ตอนที่ 2736 หายนะอย่างต่อเนื่อง
เดือนที่เจ็ด
เจี่ยงเยี่ยที่หลับตานอนงีบอยู่บนเก้าอี้โยกถูกเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งปลุกให้ตื่น
เขาลุกขึ้น ก็พบเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกของตำหนัก เป็นหลินสวินนั่นเอง
เพียงแต่พริบตาที่เห็นหลินสวิน เจี่ยงเยี่ยก็อึ้งไปเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
เทียบกับเมื่อเจ็ดเดือนก่อน มรรควิถีของหลินสวินในตอนนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป แต่กลิ่นอายของเขากลับแตกต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง
คลุมเครือลึกลับ ไหววูบไม่แน่นอน
ด้วยมรรควิถีขั้นดับเทพของเขาในตอนนี้ ถึงกับไม่อาจมองขาดได้!
เจี่ยงเยี่ยถึงขั้นรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามอันไร้รูปจากตัวหลินสวินอยู่รางๆ
“เจ้าหยั่งรู้นัยเร้นลับบางส่วนในมรรคาอมตะได้หรือ” เขาอดถามไม่ได้
หลินสวินเอ่ย “มหามรรครอได้”
เพียงไม่กี่คำกลับทำให้เจี่ยงเยี่ยอึ้งไปก่อน จากนั้นตาเป็นประกายเอ่ยว่า “ถ้าไม่ถือ จะบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าได้เห็นอะไรในตำรายุคสมัย”
หลินสวินคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พูดไปก็มีมากนัก สรุปง่ายๆ คือข้าเห็นยุคสมัยผันเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ ได้เห็นอมตะ เห็นวัฏจักรแห่งความเป็นตาย และได้เห็นมรรคาที่ข้าควรไขว่คว้า”
เจี่ยงเยี่ยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แววตายังเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล “เจ้ารู้ไหมว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่ได้เห็นยุคสมัยผันเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์”
คำว่าสมบูรณ์ถูกเขาเน้นหนักยิ่งนัก
หลินสวินกลับอึ้งไป “เมื่อก่อนไม่มีหรือ”
“ไม่มี” เจี่ยงเยี่ยยืนยันหนักแน่น
หลินสวินลอบเอ่ยในใจ ถ้าพูดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าในอดีตก็ไม่มีใครได้เห็นร่องรอยของนิรันดร์ที่อยู่ในยุคสมัยดับสิ้นหรอกหรือ
เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกเจี่ยงเยี่ย เดิมก็คิดว่าจะเก็บงำไว้อยู่แล้ว
แต่ใครจะคิดว่าแค่การเห็นยุคสมัยผันเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ ยังมีเพียงแค่คนเดียวตั้งแต่อดีตจวบจนตอนนี้!
“ข้าไม่รู้ว่ามรรคาที่เจ้าต้องการเสาะแสวงเป็นเช่นไร แต่ข้ากล้ามั่นใจว่าเกรงว่านัยเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในตำรายุคสมัยจะถูกเจ้าเข้าใจหมดแล้ว”
เจี่ยงเยี่ยยังอดทอดถอนใจไม่ได้
“ผู้อาวุโสยกยอแล้ว” หลินสวินยิ้มพลางกุมมือคารวะ
ในการหยั่งรู้เจ็ดเดือน เขาได้สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งเวียนว่ายในยุคสมัยครั้งแล้วครั้งเล่า ความลับและปริศนาในนั้นทำให้เขาดำดิ่งไม่อาจถอนตัวได้อยู่หลายครั้ง
การหยั่งรู้นี้หายากนัก
จนสุดท้ายหลังจากตระหนักได้ถึงแก่นแท้ของมรรคาอมตะที่ตนต้องการเสาะแสวงในที่สุด ก็เหมือนคว้ากุญแจดอกหนึ่งไว้มั่น ทำให้หลินสวินรู้แจ้งทันที
ยุคสมัยผันเปลี่ยนอะไร การเปลี่ยนแปลงของโลกอะไร วิวัฒนาการมหามรรคอะไร ความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของสรรพสิ่งอะไร เคราะห์มรรคห้าเสื่อมอะไร ร่องรอยนิรันดร์อะไร…
ตัวข้าไขว่คว้ามรรคตน เพียงพอแล้ว
“เจ้าคิดจะแจ้งมรรคเมื่อไร”
เจี่ยงเยี่ยยังรู้สึกตั้งตาคอยอยู่บ้าง
“เมื่อไรก็ได้” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
คำตอบนี้เหนือความคาดหมายของเจี่ยงเยี่ยอีกหน เขาเป็นถึงระดับอมตะขั้นดับเทพ ทั้งชีวิตเคยเห็นภาพผู้สืบทอดแจ้งมรรคอมตะไม่รู้เท่าไร
แต่ยังเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำตอบง่ายๆ ทั้งยังเปี่ยมด้วยความมั่นใจเช่นนี้
ราวกับว่าสำหรับเขาแล้ว การแจ้งมรรคอมตะก็เหมือนล้วงถุงหยิบของ
เจี่ยงเยี่ยทำใจให้นิ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “หลินสวิน มีบางอย่างที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดดีไหม หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าไม่บอกเจ้าตอนนี้ หากถูกเปิดเผยตอนทะลวงระดับ กลับเป็นไปได้สูงว่าอาจส่งผลกระทบไม่ดีกับการทะลวงระดับของเจ้า”
หลินสวินดวงตานิ่งขึงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ขอผู้อาวุโสบอกมาเถิด”
เจี่ยงเยี่ยถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าเตรียมใจไว้จะดีที่สุด ถึงอย่างไรเจ้าก็กำลังจะแจ้งมรรค ถ้าตอนนี้สภาวะจิตมีปัญหาจะได้รับผลกระทบได้ง่ายดายยิ่ง”
หลินสวินตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ต้องเป็นเรื่องที่ศัตรูพวกนั้นทำเรื่องส่งผลเสียกับข้ามากมายในช่วงนี้ พยายามโจมตีสภาวะจิตของข้าก่อนแจ้งมรรคใช่หรือไม่”
เจี่ยงเยี่ยพยักหน้า
เรื่องพวกนี้ไม่อาจปิดบังได้ เพราะทันทีที่หลินสวินแจ้งมรรค จะต้องถูกคนทั้งลัทธิแรกกำเนิดจับตามอง ถึงตอนนั้นถ้าถูกศัตรูกระทุ้งอย่างฉับพลัน ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิด
“ขอผู้อาวุโสแจ้งมาเถิด” หลินสวินเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
เจี่ยงเยี่ยจ้องหลินสวินครู่หนึ่ง เห็นเขาไม่ได้มีคลื่นอารมณ์อะไร จึงพูดเรื่องสะเทือนเลื่อนลั่นที่เกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดในเจ็ดเดือนมานี้ออกมา
“ในเดือนแรกที่เจ้าเข้าเขาตำรา ศิษย์สืบทอดแท้จริงยอดเขาที่เจ็ดเซี่ยงเสี่ยวหยวนถูกหอแรกนภาลงโทษ ปรับเบี้ยประจำเดือนสามปี โบยห้าสิบไม้”
พอพูดถึงตรงนี้เสียงเจี่ยงเยี่ยก็ถูกขัด
“โบยห้าสิบไม้หรือ”
ดวงตาดำหลินสวินลุ่มลึก “นางไปละเมิดกฎอะไร”
“ว่ากันว่าลงมือทำร้ายผู้อื่นตอนที่โต้เถียงกัน”
เจี่ยงเยี่ยถอนใจเบาๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นมีม้วนหยกเป็นหลักฐาน เป็นเซี่ยงเสี่ยวหยวนลงมือก่อนจริงๆ”
“แม่นางเสี่ยวหยวนไม่ใช่คนวู่วาม ผู้อาวุโสมีม้วนหยกตอนนั้นอยู่หรือไม่ ข้าอยากดูหน่อย” หลินสวินถาม
เจี่ยงเยี่ยลังเลครู่หนึ่งก่อนส่งม้วนหยกม้วนหนึ่งให้หลินสวิน
ฮูม!
เกิดคลื่นระลอกหนึ่ง ม้วนหยกแปลงเป็นม่านแสงภาพแล้วภาพเล่า
หน้าถ้ำสวรรค์แดนมงคลแห่งหนึ่ง เซี่ยงเสี่ยวหยวนสีหน้าโกรธเคือง ลงมือฉับพลัน ใช้ดาบฟันใส่หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองอ่อนคนหนึ่ง
จากนั้นม่านแสงก็หายลับไป
“มีเท่านี้หรือ” หลินสวินนิ่วหน้า
“เท่านี้ก็พอแล้ว”
เจี่ยงเยี่ยเอ่ย “เรื่องเกิดขึ้นที่ยอดเขาที่เจ็ด เหตุการณ์ตอนนั้นก็มีหลายคนเห็น เดิมทีผู้นำยอดเขาเถียนอู๋ชั่วต้องการไกล่เกลี่ย แต่ใครจะคิดว่าหอแรกนภากลับยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ไม่สนคำคัดค้านของเถียนอู๋ชั่ว พาตัวเซี่ยงเสี่ยวหยวนไป”
เขาหยุดไปแล้วพูดว่า “ว่ากันว่าสาเหตุของเรื่องนี้คือมีคนบอกว่าเจ้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน และเอาเรื่องนี้ไปท้าเซี่ยงเสี่ยวหยวน บอกว่านางอาศัยบารมีเจ้าถึงโชคดีเข้าลัทธิแรกกำเนิดได้ ขอเพียงเจ้าตาย นางก็จะประสบเคราะห์ตามเจ้าไป…”
หลินสวินฟังจบก็นิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ แม่นางเสี่ยวหยวนถูกโบยห้าสิบครั้งต่อหน้าทุกคนหรือ”
เจี่ยงเยี่ยพยักหน้า
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นไอสังหารในใจ
การโบยของลัทธิแรกกำเนิด ไม่ว่าเจ้าจะมีมรรควิถีหรือพลังปราณใดก็ต้องได้รับความเจ็บปวดลึกถึงกระดูก ถ้าโดนเข้าไปสามสิบไม้ ตายเสียยังดีกว่า
แต่เทียบกับความเจ็บปวดทางร่างกายแล้ว จุดสำคัญคือยามรับโทษจะถูกผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ทุกคนมองเห็น เป็นการโจมตีศักดิ์ศรีที่โหดร้ายที่สุด
หญิงสาวงามอรชรอย่างเซี่ยงเสี่ยวหยวน กลับถูกลงโทษเช่นนี้ต่อหน้าสายตาสาธารณชน ย่อมเป็นความอัปยศครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ทำให้หลินสวินแทบควบคุมไอสังหารที่เกิดขึ้นในใจไว้ไม่ได้
เพราะว่ากันถึงที่สุดแล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็เกิดขึ้นเพราะเขา
“ผู้อาวุโส ตอนนั้นใครพาตัวแม่นางเสี่ยวหยวนไป” หลินสวินเอ่ยถาม
“คนที่ทำให้เถียนอู๋ชั่วยังไม่อาจขัดขวางได้ ก็มีเพียงรองหัวหน้าหอแรกนภาฝูเหวินหลีเท่านั้น” เจี่ยงเยี่ยกล่าว
หลินสวินร้องอืมคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ยังมีเรื่องอื่นไหม เล่ามาให้หมดเถอะ ท่านวางใจได้ ข้ารับไหว”
เจี่ยงเยี่ยถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง ไม่ลังเลอีก
“เซี่ยงเสี่ยวหยวนถูกลงโทษได้ไม่นาน ยามผู้สืบเขายอดเขาที่เก้าเย่ฉุนจวินออกไปปฏิบัติภารกิจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังปราณทั้งตัวเกือบถูกทำลาย ว่ากันว่าคนที่ลงมือคือผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด”
“จากนั้นผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าฮวงมู่จี้ไม่พอใจเรื่องเบี้ยประจำเดือนถูกเลื่อนออกไป จึงโต้เถียงกับคนอื่นในเรือนสมบัติสวรรค์และถูกกำราบ ณ ที่นั่น ตอนนี้ขังอยู่ในคุกสำนึกผิด”
“ผู้นำยอดเขาที่เก้าฉินอู๋อวี้กังขาการลงโทษของหอแรกนภา ขัดแย้งกับรองหัวหน้าหอฉีเซียวอวิ๋น ยังดีที่ไม่ถึงกับขัดแย้งรุนแรง แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ตำแหน่งผู้นำยอดเขาของฉินอู๋อวี้จึงถูกเหล่าคนใหญ่คนโตที่นำโดยฉีเซียวอวิ๋นยื่นเรื่องถอดถอน สุดท้ายแม้ยังไม่ตัดสิน แต่ตอนนี้สถานการณ์ของฉินอู๋อวี้ก็ย่ำแย่ถึงที่สุดไปแล้ว”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงเยี่ยอดไม่ไหวมองหลินสวินครั้งหนึ่ง แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้มีคลื่นอารมณ์แต่อย่างใด มีเพียงดวงตาที่เย็นชาจนน่ากลัว
“ผู้อาวุโส เชิญท่านเล่าต่อ” หลินสวินเอ่ย
เจี่ยงเยี่ยพูดอย่างกังวลใจว่า “ถ้าใจเจ้าไม่เป็นสุข ระบายออกมาเลยก็ดี จะได้ไม่กระทบกับสภาวะจิตตอนแจ้งมรรค”
หลินสวินเอ่ยเรียบๆ “พวกเขาทำลายข้าไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้วิธีต่ำช้าพวกนี้หมายโจมตีและสร้างผลกระทบให้กับสภาวะจิตของข้า ข้าย่อมไม่มีทางให้พวกเขาสมหวัง”
เขาหยุดไปครู่แล้วพูดต่อว่า “ขอเพียงผู้นำยอดเขายอดเขาที่เก้ากับศิษย์พี่เหล่านั้นไม่เป็นไร ภายหน้าไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะช่วยพวกเขาทวงความเป็นธรรมกลับมา!”
ท่าทีแน่วแน่ภายใต้เปลือกนอกอันสงบนิ่งนั้นทำให้เจี่ยงเยี่ยสะท้านใจอย่างห้ามไม่อยู่
เขาดูออกว่าในใจหลินสวินโกรธจัดถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่ได้วู่วามขาดสติ กลับกันชายหนุ่มผู้นี้กลับเยือกเย็นดุจหิมะ ใจเย็นจนน่ากลัว!
พอคิดดูก็จริง ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนนี้ที่สามารถผ่านความยากลำบากและการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน กรำศึกจากแดนใหญ่พันศึกมาถึงตอนนี้ เคยเผชิญการเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นตายไม่รู้เท่าไร เกรงว่าสภาวะจิตจะแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจคาดคิดได้นานแล้ว
มีหรือจะได้รับผลกระทบง่ายๆ เช่นนั้น
เจี่ยงเยี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องสุดท้ายก็คือ ไม่นานมานี้ผู้สืบทอดหอแรกนภาเฟิงซีซีและหลิวอวิ๋นเฟิงถูกขังคุกสำนึกผิด เพราะไม่ทำตามคำสั่งปฏิบัติงานของรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลี”
หลินสวินฟังจบก็จมสู่ความเงียบ
พักใหญ่เขาถึงเอ่ยเบาๆ ว่า “พูดเช่นนี้ ขอเพียงเป็นคนในลัทธิแรกกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับข้าล้วนแต่ติดร่างแหไปแล้ว พวกเขาก็เหี้ยมดีจริง พยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ข้าแจ้งมรรค”
“พวกนี้เป็นแค่เรื่องเล็ก ถึงอย่างไรก็เกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดทั้งสิ้น ภายหน้ายังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้”
จู่ๆ เสียงน่าเกรงขามเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เงาร่างรองหัวหน้าหอตู๋กูยงปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“ใต้เท้า”
เจี่ยงเยี่ยกุมมือคารวะ จากนั้นจึงแนะนำฐานะของตู๋กูยงให้หลินสวิน
“ศิษย์หลินสวินคารวะผู้อาวุโส” หลินสวินก็ทำความเคารพ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับปู่น้อยของตู๋กูโยวหรัน
“ไม่ต้องใส่ใจธรรมเนียมหรอก”
ตู๋กูยงโบกมือ “ข้ามาคราวนี้แค่อยากบอกเรื่องที่เกิดขึ้นนอกลัทธิแรกกำเนิดให้เจ้ารู้”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างทันที กล่าวว่า “หรือพวกเขาจะลงมือกับศิษย์พี่ของข้าเหล่านั้นแล้ว หรือกระทั่งลงมือกับตระกูลลั่วแล้ว”
“ไม่ผิด”
ตู๋กูยงพยักหน้า
ทันใดนั้นใบหน้าหลินสวินก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ความแค้นที่สั่งสมอยู่ในใจแทบคุมไว้ไม่อยู่
เขาเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้ว่าศัตรูพวกนั้นใช้วิธีต่ำช้าเลวทรามได้ขนาดไหน ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้
แต่ไม่นานนักหลินสวินก็เยือกเย็นลง พลันเงยมองตู๋กูยงแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านมาบอกเรื่องพวกนี้ให้ข้ารู้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เรื่องของโลกภายนอกคงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นกระมัง”
“ใช่แล้ว”
มุมปากตู๋กูยงระบายยิ้ม สมเป็นผู้สืบทอดที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลทุ่มเททั้งชีวิตตั้งตาคอย จิตใจกับปฏิกิริยาเรียกได้ว่าเยี่ยมยอด
“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่ได้ต่อกรง่ายขนาดนั้น พวกเขาใช้ทุกวิถีทางพยายามอาศัยกำลังพลจำนวนในหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณกำราบศิษย์พี่เหล่านั้นของเจ้า แต่กลับไม่เป็นดังหวัง ทั้งยังเสียกำลังพลไปบ้าง”
ตู๋กูยงพูดอย่างใจเย็น “เรื่องนี้เป็นข่าวที่ศิษย์พี่สามรั่วซู่ผู้นั้นของเจ้าส่งมาบอกเอง เป้าหมายก็เพื่อให้เจ้าแจ้งมรรคอย่างสบายใจ ไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก”
——