามอง ถึงตอนนั้นถ้าถูกศัตรูกระทุ้งอย่างฉับพลัน ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิด

“ขอผู้อาวุโสแจ้งมาเถิด” หลินสวินเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

เจี่ยงเยี่ยจ้องหลินสวินครู่หนึ่ง เห็นเขาไม่ได้มีคลื่นอารมณ์อะไร จึงพูดเรื่องสะเทือนเลื่อนลั่นที่เกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดในเจ็ดเดือนมานี้ออกมา

“ในเดือนแรกที่เจ้าเข้าเขาตำรา ศิษย์สืบทอดแท้จริงยอดเขาที่เจ็ดเซี่ยงเสี่ยวหยวนถูกหอแรกนภาลงโทษ ปรับเบี้ยประจำเดือนสามปี โบยห้าสิบไม้”

พอพูดถึงตรงนี้เสียงเจี่ยงเยี่ยก็ถูกขัด

“โบยห้าสิบไม้หรือ”

ดวงตาดำหลินสวินลุ่มลึก “นางไปละเมิดกฎอะไร”

“ว่ากันว่าลงมือทำร้ายผู้อื่นตอนที่โต้เถียงกัน”

เจี่ยงเยี่ยถอนใจเบาๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นมีม้วนหยกเป็นหลักฐาน เป็นเซี่ยงเสี่ยวหยวนลงมือก่อนจริงๆ”

“แม่นางเสี่ยวหยวนไม่ใช่คนวู่วาม ผู้อาวุโสมีม้วนหยกตอนนั้นอยู่หรือไม่ ข้าอยากดูหน่อย” หลินสวินถาม

เจี่ยงเยี่ยลังเลครู่หนึ่งก่อนส่งม้วนหยกม้วนหนึ่งให้หลินสวิน

ฮูม!

เกิดคลื่นระลอกหนึ่ง ม้วนหยกแปลงเป็นม่านแสงภาพแล้วภาพเล่า

หน้าถ้ำสวรรค์แดนมงคลแห่งหนึ่ง เซี่ยงเสี่ยวหยวนสีหน้าโกรธเคือง ลงมือฉับพลัน ใช้ดาบฟันใส่หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองอ่อนคนหนึ่ง

จากนั้นม่านแสงก็หายลับไป

“มีเท่านี้หรือ” หลินสวินนิ่วหน้า

“เท่านี้ก็พอแล้ว”

เจี่ยงเยี่ยเอ่ย “เรื่องเกิดขึ้นที่ยอดเขาที่เจ็ด เหตุการณ์ตอนนั้นก็มีหลายคนเห็น เดิมทีผู้นำยอดเขาเถียนอู๋ชั่วต้องการไกล่เกลี่ย แต่ใครจะคิดว่าหอแรกนภากลับยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ไม่สนคำคัดค้านของเถียนอู๋ชั่ว พาตัวเซี่ยงเสี่ยวหยวนไป”

เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “ว่ากันว่าสาเหตุของเรื่องนี้คือมีคนบอกว่าเจ้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน และเอาเรื่องนี้ไปท้าเซี่ยงเสี่ยวหยวน บอกว่านางอาศัยบารมีเจ้าถึงโชคดีเข้าลัทธิแรกกำเนิดได้ ขอเพียงเจ้าตาย นางก็จะประสบเคราะห์ตามเจ้าไป…”

หลินสวินฟังจบก็นิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ แม่นางเสี่ยวหยวนถูกโบยห้าสิบครั้งต่อหน้าทุกคนหรือ”

เจี่ยงเยี่ยพยักหน้า

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นไอสังหารในใจ

การโบยของลัทธิแรกกำเนิด ไม่ว่าเจ้าจะมีมรรควิถีหรือพลังปราณใดก็ต้องได้รับความเจ็บปวดลึกถึงกระดูก ถ้าโดนเข้าไปสามสิบไม้ ตายเสียยังดีกว่า

แต่เทียบกับความเจ็บปวดทางร่างกายแล้ว จุดสำคัญคือยามรับโทษจะถูกผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ทุกคนมองเห็น เป็นการโจมตีศักดิ์ศรีที่โหดร้ายที่สุด

หญิงสาวงามอรชรอย่างเซี่ยงเสี่ยวหยวน กลับถูกลงโทษเช่นนี้ต่อหน้าสายตาสาธารณชน ย่อมเป็นความอัปยศครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

นี่ทำให้หลินสวินแทบควบคุมไอสังหารที่เกิดขึ้นในใจไว้ไม่ได้

เพราะว่ากันถึงที่สุดแล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็เกิดขึ้นเพราะเขา

“ผู้อาวุโส ตอนนั้นใครพาตัวแม่นางเสี่ยวหยวนไป” หลินสวินเอ่ยถาม

“คนที่ทำให้เถียนอู๋ชั่วยังไม่อาจขัดขวางได้ ก็มีเพียงรองหัวหน้าหอแรกนภาฝูเหวินหลีเท่านั้น” เจี่ยงเยี่ยกล่าว

หลินสวินร้องอืมคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ยังมีเรื่องอื่นไหม เล่ามาให้หมดเถอะ ท่านวางใจได้ ข้ารับไหว”

เจี่ยงเยี่ยถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง ไม่ลังเลอีก

“เซี่ยงเสี่ยวหยวนถูกลงโทษได้ไม่นาน ยามผู้สืบเขายอดเขาที่เก้าเย่ฉุนจวินออกไปปฏิบัติภารกิจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังปราณทั้งตัวเกือบถูกทำลาย ว่ากันว่าคนที่ลงมือคือผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด”

“จากนั้นผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าฮวงมู่จี้ไม่พอใจเรื่องเบี้ยประจำเดือนถูกเลื่อนออกไป จึงโต้เถียงกับคนอื่นในเรือนสมบัติสวรรค์และถูกกำราบ ณ ที่นั่น ตอนนี้ขังอยู่ในคุกสำนึกผิด”

“ผู้นำยอดเขาที่เก้าฉินอู๋อวี้กังขาการลงโทษของหอแรกนภา ขัดแย้งกับรองหัวหน้าหอฉีเซียวอวิ๋น ยังดีที่ไม่ถึงกับขัดแย้งรุนแรง แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ตำแหน่งผู้นำยอดเขาของฉินอู๋อวี้จึงถูกเหล่าคนใหญ่คนโตที่นำโดยฉีเซียวอวิ๋นยื่นเรื่องถอดถอน สุดท้ายแม้ยังไม่ตัดสิน แต่ตอนนี้สถานการณ์ของฉินอู๋อวี้ก็ย่ำแย่ถึงที่สุดไปแล้ว”

พูดถึงตรงนี้เจี่ยงเยี่ยอดไม่ไหวมองหลินสวินครั้งหนึ่ง แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้มีคลื่นอารมณ์แต่อย่างใด มีเพียงดวงตาที่เย็นชาจนน่ากลัว

“ผู้อาวุโส เชิญท่านเล่าต่อ” หลินสวินเอ่ย

เจี่ยงเยี่ยพูดอย่างกังวลใจว่า “ถ้าใจเจ้าไม่เป็นสุข ระบายออกมาเลยก็ดี จะได้ไม่กระทบกับสภาวะจิตตอนแจ้งมรรค”

หลินสวินเอ่ยเรียบๆ “พวกเขาทำลายข้าไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้วิธีต่ำช้าพวกนี้หมายโจมตีและสร้างผลกระทบให้กับสภาวะจิตของข้า ข้าย่อมไม่มีทางให้พวกเขาสมหวัง”

เขาหยุดไปครู่แล้วพูดต่อว่า “ขอเพียงผู้นำยอดเขายอดเขาที่เก้ากับศิษย์พี่เหล่านั้นไม่เป็นไร ภายหน้าไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะช่วยพวกเขาทวงความเป็นธรรมกลับมา!”

ท่าทีแน่วแน่ภายใต้เปลือกนอกอันสงบนิ่งนั้นทำให้เจี่ยงเยี่ยสะท้านใจอย่างห้ามไม่อยู่

เขาดูออกว่าในใจหลินสวินโกรธจัดถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่ได้วู่วามขาดสติ กลับกันชายหนุ่มผู้นี้กลับเยือกเย็นดุจหิมะ ใจเย็นจนน่ากลัว!

พอคิดดูก็จริง ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนนี้ที่สามารถผ่านความยากลำบากและการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน กรำศึกจากแดนใหญ่พันศึกมาถึงตอนนี้ เคยเผชิญการเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นตายไม่รู้เท่าไร เกรงว่าสภาวะจิตจะแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจคาดคิดได้นานแล้ว

มีหรือจะได้รับผลกระทบง่ายๆ เช่นนั้น

เจี่ยงเยี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องสุดท้ายก็คือ ไม่นานมานี้ผู้สืบทอดหอแรกนภาเฟิงซีซีและหลิวอวิ๋นเฟิงถูกขังคุกสำนึกผิด เพราะไม่ทำตามคำสั่งปฏิบัติงานของรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลี”

หลินสวินฟังจบก็จมสู่ความเงียบ

พักใหญ่เขาถึงเอ่ยเบาๆ ว่า “พูดเช่นนี้ ขอเพียงเป็นคนในลัทธิแรกกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับข้าล้วนแต่ติดร่างแหไปแล้ว พวกเขาก็เหี้ยมดีจริง พยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ข้าแจ้งมรรค”

“พวกนี้เป็นแค่เรื่องเล็ก ถึงอย่างไรก็เกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดทั้งสิ้น ภายหน้ายังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้”

จู่ๆ เสียงน่าเกรงขามเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เงาร่างรองหัวหน้าหอตู๋กูยงปรากฏขึ้นกลางอากาศ

“ใต้เท้า”

เจี่ยงเยี่ยกุมมือคารวะ จากนั้นจึงแนะนำฐานะของตู๋กูยงให้หลินสวิน

“ศิษย์หลินสวินคารวะผู้อาวุโส” หลินสวินก็ทำความเคารพ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับปู่น้อยของตู๋กูโยวหรัน

“ไม่ต้องใส่ใจธรรมเนียมหรอก”

ตู๋กูยงโบกมือ “ข้ามาคราวนี้แค่อยากบอกเรื่องที่เกิดขึ้นนอกลัทธิแรกกำเนิดให้เจ้ารู้”

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างทันที กล่าวว่า “หรือพวกเขาจะลงมือกับศิษย์พี่ของข้าเหล่านั้นแล้ว หรือกระทั่งลงมือกับตระกูลลั่วแล้ว”

“ไม่ผิด”

ตู๋กูยงพยักหน้า

ทันใดนั้นใบหน้าหลินสวินก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ความแค้นที่สั่งสมอยู่ในใจแทบคุมไว้ไม่อยู่

เขาเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้ว่าศัตรูพวกนั้นใช้วิธีต่ำช้าเลวทรามได้ขนาดไหน ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้

แต่ไม่นานนักหลินสวินก็เยือกเย็นลง พลันเงยมองตู๋กูยงแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านมาบอกเรื่องพวกนี้ให้ข้ารู้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เรื่องของโลกภายนอกคงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นกระมัง”

“ใช่แล้ว”

มุมปากตู๋กูยงระบายยิ้ม สมเป็นผู้สืบทอดที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลทุ่มเททั้งชีวิตตั้งตาคอย จิตใจกับปฏิกิริยาเรียกได้ว่าเยี่ยมยอด

“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่ได้ต่อกรง่ายขนาดนั้น พวกเขาใช้ทุกวิถีทางพยายามอาศัยกำลังพลจำนวนในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณกำราบศิษย์พี่เหล่านั้นของเจ้า แต่กลับไม่เป็นดังหวัง ทั้งยังเสียกำลังพลไปบ้าง”

ตู๋กูยงพูดอย่างใจเย็น “เรื่องนี้เป็นข่าวที่ศิษย์พี่สามรั่วซู่ผู้นั้นของเจ้าส่งมาบอกเอง เป้าหมายก็เพื่อให้เจ้าแจ้งมรรคอย่างสบายใจ ไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท